ตอนที่ 8 แผนจับหัวขโมย
(ช่วงเช้า ณ ห้องเรียนของนักศึกษาปีที่ 1)
นักเรียนใหม่ทั้งสองคนและนักเรียนคนอื่นๆ อยู่กันพร้อมหน้า วันนี้ช่วงเช้าจะเป็นการเรียนวิชาศึกษาภูตผีที่นำสอนโดยอาจารย์ใหญ่
การเรียนในวิชานี้อาจารย์ใหญ่จะอธิบายถึงรูปแบบของวิญญาณ ที่อยู่ สาเหตุของบ่อเกิดกรรมและการรับมือกับวิญญาณร้ายที่อาจเจอเข้าสักวัน
“ก่อนที่พวกเราจะเริ่มเรียนกันและเพื่อความสนิทสนมกันให้มากขึ้น พวกเจ้าก็ควรรู้จักชื่อของข้าเอาไว้ก่อน ข้าอาจารย์ใหญ่! ‘ขุนปราชญ์มานู โกสาอำพันธ์’ แห่งสถาบันหมื่นปทุมแห่งนี้จะรับหน้าที่ดูแลพวกเจ้าต่อจากนี้ไป” ชายแก่ฮิปปี้มีท่าทางแตกต่างไปจากช่วงเวลาปกติโดยสิ้นเชิง
เงียบกริบ~
“…ข้าเป็นอาจารย์ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบสอนสั่งพวกเจ้าเกี่ยวกับวิชาศึกษาภูตผีและวิชาสิ่งมีชีวิตในต่างมิติ ซึ่งในวันนี้ข้าจะสอนพวกเจ้าเกี่ยวกับวิชาศึกษาภูตผี เอาล่ะอย่าชักช้าเปิดตำราไปหน้าที่ 23 ซะ” ชายแก่เครายาวแต่งตัวสะดุดสายตาผู้รับผิดชอบการเรียนในวันนี้กล่าวแนะนำตัวขึ้น
“คร้าบบบ/ค่าาา”
“เรื่องที่พวกเราจะต้องมาเรียนกันในวันนี้ก็คือ รูปแบบของวิญญาณที่มีการปรากฏเป็น 4 ประเภทง่ายๆ คือ หนึ่ง! ‘วิญญาณล่องลอย’ วิญญาณประเภทนี้จะล่องลอยไปเรื่อยๆ ไม่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเองเปรียบเสมือนอากาศธาตุ มักโผล่มาให้เห็นวับๆ แวมๆ โดยไม่รู้ตัว วิญญาณประเภทนี้พวกเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจก็ได้ไม่มีอันตรายอะไร”
“สอง! ‘วิญญาณกรรม’ วิญญาณประเภทนี้จะมาจากสิ่งมีชีวิตที่ก่อกรรมมา ทั้งกรรมดีและกรรมชั่วรวมไปถึงวิญญาณอาฆาตต่างๆ ด้วย เจ้าพวกนี้นี่แหละที่ชอบโผล่ออกมาให้ผู้คนเห็นกันประจำ” ชายแก่ฮิปปี้ตั้งใจสอนสั่งอย่างมุ่งมั่นผิดกับท่าทางเอื่อยเฉื่อยที่มักแสดงให้เห็นก่อนหน้า
“พวกคุณรุขเทวดาจิ๋วก็คงเป็นวิญญาณแบบนี้สินะ” ฮารุพูดขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับวาดรูปของเหล่ารุขเทวดาตัวน้อยลงไปในหน้าหนังสือโดยที่ไม่สนใจการสอนของขุนปราชญ์มานูแม้แต่น้อย
“ต่อไปอย่างที่สาม ‘วิญญาณผิดปกติ’ เจ้าพวกนี้ก็คือวิญญาณที่มีพลังงานแกร่งกล้า ส่วนมากจะปรากฏออกมาในรูปแบบกายเนื้อ พวกเล่นของ คนทรง หมอผีหรือผู้ที่มีอาคมก็จะถูกนับให้อยู่ในประเภทนี้ด้วย” ชายแก่เครายาวอธิบายต่อ
ฟรึบ
“อาจารย์คะ งั้นพวกเราที่เป็นผู้มีอาคมก็ถูกจัดอยู่ในประเภทนี้เช่นเดียวกับวิญญาณงั้นหรอคะ?” ยาหยี นักเรียนสาวแว่นตากลมผู้เป็นหัวหน้าห้องยกมือขึ้นถาม
“ใช่แล้ว มนุษย์ที่เกิดมามีอาคมแม้เพียงเล็กน้อยเมื่อตายไปก็จะกลายเป็นวิญญาณประเภทนี้ รวมถึงพวกเราที่รับรู้ถึงการมีอยู่ของอาคมในร่างกาย”
“ เมื่อพวกเราตายไปดวงจิตก็จะถูกส่งเข้าสู่สายธารวัฏจักรวังวน ที่ที่เป็นบ่อเกิดของพลังอาคม เพื่อชำระล้างอาคมในร่างกายให้กลับคืนสู่สายธารจากนั้นดวงจิตที่บริสุทธิ์และไร้ซึ่งความทรงจำในอดีตก็จะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง” ชายแก่ฮิปปี้กล่าวอธิบายเพื่อคลายความสงสัยแก่นักเรียนหญิงหัวหน้าห้อง
“กลับเข้าเรื่องที่เราเรียนกันวันนี้ก่อนเต๊อะ ประเภทที่สี่! ประเภทสุดท้าย ‘วิญญาณบรรพกาล’ เจ้าพวกนี้ก็คือวิญญาณที่มีพลังงานอาคมแกร่งกล้าไร้สิ้นสุด เจ้าพวกนี้นานๆ ครั้งก็จะโผล่ออกมาให้วุ่นวายกันไปทั่วถือว่ารับมือยากเอาเรื่องเลยล่ะ”
ชายแก่เครายาวหันมองไปยังนักเรียนหนุ่มผมแดงที่ฟุบหลับอยู่บนโต๊ะด้วยสายตาที่เหมือนกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
จากนั้นอาจารย์ใหญ่ขุนปราชญ์มานูก็ให้เหล่านักเรียนศึกษาหาความรู้ในตำรากันเองจนหมดคาบเรียนช่วงเช้า นักเรียนทุกคนต่างก็พากันออกไปพักผ่อนทำกิจกรรมส่วนตัวของตนตามอัธยาศัยเพื่อรอการเข้าเรียนในช่วงบ่ายซึ่งก็คือ วิชาสมุนไพรศาสตร์
(ณ โรงเพาะชำเรือนกระจกหลังสถาบัน เวลาบ่าย 2 โมง (14:00))
ตึก ตึก ตึก ตึก
ในช่วงบ่ายนี้แต่เดิมจะต้องเป็นการเรียนการสอนเกี่ยวกับการปรุงยาและสมุนไพรที่จำเป็นต้องไปเข้าเรียนที่โรงเรือนเพาะชำสมุนไพรที่ตั้งอยู่ในส่วนหลังสุดของสถาบัน แต่ในตอนนี้อาจารย์ผู้สอนประจำวิชาต้องออกไปทำภารกิจข้างนอกสถาบันทำให้ผู้ที่เข้ามาทำหน้าแทนก็คือ…
“หือ!? นั่นอาจารย์ใหญ่นี่นา” องอาจกล่าวขึ้นเมื่อเห็นขุนปราชญ์มานูเดินเข้ามาใกล้
“อ๊ะ อาจารย์ใหญ่มาทำอะไรที่โรงเรือนสมุนไพรหรอครับ?” รัมย์ ชายหนุ่มร่างผอมนัยน์ตาดำคล้ำที่นำทางเพื่อนๆ นักเรียนมายังโรงเพาะชำเรือนกระจกทักขึ้นเมื่อหันไปเห็นชายแก่เครายาวในชุดสีโดดเด่นฉูดฉาด
“จะอะไรซะอีกเล่า ก็อาจารย์ประจำวิชาสมุนไพรออกไปทำภารกิจข้างนอกนะสิ ส่วนข้าก็ว่างพอดีเลยมาเพื่อสอนเกี่ยวกับวิชาปรุงยาและสมุนไพรแทนอาจารย์นิรันดานะ”
