EP.03 ร้อนเงิน

1178 คำ
‘พี่อรไม่เข้าใจหรอก บอกมาว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยเท่านั้น ไม่ต้องมาบ่นให้มากความ ถ้าพี่ไม่ช่วย ฉันก็แค่ติดคุกเท่านั้นแหละ จะยากอะไร’ ‘ทำไมแกพูดอย่างนั้นอิฐ ฉันเป็นพี่สาวแกนะ แกดูถูกน้ำใจพี่สาวคนนี้มากไปแล้ว ถ้าแกบอกพี่มาตรงๆ ว่าแกเอาเงินไปทำอะไร พี่อาจหาทางช่วยแกได้ แต่แกไม่บอกพี่ แล้วแกจะให้พี่ทำยังไง’ ‘พูดไปพี่อรก็ไม่เข้าใจฉันหรอก ฉันมันเป็นแค่น้อง ไม่ใช่ลูกพี่หนิ พี่จะมาช่วยเหลืออะไรฉันเต็มร้อย สุดท้ายพี่ก็ต้องเลือกอนาคตของยัยพุดอยู่ดี’ ‘แกพูดอะไรของแกอิฐ ยัยพุดมาเกี่ยวอะไรด้วย หลานไม่เคยยุ่งอะไรกับแกเลยนะ’ ‘ไม่ยุ่งได้ไง ก็เพราะพี่มียัยพุดไง พี่ถึงไม่สนใจฉัน เงินทุกบาททุกสตางค์ พี่ก็พูดแต่ว่าเก็บไว้ให้ลูก แล้วอย่างนี้พี่ยังจะมาบอกว่าถ้าฉันขาดเหลืออะไรก็ให้มาบอกพี่เหรอ เจอหน้าฉันทีไร พี่ก็บ่นว่าต้องจ่ายค่าเทอมยัยพุด ต้องจ่ายค่าเรียนพิเศษ ค่าเรียนเต้น ค่าเรียนรำไทย ค่าเรียนดนตรี เรียนวาดภาพ เรียนว่ายน้ำ สารพัดที่มันร่ำร้องจะเรียน แล้วพี่ก็หาเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตปรนเปรอมันทุกอย่าง มันอยากไปเรียนซัมเมอร์ที่เมืองนอก พี่ก็หาเงินส่งมันไป มันอยากซื้อข้าวของเครื่องสำอาง พี่ก็หาให้มันทุกอย่าง อย่างนี้พี่ว่าไม่เกี่ยวกับมันได้ยังไง เพราะพี่มีมันนั่นแหละ พี่เลยไม่สนใจฉัน’ ‘อิฐ... ทำไมแกคิดกับหลานแบบนั้น ยัยพุดมันเป็นลูกพี่ พี่ก็ต้องดูแลมันอย่างดีสิ เพราะมันเป็นลูก อะไรที่พี่ให้ลูกได้ พี่ก็ต้องให้ เพราะพี่ณัฐก็ตายไปแล้วนะ พี่เป็นแม่ก็ต้องชดเชยให้ลูกทุกอย่าง แล้วยัยพุดมันก็ไม่ใช่เด็กเหลวไหล นี่มันก็จะได้เกียรตินิยมด้วย อย่างนี้แกยังจะว่าหลานอีกเหรอ อย่ามาว่ายัยพุดมัน ยัยพุดไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย’ ‘นี่แหละ ที่ฉันไม่ขอความช่วยเหลือจากพี่’ ‘อิฐ แกอย่ามาโทษใคร และไม่ต้องโทษหลานด้วย แกทำอะไรไว้ แกย่อมรู้อยู่แก่ใจตัวเอง’ ‘พี่ไม่ต้องมาพูดมาก จะช่วยหรือไม่ช่วยบอกมาเท่านั้น ถ้าไม่ช่วยฉันจะได้ไป เสียเวลา’ ‘แล้วแกเอาเงินบริษัทมาเท่าไหร่’ ‘5 ล้าน’ ‘5 ล้าน!’ นั่นคือจำนวนตัวเลขที่แม่อุทานออกมาอย่างตกใจ ตามมาด้วยเสียงสบถอย่างไม่พอใจของน้าชาย ก่อนที่ประตูจะถูกกระชากให้เปิดออก สายตาน้าชายที่สบกับเธอนั้นมีแต่แววเกลียดชัง แต่เธอก็ไม่มีเวลาจะสนใจอะไรนอกจากจะถลาเข้าไปประคองแม่ที่ทรุดร่างลงนั่งอยู่กับพื้น จากวันนั้นครอบครัวของเธอก็ไม่เคยมีรอยยิ้มอีกเลย น้าอิฐไม่ยอมกลับไปจัดการกับเรื่องหนี้สินที่ก่อเอาไว้เพราะสาเหตุที่ยักยอกเงินบริษัทไปก็เพราะติดการพนัน แต่ทางบริษัทเห็นกับที่น้าอิฐทำงานมานาน จึงยื่นข้อเสนอให้น้าอิฐนำเงินไปคืนภายใน 1 เดือน แล้วจะไม่แจ้งดำเนินคดี ซึ่งน้าอิฐจะมีประวัติเพียงลาออกจากงานเองเท่านั้น แต่น้าอิฐกลับไม่ยอมเจรจาอะไรด้วยทั้งนั้น ได้แต่เมาหยำเปทุกวัน ส่วนแม่ของเธอก็ทุกข์หนัก