กาลเวลาหมุนผ่าน บุปผาแสนซนเติบโตเป็นบุปผางามบานสะพรั่ง ว่ากันว่าบุรุษใดที่ได้ยลโฉมงามมิใคร่เสน่ห์หาก็เป็นต้องริษยาในความงามนี้
ดวงตาดำสนิทดุจหงส์งามเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์น่าค้นหา ทว่าอีกนัยก็แฝงไปด้วยความซุกซนขี้เล่นอยู่เป็นเนือง ผิวกายขาวละเอียดดุจต้องแสงจันทรา เรือนผมดำยาวเป็นประกายเงางาม ยามหญิงสาวแย้มยิ้มให้ความรู้สึกเหมือนความเศร้าทั้งหมดมลายสิ้น
“เจอตัวแล้ว!” เด็กหญิงชายวัยสิบและเก้าขวบวิ่งตรงเข้าไปกระโดดกอดหญิงสาวที่นั่งขดตัวนิ่ง หวังให้พุ่มไม้ช่วยพรางตัวเองจากสายตาเด็กทั้งสอง
“ข้าว่าข้าแอบดีแล้วเชียวนะ” เฉ่าเหมยว่าพลางทำหน้าเหนื่อยหน่าย
เด็กซนสองคนหัวเราะคิกคัก พวกเขารู้ว่าพี่สาวตนนั่นเล่นซ่อนหาได้ยอดแย่ที่สุด แต่อย่างไรก็รักที่จะชวนนางเล่นด้วยกันอยู่ดี
เด็กหญิงมีนามว่า เฉ่าลู่ นางมีใบหน้าละม้ายคล้ายเฉ่าเหมย เว้นดวงตาที่ดูกลมโตกว่าเล็กน้อย
น้องคนเล็กเป็นเด็กชาย นาม เทียนตี้ ทั้งหน้าตาและนิสัยนั่นเหมือนกันกับผู้เป็นบิดาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ยามอยู่กับมารดาและพี่สาวทั้งสอง เขาจะเป็นเด็กร่าเริงช่างพูดช่างคุย แต่ยามใดพบเจอคนแปลกหน้า เทียนตี้จะหวาดระแวงและจ้องจับผิดคนผู้นั้นไม่ละสายตา
“ท่านพี่ๆ คราวนี้หาพวกเราบ้างนะ”
“พวกเจ้าซ่อนตัวเก่งจะตาย ข้าหาจนตะวันตกดินก็คงไม่เจอกระมัง”
เสียงหัวเราะพูดคุยดังเจี๊ยวจ๊าว ทว่ากลับกันแล้วบิดามารดาของเด็กทั้งสามหาได้อยู่ในอารมณ์รื่นเริงด้วย
“ท่านพี่ ข้าว่าต้นปีกระชั้นชิดเกินไป เหมยเหม่ยมิมีวันยอมแน่” หวงสือหลิวกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ตอนนี้เป็นเพียงคำสู่ขอทาบทาม หาได้เป็นราชโองการโดยตรง ข้าคิดว่าพวกเรายังพอมีเวลาขอเจรจาเลื่อนวันออกไป”
“แต่ถึงขนาดพระราชทานบรรดาศักดิ์ป๋อ[1]ให้ท่าน ข้าเกรงว่า...คงอยากจะเป็นการเลี่ยงแล้ว”
ฮ่องเต้ฝูเย่าทรงหมายมั่นอยากเกี่ยวดองกับสกุลถานมาตั้งแต่สงครามครั้งเก่าก่อน ถานเทียนสวี่ที่ในตอนนั้นเป็นเพียงทหารกล้า เขายอมเอาตัวเข้ากำบังฮ่องเต้จากคมดาบของศัตรูจนเกือบเสียแขนไปข้างหนึ่ง อีกทั้งยังบุกเข้าไปในค่ายของข้าศึกเพียงลำพังเพื่อช่วยเหลือพวกพ้องที่ถูกจับตัวไป
ด้วยความเก่งกาจและเสียสละนี้เอง ทำฮ่องเต้ฝูเย่าทรงโปรดถานเทียนสวี่เป็นอันมาก อีกทั้งฮองเฮาเฟยอวี่ที่ไร้ธิดา ยังโปรดปรานอยากได้บุตรสาวของเขามาร่วมตระกูล
“หากเป็นสกุลอื่นคงดีอกดีใจดั่งได้พรจากสวรรค์ แต่กลับข้านั่นเต็มไปด้วยความกังวลนัก ท่านก็รู้ว่าเหมยเหม่ยของเรามีนิสัยเช่นไร”