‘โธ่วเอ๊ยนึกว่าจะได้นอนเล่นสบายๆ ซะอีก เห้อ~’ แม้แพรววาจะไม่ได้พูดในสิ่งที่เธอคิดออกมาเป็นคำพูดแต่ก็สามารถเห็นประโยคเหล่านั้นที่สลักอยู่บนใบหน้าอันบึ้งตึงของเธอได้อย่างชัดเจน
“แต่เอ๋…สงสัยข้าคงไม่ได้เข้ามาที่โรงเรือนสมุนไพรนี้เสียนาน ทำไมสมุนไพรถึงได้ขาดๆ แหว่งๆ ไม่สวยงามเช่นนี้กันละ แม้สมุนไพรหายากจะต้องการดูแลอยู่บ้างแต่ก็ไม่น่ามีสภาพเป็นเช่นนี้นา” เมื่อเห็นสวนสมุนไพรที่ขาดการดูแลอีกทั้งบางแปลงก็ดูเหมือนจะโดนขุดเสียหายอีกด้วยปราชญ์มานูจึงกล่าวสงสัยขึ้น
“นั่นสินะดูโล่งๆ ไม่เป็นระเบียบจริงๆ ด้วยแฮะ” องอาจพูดขึ้นพร้อมกับทำหน้าครุ่นคิด
“…เอ่อ ถึงฉันจะไม่มีความรู้ด้านนี้แต่มันก็ดูขัดตาจังนะที่นี่” ชาไทยก็หันไปมองทางซ้ายที มองทางขวาทีก็เห็นแต่พื้นดินตะปุ่มตะป่ำโล่งๆ เท่านั้น
“อืมดูๆ ไปแล้วเหมือนกับว่าจะถูกสัตว์อย่างกระต่ายหรือหนูเข้ามาขุดคุ้ยเลยนะ” ฮารุเห็นสภาพของสนุนไพรที่ขาดวิ่น
“เป็นไปไม่ได้หรอก สมุนไพรที่มีพลังอาคมอยู่ข้างในไม่มีทางโดนสัตว์ตัวเล็กๆ อย่างนั้นทำให้มีสภาพเป็นเช่นนี้ได้หรอกน่า” แพรววาที่พอจะรู้เรื่องสมุนไพรพูดแทรกกลับ
เมื่อทุกคนมองไปรอบๆ ภายในเรือนกระจกก็พบว่าแปลงสมุนไพรมากมายถูกขุดคุ้ยจนเสียหายไม่มีชิ้นและไม่ใช่แค่โรงเรือนเดียวที่เป็นเช่นนี้
“เรื่องนั้น …ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกันเพราะมันเริ่มผิดสังเกตตั้งแต่เมื่อ 7 วันก่อนตอนที่อาจารย์นิรันดาออกไปทำภารกิจแล้วครับ ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนที่หาโอกาสเข้ามาขุดสมุนไพรหายากตอนที่อาจารย์นิรันดาไม่อยู่” รัมย์ พูดข้อสงสัยที่ตัวเขาคิดว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ที่สุดให้คนอื่นๆ ได้รับรู้
“หลังจากวันที่แปลงสมุนไพรถูกขุดคุ้ยจนเสียหาย ตั้งแต่วันนั้นทุกคืนผมก็มาเฝ้าแล้วก็มานอนอยู่ที่นี่เพื่อคอยจับตัวคนร้ายครับ แม้จะมีประตูเข้าออกทางเดียวแต่ผมก็ไม่เห็นมีอะไรผิดสังเกตจนเผลอหลับไปทุกครั้ง ตอนตื่นเช้าขึ้นมาแปลงสมุนไพรก็ถูกทำให้กลายเป็นสภาพอย่างที่ทุกคนกำลังเห็นอยู่นี่แล้วล่ะครับ” รัมย์กล่าวต่อด้วยใบหน้าหม่นๆ ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก
“นั่นมันฟังดูเหลือเชื่อมากเลยแฮะ เป็นไปได้ไหมว่าจะมีอะไรอยู่ใต้ดินรึเปล่า?” แพรววานับถือความอดทนของรัมย์พร้อมกับตั้งข้อสงสัยที่เธอคิดได้
“หุ หุ นั่นสินะ ที่ข้าฟังพวกเจ้าพูดมาข้าว่าพวกเจ้าก็ควรทำอะไรที่นักเรียนชั้นปี 1 ของสถาบันเราพอจะทำได้ก่อนนะ” ขุนปราชญ์มานูกล่าวเสริมข้อสงสัยของนักเรียนทุกคน
“อื้ม~ ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าใช้อาคมในเขตโรงเรือนแห่งนี้เพื่อหาข้อเท็จจริงได้ แต่อย่าสนุกกันจนเผลอทำให้เรือนกระจกแห่งนี้พังลงมาซะละ ข้าไม่ช่วยซ่อมมันหรอกนะ หุ หุ”
ขุนปราชญ์มานูกล่าวบอกพร้อมกับอมยิ้มกรุ้มกริ่มไปด้วยเพราะในใจลึกๆ เขาก็แค่อยากจะมานอนทำตัวสบายๆ สูดดมกลิ่นหอมๆ ของสมุนไพรและรับลมเย็นๆ ที่โรงสมุนไพรแห่งนี้เท่านั้นเองไม่ได้มีเจตนาจะมาสอนวิชาสมุนไพรศาสตร์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“อ๊ะ! ยกเว้นเจ้านะไอ้หัวเงาะถ้าเจ้าใช้อาคมละก็มีหวังที่แห่งนี้คงพินาศก่อนจะหาต้นตอที่เกิดขึ้นได้แน่” ขุนปราชญ์มานูตะโกนบอกนักเรียนใหม่ผมแดงขณะที่ตัวเขากำลังนอนในท่าสบายๆ เอกเขนกอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
“เอ๋?~”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เสียใจด้วยนะเจ้าหัวแดง” ฮารุเดินเข้าไปหยอกล้อและตบบ่าของเพื่อนผมแดงที่ใช้นิ้วเขี่ยดินไปมาอยู่กับพื้น
“นี่ฮารุเธอจะใช้อาคมของเธออัญเชิญตัวอะไรออกมาก็ได้งั้นหรอ งั้นก็อัญเชิญตัวที่มันสามารถตามรอยกลิ่นได้ทีสิ อย่างเช่นพวกหมาไงถ้าเป็นสัตว์จากหิมพานต์คงจะมีประสาทการดมกลิ่นที่ดีนะ” องอาจเข้ามาถามฮารุเพื่อขอให้เธออัญเชิญสุนัขออกมาตามรอยกลิ่นเผื่อจะสามารถหาต้นตอได้บ้าง
“เอ่อ… จะว่ายังไงดีล่ะ ตัวที่ฉันพอจะสามารถอัญเชิญออกมาได้มีไม่กี่อย่างด้วยสิ แถมยังไม่มีตัวไหนที่สามารถตามรอยกลิ่นได้เลยสักตัวนะสิ …ขอโทษนะ”
จากที่มีท่าทีร่าเริงเมื่อครู่เธอกลับต้องไปนั่งเขี่ยดินข้างๆ ชาไทยแทนเพราะตัวเธอเองก็มีจุดอ่อนในใจที่ไม่อาจบอกใครได้เช่นกัน นั่นก็คือเธอไม่สามารถควบคุมหรือบงการสัตว์หิมพานต์ที่อัญเชิญออกมาได้สักตัวเดียวแม้จะมีสายเลือดจากทางฝั่งพ่อผู้ที่เป็นผู้ใช้อาคมสายอันเชิญอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่นก็ตาม