เพราะไม่รู้ว่าจะหาเงินจำนวนมากมายนั้นมาจากที่ไหน จะไปหยิบยืมจากญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูง ก็ไม่รู้ว่าวันไหนจะมีไปใช้หนี้เขา สุดท้ายแม่ที่รักน้องชายมาก และคิดว่ามีส่วนผิดที่ทำให้น้องชายเป็นแบบนี้ จึงเข้าไปเจรจากับทางบริษัท เพื่อจะขอรับผิดชอบเงินทั้งหมดเอง แม่วิ่งเต้นทุกทางเพื่อให้ได้เงินมา แต่สภาวะของคนที่ร้อนเงิน ก็ย่อมเป็นช่องทางที่จะถูกเอาเปรียบได้ง่าย แม้จะเอาเต็นท์รถและบ้านไปจำนอง แต่นั่นก็ได้เงินมาแค่ 4 ล้านบาท ยังขาดอยู่อีก 1 ล้านบาทอยู่ดี ส่วนน้าอิฐนั้นก็ยังเมาอย่างคงเส้นคงวา จนเธอทนเห็นแม่มีความทุกข์อยู่แบบนั้นไม่ได้ แม้ว่าแม่จะบอกไม่ให้เธอยุ่ง ให้เธอจัดการเรื่องเอกสารที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศให้สำเร็จ ส่วนเรื่องนี้แม่จะจัดการเอง แต่เธอก็ทำอย่างที่แม่บอกไม่ได้หรอก เพราะความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ น้าอิฐ ‘อิจฉา’ เธอ น้าอิฐคิดว่าเธอเกิดมาเพื่อแย่งความรักของแม่ไป เดิมเธอรู้อยู่แล้วว่าน้าอิฐไม่ค่อยจะชอบเธอสักเท่าไร เพราะน้าอิฐมักจะปรามเธอเสมอ เวลาเธอขอแม่ทำกิจกรรมระหว่างเรียน แต่นั่นเธอคิดว่าน้าอิฐก็แค่กลัวว่าแม่จะเสียเงินเปล่าประโยชน์ไปกับเธอเยอะ เธอจึงตั้งใจเรียนทุกอย่างที่แม่อนุญาต และก็ทำได้ดีจนได้รางวัลมาประดับบ้านมากมาย แต่วันนี้เธอเพิ่งรู้ว่าทุกอย่างนั้นเพราะน้าอิฐเกลียดเธอต่างหาก และที่เธอทำทุกอย่างในวันนี้ก็ไม่ใช่เพื่อน้าอิฐ แต่เป็นเพื่อแม่ แม่ที่เสียสละให้เธอมาตลอด เธอจึงออกหางานทำ พร้อมทั้งสอบถามจากบรรดาเพื่อนสาวที่มีงานทำกันเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งส่วนใหญ่นั้นก็จะเป็นงานพริตตี้ หรือเป็นนางแบบบูธจัดแสดงสินค้า แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่สามารถทำเงินได้ 1 ล้านบาทภายใน 1 เดือนแน่ จนเธอคิดโทษตัวเองที่เอาแต่เรียน จนไม่สนใจที่จะทำงานอื่นเป็นอาชีพเสริม เพราะหากเธอทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย อย่างที่เพื่อนหลายคนทำ ป่านนี้เธอคงจะมีเงินเก็บหลายล้านบาทเหมือนเพื่อนสาวบางคนแล้วก็ได้ เธอพลาดเอง ‘ฉันน่าจะหางานทำระหว่างเรียนไปด้วยอ่ะชุ ป่านนี้ฉันคงมีเงินเก็บเยอะแยะอย่างยัยรุ้งยัยมิ้นท์บ้าง หรืออาจไม่เยอะแต่ฉันก็ไม่ต้องเร่งหาเงินให้วุ่นอย่างนี้’ ‘มันไม่เหมือนนะพุด ถ้าแกไปทำงานแบบนั้น แกก็จะไม่ได้เรียนเต้น เรียนดนตรี เรียนสารพัดอย่างที่แกเรียน เพราะยัยพวกนั้นเขาก็ต้องทำงานกันอย่างเดียวนะ เวลาว่างก็คือเรียนกับพักผ่อน ต้นทุนมาไม่เหมือนกัน แกน่ะโชคดีแล้วที่ได้เรียนอย่างเดียวไม่ต้องรับชอบอะไร’ นั่นคือคำพูดของ ‘ชุติมนต์’ เพื่อนสนิทหนึ่งเดียวตั้งแต่ประถมจนถึงระดับชั้นปริญญาตรี ชุติมนต์เป็นสาวหมวย พ่อแม่เปิดร้านขายข้าวสารอยู่ในตลาดแถวบ้านของเธอ และชุติมนต์นี่แหละที่ช่วยเธอหางานทำ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม