“ใช่! ถ้าลองได้ยอมไอ้ลินคนสวนแล้ว ป๊าว่าเมียแกก็คงจะยอมแกแน่ๆ ไม่เชื่อลองใช้วิธีที่ป๊าบอกไปสิ ผู้หญิงน่ะต่อให้เกลียดแค่ไหนแต่ถ้าลองได้โดนสักครั้งรับรองแกสลัดไม่ออกด้วยซ้ำ หรือถ้ายังไม่ได้ใจแกก็หมั่นประเคนโน่นนี่นั่นให้สิ เงิน รถ เครื่องเพชรขี้คล้านจะรีบวิ่งเข้ามาหา แต่อย่าเผลอไปโอนหุ้นที่แกมีไปให้ก็แล้วกัน และถ้าไม่ได้ผลจริงๆ แกก็จัดการปล้ำเลยและต้องให้ได้ลูกชายมาให้ป๊าด้วยนะ เมียแกจะได้ดิ้นไม่หลุดจากแกไงล่ะ
หย่าก็ไม่ได้ แถมมีลูกอีกทีนี้จะไปไหนเสีย และถ้าจะให้ดีแกต้องมีหลายๆ คนสามสี่ห้าโน่น ทีนี้เมียแกก็จะได้มาอยู่บ้านเลี้ยงลูก เรื่องงานแกก็จะได้เป็นคนจัดการคนเดียว อยากจะทำอะไรก็ไม่ต้องห่วงแล้วทีนี้ และอย่าลืมหลอกให้โอนหุ้นที่เมียแกมีมาให้แกด้วยล่ะทุกอย่างจะได้จบๆ สักที”
นั่นคือแผนที่ประมุขอยากจะให้เป็นเห็นท่าทีซังกะตายของสะใภ้เวลามาอยู่บ้านร่วมกับเขา
“ป๊าก็พูดเหมือนเขาจะโง่ยกให้ผมง่ายๆ อย่างนั้นล่ะ”
ปาลินแย้งพอด้วยท่าทีไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรมากมายนัก
“แต่ก็ไม่ฉลาดนักหรอกถ้าดูไม่รู้ว่าไอ้ลินคนสวนเป็นคนเดียวกับนายปาลิน และไม่ได้โง่แค่เมียแกด้วยนะ แต่โง่ทั้งบ้านด้วย อะไรกันคนเข้าไปทำงานบัตรเบิดไม่คิดจะถามหา หน้าตาแกก็หล่อเหลาปานนั้นเชื่อเข้าไปได้ยังไง”
น้ำเสียงประมุขนั้นเป็นไปในทิศทางดูถูกดูแคลนกลุ่มคนที่พูดถึงอย่างไม่ปิดบังใดๆ เพราะอยากจะพูดกับลูกแบบนี้มานานแล้ว ติดตรงไม่มีโอกาสหรือไม่ก็มีสะใภ้อยู่ด้วย วันนี้เขาจึงได้พูดในสิ่งที่ใจอยาก โดยไม่ต้องหวั่นเกรงว่าคนนอกจะมาได้ยินใดๆ
แต่โชคร้ายของคนเป็นสะใภ้ที่กำลังนั่งมัดผักช่วยป้าอยู่ ต้องรีบลุกขึ้นเดินออกไปนอกบ้านเมื่อจู่ๆ มีคลิปส่งเข้ามาในมือถือ แม้ภาพจะเลือนรางไปบ้าง แต่เสียงของสามีกับคนเป็นพ่อกำลังพูดถึงตัวเองอย่างสนุกปากนั้นมันชัดเจนเหลือเกิน
ชัดเจนจนยั้งน้ำตาแห่งความเสียใจเอาไว้ไม่ไหว ขาแข้งก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะยืนหยัดเอาไว้ได้ จนต้องทรุดตัวลงนั่งกับชิงช้า แล้วร้องไห้เพื่อไว้อาลัยให้กับความโง่เง่าของตัวเอง อย่างที่สองพ่อลูกว่าไว้อย่างไร้ที่ติ
ไม่เคยคิดระแคะระคายในแผนการของเขาเลย ครึ่งชั่วโมงกับการหักห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา และปรับสีหน้าท่าทางให้ปกติ ก่อนจะเดินกลับไปนั่งช่วยงานป้าดังเดิม
“แจมกลับมาหาป้ากับลุงทุกอาทิตย์แบบนี้ทางโน้นไม่ว่าอะไรเหรอ”
อรพินมักจะเป็นกังวลว่าหลานจะอยู่บ้านพ่อสามียากกว่าเดิม ถ้าหากจะมีใครหยิบยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาติติงได้ เกรียงไกรเองก็เห็นด้วย และสงสารหลานที่ต้องขับรถมาทุกอาทิตย์ด้วย
“นั่นสิยัยแจม แทนที่วันหยุดจะได้พักผ่อน กลับต้องขับรถมาเป็นชั่วโมงๆ อีก”
“การกลับมาหาลุงกับป้าเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุดของแจมแล้วค่ะ”
วิวรรญาส่งยิ้มบางๆ ให้ทั้งสองจ้องมองมาหา และต่างก็รู้ว่าหลานสาวหาได้มีความสุขอย่างที่กำลังพูดไม่ เพราะสีหน้าท่าทางตลอดจนอาการเงียบๆ แบบนี้ แทบไม่ต้องเดาว่าชีวิตคู่ของหลานนั้นไร้สุข
“เฮ้อ! หย่าก็ไม่ได้ เลิกก็ไม่ได้ รักก็ไม่ได้ แล้วทีนี้จะมีความสุขได้ยังไงล่ะแจม”
พอๆ กับอีกสองเพื่อนที่แวะเวียนมาหาในวันรุ่งขึ้นที่ต่างก็เห็นแล้วว่าชีวิตคู่ของเพื่อนไม่ได้หยิบยื่นความสุขให้เลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นทุกข์ด้วยซ้ำ
“ช่างมันเถอะ เราไม่อยากเก็บมาคิดให้เปลืองสมอง เปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่านะ”
และแม้วิวรรญาจะบอกเพื่อนยังไง แต่สุดท้ายตัวเองก็ไม่เคยหยุดคิดได้สักที อาการนั่งเหม่อเป็นพักๆ จึงเกิดขึ้น ขณะนั่งประชุมกับหัวหน้าฝ่าย จนธีรนันท์ต้องคอยสะกิด
“ผมขับรถให้คุณแจมดีกว่านะครับ เหม่อๆ แบบนี้เดี๋ยวเกิดอะไรขึ้นมาแล้วจะยุ่งไปกันใหญ่”
หลังจากเรียนภาษาจีนเสร็จเขาถึงได้อาสาขึ้นมา เพราะบ้านอยู่ทางเดียวกัน วิวรรญายอมแต่โดยดี เพราะรู้ว่าตัวเองใจไม่สงบจริงๆ และยิ่งลงจากรถมาก็เห็นสามียืนพิงประตูจ้องมองมาหาด้วยแล้ว
ความเกลียดชังยิ่งวิ่งพล่านไปทั่วหัวจนไม่อยากแม้แต่จะมองหน้าด้วยซ้ำ ปาลินจ้องมองแผ่นหลังเมียที่เดินผ่านเขาไปหาลิฟต์อย่างเฉยเมย ก่อนจะหันกลับไปมองผู้ช่วยเมียควบรถที่เขาซื้อหลายล้านบาทออกจากบ้านเขาไป
ในใจให้เดือดดาลอย่างที่สุด แต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้ แล้วพยักหน้าให้เจียปิดบ้านช่อง ส่วนตัวเองเดินขึ้นบันไดไปอย่างเชื่องช้า และหยุดอยู่ตรงชั้นสาม ก่อนจะเดินเอื่อยเฉื่อยไปจนถึงหน้าห้องเมีย ที่ปิดเงียบไปนานแล้ว
อยากจะยกมือเคาะและเรียกให้ออกมาคุยกันให้รู้แล้วรู้รอด แต่สุดท้ายเขาก็คิดไม่ออกว่าจะคุยเรื่องอะไรได้ จึงซุกมือเข้าในกระเป๋ากางเกงแล้วล่าถอยเดินกลับไปหาบันได เหมือนหลายๆ ครั้งที่เขาเคยทำ
ธีรนันท์หันไปมองเจ้านายสาวนั่งเงียบมาสุดทางนับตั้งแต่ รถเช่าของเขาขับออกห่างคฤหาสน์หลังงามในจังหวัดอุดรธานี ที่ซึ่งนักสืบบอกเขาว่าวิกานดา เมียคนแรกของเจ้านายพักอาศัยอยู่กับสามีใหม่และลูกใหม่ แต่โชคไม่ดีที่ตอนนี้ทุกคนในบ้านไปพักร้อนที่อังกฤษ อีกเดือนกว่าๆ ถึงจะกลับ
“คุณแจมไม่เป็นอะไรมากนะครับ”
เขาเอ่ยถามเสียงนุ่มนวลและห่วงใยในความรู้สึกเจ้านายไม่น้อย ด้วยรู้ดีว่าตอนนี้เป็นยังไง เพราะเขาเองก็ขาดพ่อแม่และไร้ซึ่งที่พึ่งพิง ถ้าชีวิตนี้ไม่มีไกรเดชยื่นมือเข้าไปช่วยด้วยการให้งานทำและส่งเสียให้เรียนจนจบแทน
“ไม่ค่ะ แจมไม่เป็นอะไร”
แต่น้ำเสียงของคนพูดนั้นสั่นเครือเต็มที เมื่อได้ไปเห็นบ้านที่แม่อยู่ บ่งบอกว่าฐานะมั่งคั่งมากแค่ไหน จากเมื่อแรกเคยคิดว่าเหตุผลที่แม่ไม่ติดต่อมาหาเลยนั่นก็เพราะอยู่อย่างลำบากยากเข็ญ แต่ตอนนี้ความคิดนี้ดูจะไร้น้ำหนักไปแล้ว