“เอ่อ… ไม่เป็นไรน่าไม่ต้องทำหน้าเศร้าอย่างนั้นก็ได้ เอาล่ะ ฮารุ! ชาไทย! พวกเรามาพยายามไปด้วยกันดีกว่า!” องอาจให้กำลังใจเพื่อนใหม่ทั้ง 2 คน เพื่อให้ทั้งคู่มีใจฮึดสู้ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ครืน ครืน ครืน
“เหวอ~ อะไรเนี่ยแผ่นดินไหวงั้นเหรอ”
“ว๊ากกก”
ทุกคนเกิดความสับสนโวยวายและร้องตะโกนกันเสียงดัง เนื่องจากจู่ๆ ก็เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงจนทำให้โรงเรือนทั้งหลังที่มีอาคมบางๆ ปกป้องอยู่เกิดการสั่นไหวได้
“ฮี่ ฮี่ เป็นไงละ! อาคมของฉันสุดยอดไปเลยใช่ม้า~” แพรววาที่มือข้างขวาของเธอเลอะไปด้วยเศษดินโบกมือให้เพื่อนๆ ที่เสียหลักล้มลงจากแผ่นดินไหวโดยฝีมือของเธอเอง
“เอ๋! นี่เธอทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยเหรอ สุดยอดสุดๆ ไปเลยน๊า~” ฮารุหลังจากรับรู้ว่าแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของแพรววาก็กลับมาตาเบิกกว้างด้วยความสนใจขึ้นทันที
“มีพลังที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างงั้นได้ด้วยหรอเนี่ย สุดยอดไปเลยนะผู้หญิงคนนั้นนะ”
ชาไทยกล่าวชื่นชมและมีเรื่องให้ต้องแปลกใจอยู่ไม่น้อยหลังจากที่เขาได้เข้ามายังสถาบันอาคมแห่งนี้แล้ว เพราะตัวเขาไม่เคยคิดฝันเลยว่าบนโลกเล็กๆ ใบนี้จะมีบุคคลที่สามารถทำให้เกิดภัยพิบัติขนาดย่อยๆ หรือผู้ที่สามารถฝืนกฎธรรมชาติเช่นนี้ได้ โลกนี้นั้นช่างกว้างใหญ่กว่าที่ตาเห็นจริงๆ
หลังจากที่ทุกคนช่วยกันหาอยู่นานสองนานก็ไม่พบวี่แววหรือต้นตอของสิ่งที่สามารถทำให้เหล่าสมุนไพรหายากขาดวิ่นได้เลยจนหมดคาบเรียนช่วงบ่าย
“เอาละ! งั้นตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปทุกคนจงมาช่วยรัมย์เพื่อนตัวน้อยของเจ้าจับคนร้ายที่มาขโมยสมุนไพรและดูแลสมุนไพรให้กลับมาดูดีอย่างเช่นเดิมซะนะ”
“หาว~ ส่วนข้าก็มีงานรัดตัวจนไม่มีเวลาที่จะมาช่วยพวกเจ้าได้ แม้ข้าจะอยากมาช่วยจนใจแทบขาดมากขนาดไหนก็ตาม แต่ก็จงจำเอาไว้ว่าข้าเป็นกำลังใจให้พวกเจ้าเสมอ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ขุนปราชญ์มานูพูดออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยที่ไม่อาจมาช่วยพวกเด็กๆ นักเรียนในการค้นหาความจริงได้ จึงกลับไปยังคฤหาสน์หลักทันทีที่สิ้นคาบเรียนช่วงบ่าย
ตึก ตึก ตึก ตึก
“…”
