“ก็พราวน่ะสิคะ...” น้องสาวตัวดีพูดไปยิ้มไป “พราวบอกว่า...”
พูดกั๊ก ๆ เอาไว้เพื่อรอดูท่าทีของพี่ชายตนเองแล้วก็หยุดไป ไม่พูดต่อเสียอย่างนั้น
ฐิรดลนิ่งรอฟังอย่างตั้งใจ พอเห็นว่าน้องสาวทำเล่นแง่ใส่ก็รู้ในทันที ทำท่าจะลุกจากไปอีกคน สุดท้ายแม่ตัวดีเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง ดึงแขนพี่ชายให้อยู่ฟังก่อน “พราวบอกว่าพี่คีย์น่ะสูงอย่างกับเสาไฟฟ้า ตอนจบได้เป็นหมอ คงต้องนั่งหมอบกับพื้นถึงจะตรวจคนไข้ได้พอดีค่ะ”
ฐิรดลบอกอย่างรู้ทันกัน “ไม่ใช่เพื่อนเราหรอกที่พูด เรานั่นแหละ” แล้วยื่นมือออกไปขยี้หัวน้องสาว โดยมีสายตาของมณีนาถมองนิ่งอยู่อย่างนั้น พอเห็นฐิรดลหันมามองที่ตนบ้างก็หลบสายตาวูบลงที่การบ้านตรงหน้า ใจเต้นแรงหน้าแดงไม่ต่างจากภัทรวรินทร์เมื่อครู่นี้เลยสักนิด
ส่งของให้น้องแล้ว ฐิรดลขึ้นไปพบอาจารย์ที่ห้องของฝ่ายวิชาการ เพราะทางโรงเรียนนัดให้เขามาถ่ายรูปและสัมภาษณ์ลงในหนังสือของโรงเรียน เพื่อบอกกล่าวแก่รุ่นน้องว่าในรุ่นพี่ที่ผ่านมามีใครที่สอบเข้าที่ไหน พอเชิดหน้าชูตาโรงเรียนได้บ้าง และ ฐิรดลก็เป็นหนึ่งในนักเรียนที่ทางอาจารย์ขอความร่วมมือให้เข้ามาในวันนี้
จนเลิกเรียนแล้ว ภัทรวรินทร์โบกมือลาเพื่อนซี้ แล้วเดินแยกไปขึ้นรถสองแถวเพื่อกลับเข้าบ้านเหมือนอย่างทุกวัน
บ้านที่เธอพักอาศัยอยู่เป็นตึกแถวที่จงใจสร้างหน้าบ้านเชื่อมไปทางบ้านที่อยู่อีกตรอกได้ มีขนาดสี่คูหา ตั้งอยู่ในซอยลึกที่เป็นซอยตัน รอบด้านไม่มีบ้านของใครเลย ที่หน้าตึกแบ่งพื้นที่เป็นหน้าร้านเล็ก ๆ ที่ซึ่งเป็นร้านรับตัดเย็บซ่อมแซมเสื้อผ้า เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปยังด้านหลัง จะเป็นบ้านใหญ่ที่มีหญิงสาวมากมายคอยให้บริการชายทุกวัยที่มีเงินมากพอจะจ่ายให้พวกหล่อน
ภัทรวรินทร์สงสัยมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ว่าทำไมต้องทำบ้านแบบนี้ แล้วก็ได้คำตอบเมื่อตอนอายุหกขวบจากใครสักคนในบ้านนั่นเอง
“บ้านของเราเป็นซ่องหรือจ๊ะ”
“ใครบอกแก”
“ใคร ๆ เขาก็พูดกันทั้งนั้น”
“เขาไม่ได้เรียกซ่องหรอกนังหนู”
“แล้วเขาเรียกว่าอะไรล่ะป้านง”
“เขาเรียกว่าเรือนมาลีโว้ย ที่นี่เรามีสาว ๆ ให้บริการความสุขกับพวกผู้ชาย ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนนะที่เราจะให้ความสุขกับพวกนั้นน่ะ จะต้องเป็นคนมีเงิน มีหน้ามีตาในสังคมเท่านั้น จำไว้”
“ทำไมหนูต้องจำด้วย”
“เพราะว่าเดี๋ยวพอแกโตไป ก็ต้องทำแบบพวกพี่ ๆ เหมือนกันนั่นแหละ”
“ไม่มีทาง พราวไม่มีทางทำงานแบบนี้แน่”
“กูจะรอดู แม่มึงท้องมึงในนี้ คลอดมึงในนี้ มึงจะพ้นไปจากแม่ของมึงได้ยังไงวะอีพราว หน็อยทำมาตั้งชื่อยาว ๆ ภัทรวรินทร์ ถุย ดัดจริต เหมือนแม่มึงนั่นแหละ”
คำพูดเหยียดหยันดังไล่ตามหลังเธอเสมอมา
ภัทรวรินทร์รู้ตั้งแต่ตอนนั้นว่าเธอเป็นลูกของผู้หญิงคนหนึ่งในนี้ ที่ทำงานไม่ต่างจากผู้หญิงที่คอยให้ความสุขกับเหล่าผู้ชายที่ในเรือนมาลีนี้เอง
แม่ของเธอคงตั้งครรภ์กับผู้ชายสักคนที่หลับนอนด้วย แล้วก็คลอดเธอออกมา ก่อนจะทิ้งเธอไป
เด็กสาวเคยถามหาแม่อยู่หลายครั้ง แต่แล้วใคร ๆ ก็ส่ายหน้า ไม่ให้คำตอบว่าแม่ของเธอคือใคร ภัทรวรินทร์ไม่รู้จักหน้าตาของแม่ตัวเอง ไม่มีรูปถ่าย มีแค่ชื่อในใบเกิดเท่านั้น ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ตั้งแต่ที่ได้รับคำตอบในวันนั้น เธอก็ไม่ย่างกรายเข้าไปที่บ้านด้านหลังอีกเลย เด็กสาวใฝ่เรียน ใช้ชีวิต กิน นอน อ่านหนังสืออยู่แต่ที่ร้านตัดเย็บซ่อมเสื้อผ้าที่อยู่ส่วนหน้าของเรือนแห่งความสุขนั่นกับสมสมร
เช้าวันหยุดเด็กสาวจะตื่นไวกว่าเดิม เพื่อออกมาช่วยสมสมร จนบ่ายโมงได้ที่แว่วเสียงเรียกดังมาจากในร้าน “พราว”
“จ๋า”
“ไปซื้อของให้น้าหน่อย”
สมสมรไม่ได้ต่อต้านผู้หญิงในเรือนมาลีแบบเธอ ท่านรับซ่อมเสื้อผ้าให้ชาวบ้านในละแวก รวมถึงเสื้อผ้าของสาว ๆ เหล่านั้นอีกด้วย
สมสมรส่งเงินให้ พร้อมกำชับว่า
“นี่นะรายการทั้งหมด นี่ตังค์ เก็บดี ๆ อย่าทำหายล่ะ”
“จ้ะ” ตอบรับแข็งขัน แล้วเดินออกไปขึ้นรถสองแถว
เด็กสาวต้องนั่งรถสามต่อเพื่อไปซื้อของให้สมสมร ครั้งแรกท่านพาเธอไปก่อน พอเด็กสาวเริ่มรู้ภาษา พอจะไหว้วานใช้งานได้ ถัดมาจากนั้น ท่านก็ลองให้นั่งรถไปเอง
จนคล้อยหลังเด็กสาวแล้ว หนึ่งในสมาชิกของเรือนมาลีก็กอดอกพูดขึ้น “จะให้มันทำร้านเย็บผ้ากระจอก ๆ แบบนี้แทนพี่ไปจนตายเลยหรือยังไงวะ”
สมสมรไม่มองคนพูด จับผ้าเย็บตะเข็บพร้อมโต้กลับไปว่า
“พราวมันเก่ง มันจะต้องมีอนาคตที่ดี มันไม่มีทางทำงานแบบพวกมึงเด็ดขาด”
“กูจะคอยดูว่ามันจะไปได้สักกี่น้ำกันเชียว”
เด็กสาวลงจากรถสองแถวได้ก็ตรงดิ่งไปยังร้านของบังหมัก ที่ร้านนี้เน้นขายผ้าและวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการตัดเย็บ ซ่อมแซมผ้าทุกชนิด
“เอาอะไรบ้างล่ะรอบนี้”
“นี่จ้ะพี่กบ” เด็กสาวบอกพร้อมส่งรายการของที่น้าจดไว้ให้กับคนงานในร้านขาย แล้วก็ยืนคอยไม่นานทางนั้นนำของมาส่งให้
“ได้ไม่ครบหรอกนะพราว เราลองไปดูร้านเจ๊หลีเถอะทางนั้นน่าจะยังมีของอยู่”
เด็กสาวยิ้มให้พี่กบพร้อมกับบอก “ขอบคุณจ้ะพี่”
“กลับบ้านดี ๆ”
กบ ลูกน้องคนสำคัญของร้านขายวัสดุผ้าร้องมาตามหลัง
ภัทรวรินทร์มองชื่อรายการของที่เหลือในใบจด ก็จำต้องเดินตรงไปร้านใหญ่อีกร้าน นั่นก็คือร้านเจ๊หลี แต่ก็ยังได้ของไม่ครบอยู่ดีจึงต้องหาต่ออีกสามร้าน กว่าจะครบถ้วนได้เวลาก็ล่วงเข้าไปถึงตอนเย็นพอดี
แถมวันนี้ฟ้ายังครึ้มอีกด้วย เมฆก้อนใหญ่นั่นรวมกับอีกก้อนทางนี้เลยพานให้มืดมัวไปหมด
ชะเง้อมองดูนาฬิกาในร้านที่กำลังเดินผ่าน ก็ต้องรีบวิ่งสุดฝีเท้าไปที่ท่ารถ แต่แล้วก็ไปไม่ทัน รถเที่ยวสุดท้ายคันที่ผ่านไปยังละแวกบ้านเพิ่งออกไปได้ครึ่งชั่วโมงก่อนนี่เอง