ตอนที่1 หานชิงหลินผู้อ่อนแอ

3392 คำ
แคว้นต้าถังนับได้ว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลเป็นอันดับต้นๆ ของทุกดินแดนในใต้หล้า มีเมืองเล็กเมืองน้อยกระจายไปทั่ว ทั้งอาณาเขตห่างไกลระหว่างชายแดนกับเมืองหลวง ทั้งที่มีภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน ภูเขารายล้อมรอบด้านแห่งหนึ่ง ด้านในมีหมู่บ้านอันห่างไกลความเจริญ ซึ่งถูกเรียกขานว่า ผิงเหยียน ผู้คนที่อาศัยในหมู่บ้านแห่งนี้มีฐานะหลากหลาย ตั้งแต่คหบดีจนถึงยาจกเร่ร่อน บุรุษกับกิเลสตัณหาเป็นของคู่กัน อยู่ที่ว่าจักสามารถเติมเต็มให้ตนเองได้หรือไม่ แม้เป็นเพียงพ่อค้ามิใช่ขุนนางใหญ่โตอันใด แต่หากพอมีเงินมากสักหน่อย ประเมินตนเองแล้วคิดว่าดูแลได้ไม่ขัดสน ก็มักจะรับสตรีหลังเรือนเพิ่มความสำราญยามค่ำคืน ไม่เว้นแม้แต่ผู้คนในหมู่บ้านผิงเหยียนที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้ ทางทิศใต้ของหมู่บ้านมีบ้านเรือนหลายหลังตั้งเรียงราย ละแวกนั้นมีบ้านของสกุลหนึ่งอาศัยอยู่ ผู้นำครอบครัวเป็นพ่อค้า มีภรรยาสองคน มีลูกสามคน ชิงหลิน เป็นบุตรสาวคนโตของบ้าน มีใบหน้าอ่อนหวาน นิสัยอ่อนโยน แม้มิอาจเทียบเคียงกับคุณหนูสูงศักดิ์ในเมืองหลวง แต่ระดับหมู่บ้านชาวผิงเหยียนแห่งนี้ก็นับเป็นหญิงสะคราญโฉมผู้หนึ่ง ทว่าน่าเสียดาย ชิงหลินกลับเป็นสตรีอ่อนแอแลดูไร้ค่าเพราะโง่เขลาเบาปัญญาในทุกเรื่องราว เสียงเบา พูดช้า กิริยานุ่มนวลค่อนไปทางเนิบนาบ ท่วงท่าเชื่องช้า พาให้บางคนมองแล้วรู้สึกขัดตา เนื่องจากมารดามีโรครุมเร้ายามตั้งครรภ์ มารดาของชิงหลินมีนามว่าเจียหรู๋ เมื่อสามีเปรียบดั่งท้องฟ้า คือทุกอย่างของสตรีผู้เป็นภรรยา เจียหรู๋จึงรักสามีมาก เคารพเทิดทูนเหนือทุกสิ่ง ยินยอมสามีทุกอย่าง มองเขาสูงส่งยิ่งกว่าเทวดาบนสวรรค์ ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือไม่รักชิงหลินสักเท่าใด เหตุผลเพราะยามตั้งครรภ์นางได้รับความทรมานมาก เจ็บป่วยเสียจนแทบจะทนไม่ไหว ยามคลอดยังเกือบตาย บุตรสาวนามชิงหลินทำมารดาอย่างเจียหรู๋แทบจะเอาชีวิตไม่รอด อีกทั้งยังทำให้สามีที่อยากได้บุตรชายต้องผิดหวัง ซ้ำร้ายระหว่างที่เจียหรู๋ตั้งครรภ์ชิงหลิน สามียังเอาใจออกห่าง ไม่ดูแลทะนุถนอมเท่าใด ห่วงแต่กิจการวาณิชนอกบ้าน เดินทางค้าขายไม่เว้นวัน กระทั่งพาอนุเข้าเรือนมาด้วยหนึ่งคน ยามเจียหรู๋อยู่ไฟ สามียังขลุกอยู่แต่เรือนอนุนานนับเดือน สตรีผู้หนึ่งซึ่งเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา มิได้ร่ำเรียนเขียนอ่าน มิได้ฝึกสติปัญญาให้ฉลาดปราดเปรื่อง ทั้งมิได้มีจิตใจอันสูงส่ง จิตสำนึกใดๆ ไม่เคยขัดเกลา สัญชาตญาณที่มีจึงต่ำตม ทั้งชีวิตขึ้นอยู่กับสามี เจียหรู๋จึงคิดว่าความผิดทั้งหมดล้วนเป็นเพราะชิงหลิน นางช้ำใจยิ่งนัก นึกรักธิดาคนนี้ไม่ลงเลยสักนิด เพราะนอกจากจะตั้งครรภ์อย่างทรมาน ยังเปิดช่องว่างให้สามีนอกใจ เจียหรู๋คิดว่า หากนางตั้งครรภ์แล้วไม่อ่อนแอจนเกินไป กระทั่งร่างกายเจ็บป่วยทรุดโทรมหมดความงามหลายส่วนเช่นนี้ สามีคงไม่เบื่อหน่ายกันง่ายๆ เป็นแน่ และที่สำคัญ หากนางคลอดบุตรชาย ชีวิตหลังแต่งงานคงไม่กลายเป็นเช่นนี้ บุตรชายย่อมดีกว่าบุตรสาว... เมื่อเป็นเช่นนั้น บุตรชายอีกคนของเจียหรู๋ที่คลอดทีหลัง จึงได้รับความรักความใส่ใจไปเต็มเปี่ยม ชิงหลินที่เป็นบุตรสาวซึ่งไร้ความหมายอยู่แล้ว จึงถูกละเลยกลายเป็นส่วนเกินทันที ทั้งนี้ ตั้งแต่ชิงหลินเกิดมา ครอบครัวมักจะเกิดปัญหาการค้าต่างๆ อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ เด็กคนนี้ทำมารดาร่างกายอ่อนแอยังไม่พอ ยังทำให้การเงินบิดาขัดสนไม่คล่องมือ ติดต่อการค้ายังสะดุดไม่ราบรื่น แต่พอมีบุตรชายอีกคน การเงินก็ดีขึ้น บิดาของชิงหลินมีนามว่าหานอี้ซวน หานอี้ซวนเป็นบุรุษให้ความสำคัญกับบุตรชายผู้สืบทอด มากกว่าบุตรสาวที่ต้องแต่งงานออกไปคล้ายสาดน้ำ ครั้งที่เจรจาการค้า บังเกิดการคุยถูกคอกับสหายผู้หนึ่ง จึงเอ่ยปากยกบุตรสาวให้อย่างง่ายดาย เป้าหมายคือสร้างเส้นสายการค้าที่กว้างขึ้น เพิ่มช่องทางทำเงินให้ตนเอง สหายผู้นั้นมีบุตรชายนามว่าจางฉวน หลังจากตกลงกันแล้วจึงอนุญาตให้คู่หมั้นได้เจอหน้าพูดคุยกันบ่อยครั้งตั้งแต่เยาว์วัย ทั้งชิงหลินและจางฉวนจึงสนิทสนมรักใคร่กัน นัดพบกันทุกวัน รอเพียงถึงเวลาอันเหมาะสมก็แต่งงานสร้างครอบครัว บ้านสกุลหาน ภายในโถงรับรองของเรือนไผ่หยก “อ๊ะ! พี่ฉวน” เสียงแผ่วหวานของดรุณีน้อยดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มเมื่อพวงแก้มถูกปลายจมูกโด่งสันฉกด้วยการหอมไปหนึ่งที สาวน้อยเอียงหน้าหนี “ไม่เอาเจ้าค่ะ มันไม่งาม” “จะเป็นไรไปเล่า?” เสียงทุ้มต่ำฟังดูอู้อี้อยู่ริมหู พร้อมลมหายใจร้อนกรุ่น รินรดยามริมฝีปากหยอกเอิน “ขอข้ามองเจ้าใกล้ๆ นะ” “อ๊ะ!” ชิงหลินหดคอบ่ายเบี่ยง รู้สึกร้อนวูบวาบอับอาย จางฉวนเอ่ยอย่างเอาแต่ใจกับคู่หมั้นของตน “ในเมื่อภายหน้าเราสองคนต้องแต่งงานกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง จะช้าจะเร็ว เจ้าย่อมเป็นของข้า วันนี้หากสมปรารถนา ไยมิใช่สมควรแล้ว” น้ำเสียงเข้มหนักดังพร้อมกับเสียงขยับริมฝีปากกดจูบที่ลำคอระหง และเสียงเสื้อผ้าเสียดสี “มาเถิด ข้าต้องการเจ้า...” บนเก้าอี้ตัวยาวหลังโต๊ะภายในห้องรับรองที่ปลอดผู้คน ชิงหลินพยายามเบี่ยงกายหลบเลี่ยงฝ่ามือร้อนผ่าวที่แสนซุกซน ปลายลิ้นร้อนลวกที่แสนเอาแต่ใจ นางรีบถอยอย่างลนลาน ฝ่ามือหนึ่งรีบยกขึ้นมาดันแผงอกหนา อีกมือหนึ่งยังพยายามยับยั้งเรียวนิ้วของคนรักที่กำลังจะกระตุกสายคาดเอวของนางเพื่อล้วงเข้ามาหาเนินอกกลมกลึงเพื่อคลึงเล่น หญิงสาวพยายามเอ่ยเตือนสติคู่หมั้น ด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักว่า “แต่ว่าเรายังมิทันได้แต่งงานกันนะ ท่านควรให้เกียรติข้า จนกว่าจะถึงยามส่งตัวเข้าหอ...” สิ้นคำนั้น จางฉวนจึงหยุดชะงัก ได้สติกลับคืน ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกจากซอกคอและดึงมือออกจากสาบเสื้ออีกฝ่าย ใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อหยุดอารมณ์ปรารถนา ถอยหลังไปนั่งอย่างสงบ เก็บสายตาร้อนแรงกลับมาแล้วเสมองไปทางอื่น รอบด้านพลันอึมครึมมัวหม่น มิใช่บรรยากาศของคู่รักอีกต่อไป “เจ้าพูดมาก็ถูก...” ระหว่างที่จางฉวนเอ่ยพึมพำเบาๆ ปราศจากคำขอโทษ อันใด ชิงหลินได้แต่ก้มหน้าหลุบตาค้อมศีรษะ บนใบหน้าแดงก่ำแฝงความขลาดอาย รู้สึกกระวนกระวายและลังเลต่อเหตุการณ์ตรงหน้า หญิงสาวรีบจัดเสื้อผ้าของตนด้วยมืออันสั่นเทา ท่าทางตื่นกลัว ลอบมองหน้าของชายคนรัก ในใจคิดเพียงว่า นางชอบใบหน้าหล่อเหลาของคู่หมั้นเป็นอย่างมาก ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งชอบ เพียงแต่นางยังไม่พร้อม ความมั่นใจใดๆ ก็ไม่มี หน้าอกหรือก็ยังไม่ใหญ่เท่าใด กลิ่นกายก็ไม่แน่ว่าจะหมดความหอมไปนานแล้ว มันน่าอายเกินไปจริงๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้รู้สึกขลาดเขลาไม่น้อย เดิมทีชิงหลินมักจะนัดพบกับจางฉวนในศาลากลางสวนที่ไร้ซึ่งกำแพงปิดกั้นสายตาทั้งยังเปิดเผยรอบทิศ มิอาจทำการล่วงล้ำเกินเลยอันใดต่อกันแม้แต่น้อย ทว่าวันนี้ยามเดินทอดน่องกลับคุยกันเพลิดเพลินมากนัก รู้ตัวอีกทีก็เข้ามานั่งในห้องรับรองของเรือนตัวเอง ถัดจากห้องนี้ไม่ไกลก็คือห้องนอน หากนางไม่อาจยับยั้งเกรงว่าคงทำผิดประเพณีอย่างมหันต์แล้ว หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งอย่างตระหนก ตบอกตนเองเบาๆ ให้หัวใจเต้นช้าลง สีหน้าเอียงอายมากล้น พวงแก้มทั้งสองแดงก่ำ ท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ช้อนสายตาขึ้นมองคู่หมั้นอย่างเชื่องช้า เก็บกดความรู้สึกเสียดายเอาไว้ให้ลึกสุดใจ ทว่ากลับเห็นเขาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วคล้ายโกรธกรุ่น พริบตานั้นจางฉวนก็หันมาก้มหน้ามองด้วยสายตาที่ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร เขาคลี่ยิ้มมุมปากไม่แน่ชัดว่าอยู่ในอารมณ์ใด ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังว่า “วันนี้ ข้าต้องกลับก่อน แล้วจะมาหาเจ้าใหม่” จบคำก็เดินจากไปอย่างเฉยเมย ไม่มองคนรักอีกเลย ชั่วขณะนั้น ใบหน้าชิงหลินพลันซีดเผือด มองจางฉวนอย่างรู้สึกผิดทันที ในห้องที่เคยมีเสียงคุยหยอกล้อก่อนหน้านี้พลันเงียบงัน คงเหลือสตรีผู้หนึ่งนั่งโง่งม ครู่ใหญ่ชิงหลินจึงคิดได้ว่าควรไปขอโทษจางฉวน นางรีบลุกขึ้นอย่างร้อนรนแล้ววิ่งออกจากเรือนอย่างเร็ว ในใจยังคิดว่าควรเร่งรัดเรื่องการแต่งงานเสียที ปีนี้อายุนางก็ใกล้สิบหกปีแล้ว เมื่อปลายเท้าวิ่งมาหยุดอยู่กลางลานหน้าเรือน หญิงสาวมองไปจนทั่ว กลับไม่เห็นชายคนรัก ชิงหลินให้รู้สึกเจ็บปวดใจนัก นางไม่ควรปฏิเสธเขา… หลังจากเหตุการณ์นั้นก็ผ่านมานานถึงหนึ่งเดือนเต็มแล้ว หากนับตามจริง อารมณ์โกรธเคืองควรหมดสิ้นภายในสามวัน หรือไม่ควรเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ จะอย่างไรเสียก็คนรักกัน ทว่าจางฉวนกลับเงียบหายไป ไม่มาหาเพื่อคุยหยอกล้อเหมือนเก่า ในใจของชิงหลินให้รู้สึกกระวนกระวายยากระงับ ใบหน้าเผยความหม่นเศร้า แต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากกับผู้ใด หรือต่อให้ปรึกษามารดา ก็เกรงว่าจะได้รับเพียงคำตำหนิ เพราะจางฉวนคือบุตรชายของคู่ค้าบิดา ไม่อาจผิดใจกันได้ บ่ายวันหนึ่ง ชิงหลินเริ่มทนไม่ไหว หัวใจร้อนรนดั่งต้องไฟ นางออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปหาจางฉวน หมายมาดบอกกล่าวกับเขาอย่างจริงใจ ว่านางมิได้รังเกียจเขา และนางก็พร้อมจะขอโทษเขาอย่างลึกซึ้ง หากต้องการสิ่งใดนางยอมทั้งนั้น บ้านของชิงหลินกับจางฉวนห่างกันแค่คนละหัวมุมเมือง บิดาของจางฉวนเป็นสหายต่างถิ่นของบิดาชิงหลิน หลังจากเจรจาร่วมการค้าเสร็จสิ้น จึงซื้อเรือนหลังโตเอาไว้ในหมู่บ้านนี้ มิคาดว่ายังไม่ทันถึงที่หมาย ระหว่างทางผ่านสวนดอกไม้ที่เป็นชายป่า ห่างสายตาผู้คน เบื้องหน้าของชิงหลินในระยะหลายจั้งกลับเห็นแผ่นหลังของจางฉวน เขากำลังเดินจับมือกับสตรีผู้หนึ่ง นัยน์ตาสาวน้อยเบิกกว้าง ในใจคิดว่าคงเป็นสหายของคู่หมั้นกระมัง ทว่าท่าทางของพวกเขาสนิทสนมกันเหลือเกิน ในใจของชิงหลินบังเกิดความคิดสับสน นางเพียงเลือกหลบเร้นตัวตนลงไปนั่งข้างทางที่มีพุ่มไม้บังตา ความรู้สึกชาหนึบเกาะกินในโพรงอกทันทีที่มองเห็นฝ่ายสตรีชัดเจน ชิงลี่! หญิงสาวอุทานในใจ นิ่งค้างอึ้งงันในบัดดล ชิงลี่คือน้องสาวต่างมารดาของชิงหลิน ซึ่งเกิดจากอนุภรรยาของบิดา อายุห่างกับนางแค่หนึ่งปี ระยะทางที่จางฉวนเดินจูงมือกับชิงลี่ห่างจากชิงหลินหลังพุ่มไม้ไกลอยู่หลายจั้ง