“โธ่เอ๊ย เมื่อตอนแรกยังบอกอยู่เลยแท้ๆ ว่ากำลังว่างอยู่น่ะ ที่จริงแล้วก็แค่ตาแก่ขี้เกียจดีๆ นี่หว่า” ชาไทยบ่นออกมาเบาๆ หลังจากที่ขุนปราชญ์มานูเดินออกไปไกลแล้ว
“เหอะ! ใครอยากจะทำอะไรก็ทำไปอยากจะอยู่ก็อยู่ไป ข้าไม่สนหรอกเว้ย” หนุ่มหางเสือผิวแทนที่ทั้งวันเอาแต่นอนดูเพื่อนๆ ค้นหาเบาะแส พูดขึ้นก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดออกไปจากเรือนกระจก
“ดะ เดี๋ยวก่อนสินิว” รัมย์หนุ่มตัวเล็กก็ไม่สามารถห้ามความเอาแต่ใจของสมิงหนุ่มได้
“เห้อ ให้มันได้อย่างนี้สิน้า~ ไอ้แมวขี้เรื้อนไร้น้ำใจเอ๊ย!” แพรววาสาวผมขาวก็พูดขึ้นมาเบาๆอย่างไม่พอใจการกระทำของหนุ่มหางเสือผิวแทนเช่นกัน
“ปล่อยเขาไปเหอะหน่ามาโฟกัสที่ภารกิจของเรากันดีกว่า คิดซะว่าเป็นการทำภารกิจจำลองกันดีกว่าเนอะ ฮ่า ฮ่า” องอาจกล่าวบอกด้วยมุมมองของผู้ที่มองโลกในแง่ดี
“แล้วจากนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันต่อล่ะ?” สาวชาวญี่ปุ่นเอ่ยถามขึ้นมา
“ก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องร่วมมือช่วยเหลือกันหาสาเหตุและต้นตอที่ทำให้สมุนไพรเป็นอย่างนี้ให้ได้ งั้นตอนนี้ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำธุระของตัวเองนะ อีก 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็จะ 6 โมงเย็นพอดีพวกเราจะมารวมตัวกันที่ตรงนี้อีกครั้ง” ยาหยีสาวแว่นตากลมพูดกล่าวนัดหมายให้แก่เพื่อนๆ
จากนั้นทุกคนจึงไปเตรียมสัมภาระต่างๆ และอุปกรณ์เฝ้ายามเพื่อย้ายมาเฝ้าระวังยังโรงเรือนท้ายสถาบันในช่วงเย็นอีกครั้ง
(เวลา 6 โมงเย็น (18:00 น) ณ โรงเพาะชำเรือนกระจกหลังสถาบัน)
“โอเคทุกคน เตรียมสัมภาระกันมาพร้อมแล้วใช่ไหม งั้นฉันจะอธิบายรายละเอียดคร่าวๆ ให้เลยแล้วกันนะ ที่นี่มีโรงเรือนที่เสียหายจากการถูกขุดคุ้ยไปแล้ว 7 โรงเรือน ซึ่งก็จะเหลืออีก 3 โรงเรือนที่ยังคงอยู่ในสภาพที่ดีอยู่และมีความเป็นไปได้ว่าเจ้าตัวการที่ทำความเสียหายจะเล็ง 1 ใน 3 โรงเรือนนี้ไว้ในคืนนี้” ยาหยี หัวหน้าห้องพูดชี้แจงสาเหตุเบื้องต้น
“อืมมม นั่นสินะก็ตั้งแต่ที่อาจารย์นิรันดาออกไปทำภารกิจเจ้าตัวการก็ลงมือทันทีเลย 7 คืน คืนละโรงเรือน ไม่แน่ว่าเจ้านั่นอาจจะมาที่นี่ในคืนนี้อีกเพื่อรวบรวมสมุนไพรตอนที่อาจารย์นิรันดาไม่อยู่” องอาจหนุ่มหน้าหล่อผมดำแสกกลางสไตล์เกาหลีเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของหัวหน้าห้อง