ถานเทียนสวี่ฟังคำพูดภรรยาแล้วก็ได้แต่ถอดถอนหายใจ
บุตรสาวเขาก็เหมือนกับหวงสือหลิว รักอิสระ ไม่ชอบกฎเกณฑ์และโดยเฉพาะไม่ชอบอยู่ใต้อาณัติใคร เช่นนี้แล้วจะให้นางใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวงในฐานะพระชายาอย่างไร
“ท่านพ่อท่านแม่! ข้าพาน้องๆ ไปเดินเที่ยวตลาดได้หรือไม่”
เฉ่าเหมยเดินเข้ามาพร้อมจูงมือน้องชายน้องสาวเข้ามาด้วย “ได้ยินว่ามีร้านขนมเปิดใหม่ พวกข้าอยากไปเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นบิดาทำท่าจะกล่าวห้าม เฉ่าลู่ที่รู้ความก็ปรี่เข้าอ้อนทันที “นะเจ้าค่ะท่านพ่อ พวกลูกไปไม่นานจะรีบกลับ นะเจ้าค่ะ”
ถานเทียนสวี่แพ้ลูกอ้อนของบุตรสาว ขณะเหลือบตามองภรรยาก็พยักหน้าอนุญาต “ให้เย่อินคุ้มกันพวกเจ้าไป”
“ไปเดินตลาด จำต้องให้คนคุ้มกันด้วยหรือท่านพ่อ” เฉ่าเหมยบ่น
“หากเป็นเมื่อก่อน คงสามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจ แต่ตอนนี้หาได้เป็นเช่นนั้น ความเป็นอยู่ดีขึ้น ชีวิตยิ่งสั้นลงตาม”
เฉ่าเหมยได้ยินถานเทียนสวี่เอ่ยคำไม่เป็นมงคลก็รู้สึกใจคอไม่ดีจึงคุกเข่ากอดแขนบิดาไว้ “ท่านพ่ออย่าพูดอะไรน่ากลัวสิเจ้าค่ะ ข้าไม่ชอบเลย”
ถานเทียนสวี่ยิ้ม “พ่อพูดไปเรื่อยเท่านั้น เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก”
“พวกเจ้าจะไปเดินเล่นกันก็ไปเถิด แล้วก็อย่าเถลไถลจนมืดค่ำเล่า” หวงสือหลิวเอ่ยช่วยแก้สถานการณ์ คล้อยหลังพวกลูกๆ ไปแล้ว นางก็ค่อยขยับเข้ามานั่งข้างถานเทียนสวี่แล้วโอบกอดเขาไว้
“เทียนสวี่ เจ้าอย่าเพิ่งวิตก พวกเราเคยผ่านปัญหาที่ใหญ่กว่านี้ด้วยกันมาแล้ว ปัญหาในครานี้พวกเราก็ต้องผ่านไปได้เช่นกัน”
“ข้าสัญญาจะปกป้องดูแลเจ้าและครอบครัว อยากให้พวกเจ้ามีกินจนอิ่มท้อง ใช้ชีวิตในทุกๆ วันให้มีความสุข แต่มาวันนี้...ข้าเริ่มกลัวแล้ว”
ว่ากันว่าจุดจบในนิยายหาใช่จุดจบเสมอไป หวงสือหลิวเองหาได้เป็นคนในนิยายเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น นางข้ามมิติมาและทำการแก้ไขสิ่งที่ควรจะเป็นไปให้ออกนอกเส้นเรื่องเดิม กระทั่งได้ครองรักกับพระเอกและสร้างครอบครัวที่มีความสุขร่วมกัน
ทว่า... ชีวิตต่อจากนี้ยากเย็นเสียยิ่งกว่า นางไม่รู้เลยว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น หรือจะต้องรับมือเช่นไร ที่แน่ๆ คือวังหลวงมิใช่สถานที่ที่น่าอภิรมย์สำหรับบุตรสาวนางอย่างแน่นอน
……………
ท้องถนนครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายซื้อของ บุตรสาวและชายจากสกุลใหญ่เที่ยวเล่นกันตามประสา หลายครั้งพยายามจะวิ่งหนีจากเย่อิน องครักษ์หนุ่มที่บิดาส่งมาคุ้มกัน แต่จนแล้วจนรอดก็ถูกตามตัวเจอจนได้