แต่กระนั้นภาพที่เห็นกลับเด่นชัดในครรลองสายตา และกลิ่นอายเฉกเช่นคนรักยิ่งชัดเจนในความรู้สึก ทว่าชิงหลินกลับปฏิเสธความกระจ่างแจ้งนั้น หญิงสาวกะพริบตา มองอย่างโง่งม กลีบปากเม้มแน่น ส่ายหน้าเบาๆ นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดจางฉวนกับชิงลี่ถึงมาอยู่ด้วยกันในสวนพฤกษาชายป่าเยี่ยงนี้ ทั้งๆ ที่จางฉวนคือคู่หมั้นของนาง และชิงลี่ก็คือน้องสาวของนาง นับแต่ท่านพ่อหมั้นหมายนางกับเขา ชิงลี่แสดงความยินดีมาโดยตลอด ทั้งยังสนับสนุนให้นางได้เจอกับจางฉวนบ่อยๆ จะได้รักใคร่สมัครสมานต่อกัน ชิงหลินครุ่นคิดด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง หรือว่าที่ผ่านมาชิงลี่ต้องการเจอหน้าจางฉวนจึงคะยั้นคะยอให้นางนัดเขามาที่บ้าน คิดไปคิดมาท้ายที่สุดหญิงสาวก็โคลงศีรษะถอนหายใจแล้วสรุปในแง่ดี จะเป็นไปได้อย่างไร? นั่นคือคู่หมั้นอันเป็นที่รักของนางกับน้องสาวผู้แสนดี พวกเขาคงเจอกันโดยบังเอิญ แล้วทักทายกันตามประสา เพราะฝ่ายหนึ่งคือว่าที่พี่เขยและอีกฝ่ายคือน้องสาวของว่าที่ภรรยา ทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน หญิงสาวค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากหลังพุ่มไม้ เป้าหมายคือเข้าไปหาชายหญิงทั้งสองที่เดินอยู่ไกลๆ เบื้องหน้า เพื่อถามไถ่อย่างบริสุทธ์ใจ มิให้เคลือบแคลงต่อกัน ทว่ากลับเห็นสองคนนั้นเดินเลี้ยวไปทางหนึ่ง เมื่อชิงหลินลอบติดตาม นานครู่ใหญ่ที่เพ่งมองก็เห็นเป็นเรือนหลังน้อยตั้งอยู่สุดทาง เรือนนั้นรายล้อมด้วยมวลบุปผาบานสะพรั่ง รอบด้านมีต้นไม้ งดงามมากนัก ชิงหลินขมวดคิ้ว จำได้ว่าครั้งหนึ่งจางฉวนเคยบอกว่า เขามีเรือนส่วนตัวอยู่ริมชายป่าอันเป็นอาณาเขตบ้านของเขา ซึ่งกำลังปลูกสร้าง หากเสร็จแล้วจะพานางมาชม เรือนนี้คือหนึ่งในหลายเรือนของสองเราในอนาคต สุดท้าย ...นางกับเขากลับมีปัญหากันเสียก่อน มือของชิงหลินกำแน่นที่กระโปรง ตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องเข้าไปขอโทษคนรักของตนโดยเร็ว ส่วนเรื่องที่เขาอยู่กับชิงลี่ได้อย่างไรนั้น จำต้องสะกดกลั้นอารมณ์อ่อนไหวเอาไว้ก่อน ถึงแม้จะยากเย็นมากนักก็ตาม เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงค่อยๆ เดินตามคนทั้งคู่ที่บัดนี้หายลับเข้าไปในเรือนหลังนั้นแล้ว หัวใจของชิงหลินชาวาบเนื้อตัวสะบัดร้อนสะบัดหนาวราวกับจะเป็นไข้ พวกเขาเข้าเรือนไปสองต่อสอง มือที่จับกันยังไม่ยอมปล่อยเลยแม้ช่วงเวลาเดียว เนื่องจากชิงหลินทิ้งระยะห่างอยู่หลายก้าว กว่าจะตามมาทันจนถึงตัวเรือนจึงใช้เวลาพอควร หญิงสาวพยายามมองเข้าไปด้านในผ่านช่องเล็กๆ ของประตู ทำท่าจะยกมือขึ้นเคาะเพื่อร้องเรียกคนด้านใน แต่ยังไม่ทันที่มือจะแตะต้องบานประตู หูของนางพลันได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมาก่อน “อื้อ...