“เอ่อ ขอบใจนะทุกคนที่มาช่วยผมในการจับตัวคนร้ายน่ะ” รัมย์พูดขึ้น
“เอาไว้จับเจ้าคนร้ายให้ได้ก่อนดีกว่าหน่า” แพรววากล่าว
“เอาล่ะ ในเมื่อมีความเป็นไปได้สูงที่เจ้านั่นจะมาที่นี่อีกงั้นฉันจะแจงรายละเอียดเลยแล้วกัน โรงเรือนที่ 8 ฉันจะให้ชาไทยกับองอาจเป็นผู้เฝ้าดูแล โรงเรือนที่ 9 ฮารุกับแพรววา” สาวหัวหน้าห้องแจกแจงรายละเอียดให้แก่เพื่อนๆของตน
“ส่วนโรงเรือนสุดท้ายโรงเรือนที่ 10 ฉันกับรัมย์จะรับหน้าที่เฝ้าระวังเอง หากใครพบกับเจ้าตัวการเมื่อไหร่ให้ปิดทางเข้าออกแล้วส่งเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือทันทีนะ” สาวหัวหน้าห้องแจกแจงรายละเอียดให้แก่เพื่อนๆ ของตน
“อืม/เออ/จัดไป/มาพยายามกันเถอะ!” ทุกคนขานรับอย่างพร้อมเพรียง
หลังจากแจกแจงรายละเอียดและวางแผนการกันจนเสร็จแล้ว ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ในแต่ละโรงเรือนอย่างมุ่งมั่นเพื่อหวังจะจับตัวการที่ทำให้โรงสมุนไพรเสียหายให้จงได้
(โรงเพาะชำเรือนกระจกหลังที่ 8 เวลาเที่ยงคืน (00:00))
จนเวลาได้ล่วงเลยมาถึงกลางดึก ซึ่งในคืนนี้ช่างโชคดีที่ท้องฟ้าและเมฆในมิติที่ตั้งของสถาบันหมื่นปทุมแห่งนี้เปิดกว้างทำให้เห็นแสงจากพระจันทร์เต็มดวงสว่างไสวชัดเจน
“อืมๆ เอาล่ะเจ้ามนุษย์บทเรียนที่เอ็งจะต้องเรียนต่อไปก็คือเรื่องเพลิงความร้อนที่เป็นอาคมเฉพาะตัวของเผ่าพันธุ์ยักษ์ชั้นสูง…หือ!?” สาตาคิรยักษ์เมฆจิ๋วยังคงมีจิตวิญญาณของอาจารย์เต็มที่
“คร่อก~ฟี้” หนุ่มผมแดงฟังคำพูดของเมฆจิ๋วเคลิ้มจนเผลอหลับไป
“เห้ย! เจ้ามนุษย์บื้อ ตื่นซิเฟ้ยบทเรียนนี้มันเป็นพื้นฐานของพื้นฐานเลยนะเฟ้ยไอ้เบื๊อก” สาตาคิรยักษ์เมฆจิ๋วสีเหลืองหน้ายักษ์กระซิบกระซาบก่อนจะใช้ตัวพุ่งเข้าชนเพื่อหวังจะปลุกหนุ่มผมแดงให้ตื่นมาเรียนต่อให้จงได้
ฟุบ ฟุบ ฟุบ
“คิก คิก ฮ่า ฮ่า คร่อก~” หนุ่มผมแดงได้แต่นอนหลับละเมออมยิ้มหัวเราะเบาๆในลำคอโดยที่สาเหตุมาจากก้อนเมฆจิ๋ว
“…”
“ข้าบอกให้ตื่นไงเล่า! เจ้าบื้อ!” เมฆจิ๋วหัวเสียและยังคงพุ่งชนต่อไป
เวลาที่ล่วงเลยมาตั้งนานค่อนคืนก็ยังคงไม่มีวี่แววของเจ้าตัวการที่จะเข้ามาเพื่อหวังขุดคุ้ยขโมยสมุนไพรหายากไป จนทำให้ทั้งสองหนุ่มนักศึกษาไม่อาจทนทานต่อความง่วงได้ ชาไทยกับองอาจบัดนี้ได้ผล็อยหลับไปในความเงียบภายใต้แสงจันทร์เสียแล้ว…
(โรงเพาะชำเรือนกระจกหลังที่ 9)
“หาว~ ง่วงจะตายอยู่แล้ว” ฮารุตาปรือจากความง่วง
“ฮัดชิ้ว! อ๊า~เป็นหวัดซะได้รู้สึกได้ถึงลางไม่ดีเลยแฮะ” แพรววาพูดขึ้นด้วยเสียงอู้อี้พร้อมกับใช้แขนเสื้อของตนเช็ดน้ำมูกที่ไหลออกมา
“ไม่เป็นไรหรอกหน่ายังไงวันนี้ก็ต้องจับเจ้าตัวการที่มาขโมยสมุนไพรให้ได้!” ฮารุพูดให้กำลังเพื่อนสาว
แว้บบบ ฟิ้ววว
“ใช่แล้ว! จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละแม่หนูน้อยทั้งหลายเพราะว่าข้ามาแล้วไง! ท่านสดายุวิหคมรกตผู้นี้จะเป็นผู้จัดการเจ้าโจรขโมยชุดชั้นในให้เอง! แกว๊ก ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
สดายุพุ่งพรวดออกมาจากกำไลข้อมืองาช้างของฮารุก่อนจะตะโกนเสียงเก๊กหล่อโอ้อวดตัวเองเสียงดังพร้อมกับบินวนไปวนมารอบๆ ภายในโรงเรือนที่ 8 ด้วยความมุ่งมั่น
“ง๊ะ!? ไอ้เจ้านกบ้านั่นชอบออกมาตามอำเภอใจตัวเองอยู่เรื่อย ถ้าไปบินส่งเสียงแหกปากแบบนั้นจะเรียกว่าการซุ่มจับคนร้ายได้ยังไงกันละโว้ย!”
“…แล้วก็ไม่ใช่ชุดชั้นในแต่เป็นสมุนไพรต่างหากละเว้ยเจ้าโง่!” ความง่วงที่บดบังสายตาของฮารุถูกสลัดหายไปเป็นปลิดทิ้ง ฮารุลุกขึ้นพรวดออกจากที่ซ่อนของตนเองพร้อมกับตะโกนโต้เถียงกับนกสีเขียวมรกต
“นะ นี่ฮารุอย่าลุกออกไปอย่างงั้นซี่… ให้ตายสินี่สินะลางไม่ดีที่รู้สึกได้น่ะแย่ชะมัด …ฮือๆ” แพรววาได้แต่ก้มหน้ามองพื้นดินอย่างท้อใจยอมรับว่าแผนที่วางเอาไว้บัดนี้ได้ละลายหายไปสิ้นแล้ว
(โรงเพาะชำเรือนกระจกหลังที่ 10)
“นี่ยาหยีๆ เธอได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวายบางอย่างมาจากโรงเรือนที่ 9 ไหม? เหมือนผมจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างนะ” รัมย์ที่รู้สึกว่าได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นจึงเอ่ยปากถามสาวหัวหน้าห้อง
“หือ? ไม่ได้ยินนะ นายหูแววไปเองหรือเปล่า? ฉันว่าเรามาตั้งใจจับตาดูกันก่อนดีกว่าอย่ามัวว่อกแว่กเลย” ยาหยีสาวแว่นตากลมยังคงทำหน้าที่ของตนอย่างมุ่งมั่น
ขณะที่นักเรียนทุกคนที่อาจจะได้ทำตามแผนอย่างตั้งใจหรืออาจจะมีอะไรทำให้ผิดแผนไปบ้างแต่ทุกคนกลับไม่รู้ตัวเลยว่าเจ้าตัวการที่เข้ามาขโมยสมุนไพรหายากบัดนี้ได้กำลังเฝ้ามองทุกการกระทำของพวกเขาเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
‘หึ หึ หึ’