ตอนที่ 1
“ว๊าย!!! โอ๊ย!!!”
เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังขึ้นกลางดึก ก่อนร่างผอมบางของสาวน้อย ‘คล้ายเดือน เลิศอุไรวรรณ’ จะกลิ้งตกลงไปจากบันไดขั้นบนสุดของบ้านไม้กลางเก่ากลางใหม่ในรีสอร์ต ‘คล้ายเดือนเหมือนดาว’
ซึ่งปลูกอยู่ห่างทั้งบ้านคนงานและที่พักของแขกไปไม่น้อย เป็นเหตุให้ไม่มีใครได้ยินเสียงเลยแม้แต่คนเดียว ดูเหมือนสาวน้อยที่นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นจะรู้ดีในข้อนี้
จึงพยายามจะพาตัวเองตะเกียกตะกายจากพื้นใกล้บันไดไปหาประตูบ้านที่ถูกปิดสนิทเอาไว้ แถมล๊อกไว้อีกต่างหาก และสาวที่กำลังเจ็บหนักก็ไม่อาจจะคิดถึงจุดนี้ขึ้นได้ เพราะอาการเจ็บตรงท้องเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“พ่อจ๋า! ช่วยหนูเดือนด้วย! พ่อ!”
เสียงของสาวน้อยเปล่งออกมาไม่ดังมากพอที่จะมีใครได้ยิน ร่างบอบบางที่เคลื่อนย้ายไปตามพื้นในท่านอนคว่ำนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นท่าตะแคงอย่างยากลำบาก ก่อนจะเลื่อนมือลงไปลูบต้นขาขาวใต้ชุดนอนผ้าฝ้ายสีชมพู
“พ่อ! ช่วยหนูเดือนด้วย! พ่ออยู่ไหน! ช่วยด้วย!”
น้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด เพราะความเจ็บกาย และตกใจกับเลือดสดๆ เต็มมือบางหลังยกขึ้นมาดู ท้องก็เจ็บปวดแสนทรมาน แต่สาวน้อยคล้ายเดือนก็พยายามอย่างยิ่งที่จะพาตัวไปให้ถึงประตู “พ่อจ๋า! ช่วยหนูเดือนด้วย! หนูเดือนเจ็บ! พ่อ! พ่อ!”
ปากก็เรียกพ่อไป ตัวก็ค่อยๆ ตะเกียกตะกายไปเพื่อให้ถึงประตู “หนูดาว! ช่วยพี่ด้วย! หนูดาวอยู่ไหน! ช่วยพี่ด้วย!” ในใจก็คิดถึงมือถือที่ป่านนี้คงนอนอยู่บนเตียงหรือวางอยู่ไหนสักแห่งแน่ แม้อยากมีมันเพื่อจะได้เอามาโทรเรียกใครต่อใคร
แต่สาวน้อยคล้ายเดือนก็ทำได้เพียงแค่คิด เพียงแค่อยาก เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้เอาเสียเลย “ลูกแม่! อย่าเป็นอะไรไปนะลูก! แม่รักลูก! อย่าเป็นอะไรไปนะลูก!”
แม้จะอายุเพียงสิบเจ็ด แม้จะเสียใจกับความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่นี้ และแม้จะไม่เคยอยากได้ลูกคนนี้ยังไง แต่สามัญสำนึกของความเป็นแม่ที่มีในตัวสตรีทุกคนบนโลกนี้ ก็สะกิดใจคล้ายเดือนให้คิดถึงลูกในท้อง
ที่เพิ่งจะได้สี่เดือน และไม่มีใครได้ล่วงรู้ความลับนี้เลย รวมทั้งชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูกด้วย คล้ายเดือนไม่อาจจะเอ่ยปากบอกออกไปได้ ด้วยรู้ดีว่าเขาจะต้องพาไปทำบาปด้วยการกำจัดชีวิตของลูกออกไปแน่
“พี่ตะวัน! ช่วยหนูเดือนด้วยค่ะ! พี่ตะวันคะช่วยหนูเดือนด้วย! หนูเดือนรักพี่ตะวันค่ะ ได้ยินมั้ยคะว่าหนูเดือนรักพี่ตะวันค่ะ” และเมื่อมีอาการเจ็บปริ่มจะขาดใจ คล้ายเดือนก็ให้คิดถึงชายที่ตัวเองรักสุดหัวใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะรู้ดีว่าเขาไม่มีทางมาได้ยินเสียงเรียกนี้ เพราะบ้านน้อยหลังนี้กับบ้านหลังใหญ่โตของเขาอยู่ห่างไกลกันออกไปมากเหลือเกิน
มิหนำซ้ำ เขากับคุณป๋าก็ไม่ได้อยู่บ้านตั้งแต่เช้ามืดแล้ว โอกาสที่จะแวะมาหาพ่อโดยไม่ได้นัดหมายแล้วมาเจอตัวเองนอนเจ็บอยู่แบนนี้นั้นก็หมดสิ้นไปด้วย “พี่ตะวัน! ช่วยหนูเดือนด้วย! หนูเดือนกำลังจะมีลูกพี่ตะวันรู้มั้ย หนูเดือนกำลังจะได้เป็นแม่คนค่ะ ช่วยหนูเดือนด้วย!”
ไม่มีเสียงใดๆ หรือเสียงของใคร ตอบรับคำบอกกล่าวเล่าเรื่องอยู่คนเดียวบนพื้นกับเลือดในกายที่ไหลออกมาไม่หยุดหย่อนเลยด้วยซ้ำ น้ำตาเองก็ดูเหมือนจะไหลออกมาแข่งกับสายเลือดในกายไปด้วย “พ่อจ๋า!”
พ่ออันเป็นที่รักของสาวน้อยคล้ายเดือนก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับเข้าบ้านเลย ความหวังที่จะพาตัวเองให้รอดนั้นเริ่มริบหรี่ลงเรื่อยๆ แล้วในความคิดของคนที่นอนตะแคงอยู่กับพื้น “หนูดาว! ช่วยพี่ด้วย!”
แฝดผู้น้องสาวที่คล้ายเดือนรักไม่ต่างจากตัวเองก็ไม่มีทางจะมาช่วยได้ ในเมื่ออยู่ไกลกันหลายร้อยกิโลเมตร แม้จะรู้ดีว่าถ้ามีมือถือจะติดต่อน้องได้ และน้องจะต้องดิ้นรนหาคนมาช่วยเหลือได้ทันท่วงที ทว่าก็ไม่มีหนทางที่จะสื่อสารกันได้ แม้จากทางกระแสจิต ที่มักจะรู้สึกร่วมกันได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวเฉกเช่นแฝดคู่อื่นๆ ที่พึงมี
คล้ายเดือนก็ไม่คิดจะหวังอีกแล้ว เมื่อตัวและน้องต่างห่างกันมาหลายปีนับตั้งแต่พ่อกับแม่แยกทางกันแล้ว ร่างผอมบางที่เจ็บหนัก ค่อยๆ หมดเรี่ยวแรงลง ในขณะที่พากายจากบันไดไปหาประตูได้ไม่ถึงครึ่งทางด้วยซ้ำ ก็รู้ถึงชะตากรรมตัวเองได้เป็นอย่างดี จึงเลือกที่จะนิ่งๆ ฟุบอยู่กับพื้นอย่างคนยอมแพ้แก่ความตายแล้วเท่านั้น
โตโยต้าวีโก้คันเก่งคู่กายของ ‘ณรงค์ เลิศอุไรวรรณ’ หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบห้าค่อยๆ ถูกควบมาจอดไว้หน้าบ้าน ในเวลาเลยเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว พร้อมด้วยความเหนื่อยล้าจากหน้าที่การงานอันไม่มีวันจบสิ้น เขาลงจากรถพร้อมถุงข้าวต้มเจ้าประจำสำหรับใส่ตู้เย็นไว้ให้น้องชายกับลูกสาวได้ลุกขึ้นมาเวฟกินในตอนเช้าก่อนออกจากบ้านไปทำงาน ส่วนลูกก็ต้องไปเรียนตามปกติ
“หนูเดือน!!! เป็นอะไรไปลูก!!! หนูเดือน!!! หนูเดือน!!!หนูเดือน!!!”
ครั้นพอเปิดประตูบ้านเข้าไปได้ ก็ตกใจจนแทบช๊อก เมื่อเห็นลูกนอนฟุบหน้าลงอยู่บนพื้นท่ามกลางกลิ่นเลือดคละคาวคลุ้งไปทั่ว เขาทิ้งถุกข้าวต้มแล้วรีบอุ้มลูกขึ้นพาตรงออกไปหารถแล้วบึ่งไปยังโรงพยาบาลใกล้สุดทันที
“ญาติรอด้านนอกก่อนนะคะ!”
แม้จะอยากเข้าไปดูลูกด้วยความรักและห่วงยังไง แต่พยาบาลก็ไม่อาจจะให้เข้าไปในห้องฉุกเฉินได้ จึงเดินพากายที่มีเสื้อผ้าเปื้อนเลือดไปนั่งรออยู่หน้าห้องด้วยความมึนงง สงสัยว่าลูกมีสภาพแบบนี้ไปได้ยังไง
“พ่อขอโทษนะหนูเดือน พ่อขอโทษ” พร้อมกับโทษตัวเองที่เอาแต่ห่วงงาน จนลืมว่าทิ้งลูกอันเป็นที่รักยิ่งและเป็นสิ่งมีค่าสิ่งเดียวที่เขาหลงเหลืออยู่ไว้บ้านคนเดียว ณรงค์คิดทบทวนไปยังวันวานที่เขามักจะทุ่มเวลาให้กับงานมากกว่าจะมีเวลามาให้ความสนใจลูกอย่างใกล้ชิด แม้ที่ทำไปทั้งหมดนั้นจะเพื่อลูก เพื่อน้องชายที่มีเพียงคนเดียวก็ตาม แต่เขาก็เพิ่งจะได้คิดว่า ถึงจะมีเงิน มีกิจการเอาไว้แล้วไม่มีลูกหรือไม่มีใครมาคอยรับช่วงต่อ มันจะมีประโยชน์อะไร