ท่านพี่ฉวน อ๊ะ...” เสียงแว่วหวานนั้นเป็นของชิงลี่ ฟังดูแล้วให้รู้สึกวาบหวิวหวามไหวในอกยิ่งนัก ทำเอามือเล็กๆ ของชิงหลินต้องนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ ไม่อาจเคาะหรือร้องเรียกผู้ใด “อา...ลี่เอ๋อร์” อีกเสียงที่ดังผสานคือจางฉวน ทั้งแหบต่ำทั้งสั่นพร่า “อื้ม...พี่ฉวน ข้าเจ็บเจ้าค่ะ” เสียงของชิงลี่เริ่มสะอื้นไห้ จางฉวนยิ่งส่งเสียงทุ้มนุ่มสั่นกระเส่า “ข้าจะทำเบาๆ” “อื้ม...” “เจ้าช่างงดงามนัก ไร้ที่ติยิ่ง” “แต่ข้ายังไม่เติบโตเต็มที่เลยนะ อ๊ะ!” “ข้าจะทำให้เจ้าโตเองกับมือ” เสียงเสียดสีแว่วดังเป็นระลอก ผสานเสียงครางก่อนที่ฝ่ายสตรีจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “อืม...ของลี่เอ๋อร์โตกว่าของพี่หญิงหลินหรือไม่” “ตอนนี้ยัง ...แต่ต่อไปไม่แน่” สิ้นคำนี้ เสียงเอี๊ยดอ๊าดพลันหยุดชะงัก แต่เสียงของชิงลี่คล้ายเข้มขึ้น “พี่ฉวนพูดเช่นนี้ เคยเห็นของพี่หลินแล้วรึ?” จางฉวนแค่นเสียงไม่พอใจ “เจ้าจะพูดถึงหลินเอ๋อร์ทำไม ใครใหญ่กว่าสำคัญที่ใด ในเมื่อเจ้ายอมข้า เจ้าสาวของข้าย่อมเป็นเจ้า หาใช่สตรีที่แสดงท่าทีรังเกียจข้าไม่” หลังสิ้นประโยคของบุรุษ ฝ่ายสตรีจึงหัวเราะคิก “จริงหรือ?” “ย่อมใช่!” จากนั้นสรรพสำเนียงวาบหวามของชายหญิงที่สอดประสานอันทำให้ผู้แอบฟังนอกเรือนต้องหวามไหวพลันดังขึ้นต่อไป ชิงหลินให้รู้สึกหนาวสะท้านในหัวใจ ทั่วร่างชาหนึบ ทว่าเจ็บแปลบถึงไขกระดูก เหงื่อเย็นไหลอาบ นางไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน จึงเดินอ้อมไปทางข้างเรือน เป้าหมายคือช่องเล็กของซอกหน้าต่าง เมื่อเจอแล้วก็กะพริบตา พาใบหน้าเข้าใกล้ช่องแคบนั้น ชิงหลินแอบมองคู่หมั้นของตนกับน้องสาวหนึ่งเดียวด้วยดวงตาที่เริ่มพร่ามัว หัวใจเต้นระส่ำแทบทะลุออกมานอกอก หญิงสาวแอบมองเนิ่นนาน ด้านในห้องมีโต๊ะน้ำชาทรงเตี้ยและตั่งตัวยาวคล้ายเตียงเล็กๆ ตั้งอยู่มุมหนึ่ง บนเตียงมีเงาของคนสองคนซ้อนทับกันในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยเผยผิวขาวเนียน ทั้งแขนและขาเกี่ยวกระหวัดรัดรึง มองเห็นรำไรว่าเป็นบุรุษทับสตรี เรือนร่างของพวกเขาโยกโยนสอดประสาน ส่งเสียงหอบครางไม่หยุด ลำตัวยังขยับไม่ยั้ง ท่ามกลางเสียงครวญกระเส่าด้านใน ที่ไม่อาจได้ยินเสียงอื่นใดจากด้านนอก สาวน้อยผู้แอบฟังพยายามกลั้นหายใจสุดกำลัง ทั่วร่างหนาวเหน็บเย็นจัด ทว่าดวงตากลับร้อนผะผ่าว