“โธ่เย่อิน ให้พวกข้าได้เดินเที่ยวกันเองมิได้หรือ” เฉ่าเหมยที่ถูกตามตัวเจอเป็นรอบที่สามโอดครวญ
“คุณหนูใหญ่ ใช่ว่าข้าคอยตามประกบพวกท่านเสียหน่อย ข้าเว้นระยะ เฝ้าเดินตามห่างๆ ยังไม่พอใจอีกหรือ”
“ถูกจับตามองตลอดเรียกว่าสบายใจได้หรือไงเล่า”
เย่อินยักไหล่ไม่สนใจ เขายังคงรักษาการคุ้มกันเหล่าคุณหนูคุณชายอย่างเคร่งขันตามคำสั่ง
“ท่านพี่ นอกจากท่านจะแอบไม่เก่งแล้ว ท่านยังหนีไม่เก่งด้วยนะ” เฉ่าลู่เอ่ยพลางลอบหัวเราะ
“เดี๋ยวเถอะ ข้าแค่ออมมือเท่านั้น หากอยากหนีจริงย่อมหนีได้อยู่แล้ว” เฉ่าเหมยตอบกลับ
“ท่านพี่ต้องให้พวกเราช่วย” เทียนตี้กระซิบพลางขยิบตาให้เฉ่าลู่ ก่อนทั้งสองจะวิ่งแยกกันไปคนละทาง
“นี่! เดี๋ยวสิ” เย่อินตกใจไม่รู้จะวิ่งตามคนไหนก่อน คงต้องโทษถานเทียนสวี่ที่สั่งให้ลดจำนวนผู้ติดตามลงเหลือเพียงเขาที่ดวงซวยต้องมาคอยตามเจ้าเด็กซนพวกนี้แทน
เฉ่าเหมยหัวเราะให้กับท่าทีลุกลี้ลุกลนขององครักษ์หนุ่มแล้วเลือกวิ่งหนีไปอีกทางเช่นกัน การแกล้งปั่นหัวเหล่าองครักษ์หรือสาวใช้นั่นเป็นเหมือนกิจกรรมการเล่นสนุกของน้องๆ ทั้งสองของนาง กระทั่งเฉ่าเหมยเองก็ชักจะชอบการละเล่นนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
เฉ่าเหมยรู้นิสัยและทักษะการเอาตัวรอดของเฉ่าลู่และเทียนตี้ดี ฉะนั้นนางจึงไม่ได้เป็นกังวลมากนัก อีกทั้งน้องๆ ของนางยังเป็นที่รู้จักในฐานะลูกๆ ของแม่ทัพใหญ่ มีแต่ผู้คนให้ความยำเกรงและรังแต่จะให้ความช่วยเหลือเสียด้วยซ้ำ
เฉ่าเหมยลองคำนวณเวลาแล้ว คิดว่าไม่ถึงหนึ่งจิบชา[2]คงจะถูกตามตัวเจอเหมือนเคย องครักษ์เย่อินปราดเปรียวว่องไว มิเช่นนั้นบิดาคงไม่วางใจให้เขามาติดตามพวกตัวแสบอย่างพวกนางแน่
เสียงคนควบม้าดังเข้ามาใกล้ เฉ่าเหมยรีบหลบทางแต่แล้วเป็นต้องกรีดร้องดังลั่นเพราะถูกมือใหญ่มือหนึ่งกระชากตัวขึ้นไปบนหลังม้าเสียอย่างนั้น
“เจ้าเป็นใคร! ปล่อยข้านะ! กล้าดีอย่างไรมาลักพาตัวข้า!”
บุรุษที่กำลังควบม้าอยู่ทางด้านหลังหญิงสาวเหยียดยิ้ม “ลักพาตัวหรือ คุณหนูใหญ่กล่าวหาแล้ว”
เฉ่าเหมยหูผึ่ง นางจำเสียงอวดดีนี้ได้จึงผินหน้ามามอง “ไท่จื่อ!”
หวงไท่จื่อ หรือก็คือองค์ชายเยว่เฉิง บุตรชายคนโตขององค์ฮ่องเต้และองค์ฮองเฮา ว่าที่ประมุขคนต่อไปของแคว้น รูปลักษณ์งดงามสง่าดั่งเชื้อพระวงศ์ แม้จะสวมเสื้อผ้าเฉกเช่นชาวบ้านทั่วไปก็ยังรับรู้ถึงกลิ่นอายไม่ธรรมดาแผ่กระจายออกมาโดยรอบ
“ไท่จื่อปล่อยหม่อมฉันลง! ปล่อยเร็วสิ!”
“หากเจ้ายังไม่หยุดดิ้น ข้าจะโยนเจ้าลงไป”
เฉ่าเหมยเม้มปาก นางส่งสายตาไม่พอใจให้เยว่เฉิง บุรุษที่เห็นก็หัวเราะอย่างชอบใจแล้วเร่งฝีเท้าม้าให้เร็วขึ้น กระทั่งสองคนออกมาพ้นประตูเมือง
“ไท่จื่อจะพาหม่อมฉันไปไหน”
“ในเมืองคนเยอะ ข้าอยากหาที่สงบๆ ผ่อนคลายเสียหน่อย”
“แล้วทำไมต้องลากหม่อมฉันออกมาด้วยเล่า”
“ข้าไม่อยากออกมาคนเดียว”
โกหกชัดๆ เมื่อครู่บอกว่าคนเยอะ อยากหาที่สงบ แต่ดันไม่อยากมาคนเดียวหรือ บ้าหรืออย่างไรนะ เฉ่าเหมยลอบคิด
เยว่เฉิงหยุดม้าที่ริมแม่น้ำ เขากวาดสายตามองอย่างพอใจก่อนจะพาเฉ่าเหมยลงมา
“ท่านพ่อหม่อมฉันจะฆ่าพระองค์” เฉ่าเหมยว่าพลางทำท่ากางกรงเล็บใส่ เนื่องด้วยทั้งสองเติบโตมาข้างฮองเฮาเฟยอวี่ด้วยกัน จึงสนิทสนมและเขม่นใส่กันเสมอ
เยว่เฉิงเป็นองค์ชายที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ ทุกสิ่งที่ต้องการล้วนได้ดั่งใจปรารถนา กระทั่งได้มารู้จักกับเด็กน้อยนอกวังอย่างเฉ่าเหมย
เฉ่าเหมยในช่วงวัยประมาณหกขวบถูกรับอุปการะโดยเสด็จแม่ของเขา นิสัยของนางนั่นร่าเริงและช่างประจบสอพลอ เป็นเด็กหัวดื้อและชอบท้าทายอำนาจของเยว่เฉิงอยู่เสมอ
นับแต่นั้น เยว่เฉิงก็ไม่อาจสลัดเฉ่าเหมยออกจากหัวของตนได้อีกเลย
“ที่นี่สวยดีนะ เจ้าว่างั้นไหม”
เฉ่าเหมยเบ้ปาก มองหวงไท่จื่อที่เดินลงไปนั่งอยู่ริมลำธารครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามลงไป
“ไท่จื่อเองก็หนีออกมาเหมือนกันหรือ” เฉ่าเหมยเอ่ยถาม
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กน้อยเหมือนเจ้าหรืออย่างไร”
เฉ่าเหมยอยากจะอ้าปากด่านัก แต่เพราะตอนนี้นางเป็นรองจึงไม่กล้าใส่อารมณ์มาก ได้แต่พูดเสียงเรียบกลับไป “เหล่าองค์ชายองค์หญิง ห้ามออกนอกวังหลวงตามใจชอบมิใช่หรือ”
“ข้าคือหวงไท่จื่อนะ อยากจะไปไหนมาไหนก็ย่อมได้” เยว่เฉิงตอบพลางหยิบก้อนหินขว้างลงไปในลำธาร
เฉ่าเหมยพ่นลมหายใจแล้วทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ชายหนุ่ม นางมองสำรวจไปรอบๆ ในใจแอบคิดว่าสถานที่นี่ก็สวยไม่เบาเลย ไม่บ่อยนักที่เฉ่าเหมยจะได้ออกมาเที่ยวเล่นนอกเมือง ส่วนใหญ่นางมักใช้ชีวิตอยู่ในวังบ้าง ในจวนของบิดาบ้าง ถึงมีโอกาสออกมาข้างนอกแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเป็นอิสระแบบนี้
“สมัยเด็ก หม่อมฉันอาศัยอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลเมืองหลวง อยากจะไปไหนก็ไป อยากจะเที่ยวเล่นตอนไหนก็ได้ แต่ตอนนี้สิ...แค่เดินตลาดยังไม่ได้เลย” เฉ่าเหมยเอ่ยคล้ายรำพึงกับตัวเอง
“ข้ารู้”
เยว่เฉิงเม้มปากคล้ายขบคิดอะไรบางอย่าง “แต่ถึงเจ้าต้องเข้าวัง เจ้าก็สามารถออกมาเที่ยวตามใจต้องการได้นะ”
เฉ่าเหมยเปลี่ยนสีหน้าเป็นไม่พอใจทันที “ไท่จื่อ หม่อมฉันไม่เหมาะกับวังหลวง โดยเฉพาะไม่เหมาะกับตำแหน่งพระชายาของพระองค์ ที่สำคัญเลย...หม่อมฉันมีคนในใจอยู่แล้ว”
แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกปฏิเสธ แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่ได้ยิน มือใหญ่เอื้อมไปคว้าแขนของเฉ่าเหมยที่กำลังจะลุกขึ้นแล้วเอ่ยบอก “ข้าไม่มีวันยอมแพ้ ข้าจะต้องทำให้เจ้าหันมองมาที่ข้าให้จนได้”
...........................................................
บรรดาศักดิ์ป๋อ[1] = บรรดาศักดิ์ 5 ขั้นรองจากอ๋อง ได้แก่ กง โหว ป๋อ
หนึ่งจิบชา[2] = ประมาณ 15 นาที