ความเจ็บปวดรวดร้าวสายหนึ่งกระแทกเข้ากลางใจอย่างแรง ประหนึ่งสายฟ้าฟาดผ่าแสกหน้า ชิงหลินไม่เข้าใจ พวกเขาทำอะไร? หญิงสาวหมุนตัววิ่งออกจากที่แห่งนั้นทันที สะอื้นไห้ไปตามทางที่มีมวลบุปผารายรอบ น้ำตาไหลรินเป็นสายดุจพิรุณ ระยะทางจากเรือนอันร้อนเร่าห่างออกมาเท่าใดมิรู้ได้ เรือนร่างบอบบางถึงกับหอบเหนื่อยทรุดกายฮวบลงตรงริมลำธาร ไม่หรอก ไม่ใช่! คู่หมั้นยังคงรักนาง น้องสาวยังคงแสนดี นางมิอาจคิดการไม่บังควร... ชิงหลินไม่อาจทำใจ ทั้งไม่อาจยอมรับ ทั้งมึนงงสับสนและไม่ต้องการเข้าใจอะไรทั้งนั้น นางทำได้เพียงร่ำไห้แล้ววิ่งหนีออกมา การเผชิญหน้าตรงๆ ไม่เคยอยู่ในความคิด นางกำลังกลัว... หญิงสาวไม่รู้ว่าตนเองกำลังกลัวสิ่งใด อาจเป็นความจริงที่ไม่ต้องการยอมรับว่าชายคนรักได้เปลี่ยนใจจากนางอย่างไร้ซึ่งเยื่อใย ไร้ปรานีใดๆ จางฉวนมิได้รักนางแล้ว... ชิงหลินสะอึกสะอื้นร้องไห้จนตัวโยนเช่นนั้นครู่ใหญ่ รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน มิรู้ว่าเมื่อครู่วิ่งอยู่นานเท่าใด หางตาพลันเหลือบไปเห็นศาลาริมทาง จึงพยายามพยุงร่างอ่อนแรงลุกขึ้น ค่อยๆ เดินไปทางนั้น ศาลาแห่งนี้มักใช้จัดงานประจำปีตามเทศกาลต่างๆ ของหมู่บ้าน โดยเฉพาะเทศกาลจงหยวน ที่ชาวบ้านมักจะพากันมารวมตัวเพื่อลอยฟั่งเหอเติง[1] ทว่าช่วงนี้ไม่มีเทศกาลอันใด จึงไม่มีใครย่างกรายเข้ามา ทำให้ศาลาสงบไม่น้อย ชิงหลินนั่งซึมเศร้าอยู่ในศาลาริมบึง มองไปเบื้องหน้าแบบไร้ทิศทางอย่างเหม่อลอยผ่านม่านน้ำตา นางนั่งร้องไห้อยู่เช่นนั้น เรือนกายสั่นเทาไม่หยุด มีน้ำตาสีใสอาบสองข้างแก้มไหลนองเป็นทาง หลายวันก่อนที่เฝ้ารอคู่หมั้นมาหา นางกินข้าวไม่ลง และวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ซ้ำร้ายยังวิ่งแบบลืมตัว ร่างกายจึงเริ่มทนไม่ไหว ชั่วจังหวะกำลังเผลอไผลให้กับความเศร้าโศกสุดระงับ ร่างระหงก็เริ่มโอนเอน ความหม่นเศร้าที่กำลังจู่โจมแปรเปลี่ยนเป็นความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าสุดทานทน ลมหายใจสะดุดติดขัด รู้สึกหายใจลำบาก คล้ายสัญญาณชีพใกล้ดับสูญ สาวน้อยรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรง ราวกลีบบุปผาโรยรา ไม่ช้า ...เรือนร่างบอบบางพลันพลัดตกจากตั่งริมศาลา เสียงตูมจากลำธารเพราะเรือนร่างกระแทกน้ำซ่านเซ็นจึงเกิดขึ้นชั่วพริบตา ทุกสิ่งในห้วงความคิดจึงมืดสนิท ชิงหลินสติดับทันใด [1] โคมประทีป รูปทรงโคมอาจเป็นรูปดอกบัว โคมไฟ บ้านเล็กๆ หรือลักษณะอื่น ๆ ข้างในมีเทียนหรือประทีปจุดไฟสว่างไสวสำหรับลอยน้ำบูชาเทพเจ้าตี้กวน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม