“นี่เจ้าลาซมันคงไม่ต้องการให้เราไปวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของมันสินะ”
“คงจะใช่ครับ แล้วแบบนี้เราจะทำยังไงดีครับ”
“ก็คงต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมน่ะแหละ” เพเรอคลิสเองก็จนปัญญาจะห้ามปรามแล้วเหมือนกัน
“งั้นผมก็จะต้องมีพี่สะใภ้ที่เคยเป็นเมียเพื่อนของพี่ชายมาก่อนใช่ไหมครับเนี่ย”
“อืม” เพเรอคลิสพยักหน้ารับ
“พี่เพนน์น่ะ ทำไมยอมแพ้ง่ายจังครับ ผมว่าเราควรจะต้องจัดการอะไรบางอย่างแล้ว อย่างเช่นเอาเงินไปฟาดหัวแม่นั่น”
“ถ้าเตือนแล้วไม่ฟัง คงทำอะไรไม่ได้แล้วละมาร์ซ คงต้องปล่อยให้เจ้าลาซมันกำหนดชีวิตของตัวเองไป”
“แต่ว่า...”
“นายไม่ต้องมาตงมาแต่เลย คุณเพอร์ซูสบอกพี่ว่านายไปก่อกวนที่บ้านของเขาทุกวันเลยนี่”
หัวข้อสนทนาที่เคยเป็นของลาซาลอสเปลี่ยนมาเป็นเขาโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว มาริออสจึงหน้าตาตื่น
“ผม...ผมไปก่อกวนที่ไหนกันครับ”
“อย่ามาเฉไฉ นายไปกินข้าวเย็นกับคุณเพอร์ซูสทุกวันทำไม”
“ผมก็แค่...ติดใจรสมือของแม่ครัวบ้านนั้นน่ะครับ”
ไหล่กว้างของมาริออสไหวน้อยๆ ก่อนที่จะหมุนตัวหันหลังให้พี่ชายคนโต
“นี่ว่าจะจ้างมาทำให้กินที่บ้านสักหน่อย”
“นายไปหาน้องแพทใช่หรือเปล่า”
คนที่หันหลังให้อยู่ รีบหันขวับกลับมาและปฏิเสธเสียงดังลั่นทันที
“ผมจะไปหายายเด็กประสาทนั่นทำไมล่ะครับ และอีกอย่างยายนั่นก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านสักหน่อย”
“แต่นายไปที่นั่นบ่อยเกินไปแล้ว”
“ผมก็แค่ไปกินข้าว”
“มาร์ซ”
เพเรอคลิสหรี่ตามองหน้าน้องชายอย่างจับผิด มาริออสเมินหน้าหนี
“นายกับน้องแพทมีอะไรกันหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ”
“ไม่มี...แล้วทำไมนายต้องไปที่บ้านคุณเพอร์ซูส และนั่งฟังคุณเพอร์ซูสเล่าเรื่องของน้องแพทให้ฟังทุกวันด้วย”
มาริออสอึดอัดจนแทบจะระเบิด
“ก็...ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละครับ ผมไปกินข้าว ติดใจรสมือของแม่ครัว ถ้าพี่เพนน์ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ จะขึ้นไปนอน”
แล้วมาริออสก็รีบเดินหนี
“เฮ้...มาร์ซ ห้องนอนไปทางนี้”
เพเรอคลิสรีบเรียกน้องชายเอาไว้ เมื่อเห็นมาริออสจะเดินออกไปนอกบ้าน
มาริออสที่โหนกแก้มเป็นสีแดงระเรื่อชะงักเท้า ก่อนจะแก้เก้อด้วยการเปลี่ยนคำพูดใหม่
“ผมเปลี่ยนใจแล้วครับ ผมจะออกไปเที่ยว”
เพเรอคลิสยืนถอนใจเฮือกๆ มองน้องชายคนสุดท้องไปจนลับตาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจเป็นที่สุด
“เจ้าลาซก็มีปัญหา แกเองก็ดันมามีปัญหาเหมือนกันอีก เจ้ามาร์ซเอ๋ย”
ชายหนุ่มส่ายศีรษะไปมาอย่างอ่อนใจ ก่อนจะหมุนตัวกลับขึ้นไปบนห้องนอนที่แสนดีรออยู่
เช้าวันต่อมา พาขวัญอุ้มฟาลอสออกมาเดินเล่นที่หน้าบ้าน ซึ่งก็เป็นเวลาที่สุพรรษาเดินออกมาสูบบุหรี่ที่นอกระเบียงพอดี
ภาพที่พาขวัญหยอกล้ออยู่กับฟาลอสจนเด็กชายตัวน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากตลอดเวลาทำให้หล่อนเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา ดวงตาสีดำเต็มไปด้วยกองไฟ
“มึงเกิดมาเพื่อแย่งความรักไปจากกูสินะ นังพาย...”
สุพรรษาขยี้บุหรี่ลงกับที่เขี่ย ก่อนจะเดินลงมาเผชิญหน้ากับพาขวัญอย่างต้องการหาเรื่อง
“คุณสุ...”
“มีความสุขกับของของฉันเสียจริงนะ นังพาย”
พาขวัญพยายามไม่ใส่ใจกับวาจาหาเรื่องของสุพรรษา
“วันนี้ฟาลอสอารมณ์ดีมากเลยค่ะ คุณสุอยากจะอุ้มแกบ้างไหมคะ”
ว่าแล้วก็ยื่นร่างตุ้ยนุ้ยของฟาลอสให้แก่สุพรรษา แต่คนเป็นแม่กลับแสดงท่าทางรำคาญ และขยับหนี
“แกเป็นขี้ข้าก็อุ้มไปสิ”
“พาย...พายนึกว่าคุณสุอยากจะอุ้มฟาลอสบ้าง...”
ท่าทางไม่ไยดีลูกในไส้ของสุพรรษาทำให้พาขวัญอดสงสารเด็กน้อยไม่ได้ จึงกอดปลอบแน่นเมื่อฟาลอสเริ่มเบะปากจะร้องไห้
“โอ๋ๆๆ อย่าร้องนะครับคนเก่ง”
สุพรรษาเบ้ปากมองอย่างเวทนา “แกคงอยากได้ของของฉันทุกชิ้นสินะ นังพาย”
“พาย...พายไม่เคยคิดแบบนั้นนะคะ”
“อย่ามาตอแหล”
“พายไม่ได้ตอแหลนะคะ พายไม่เคยอาจเอื้อมจะแย่งชิงของของคุณสุเลยแม้แต่ชิ้นเดียว”
สุพรรษาตาเขียวปั๊ด “แต่แกก็แย่งคุณลาซไปจากฉันสำเร็จแล้วนี่ หรือว่าไม่จริง”
คนถูกกล่าวหาส่ายหน้าน้ำตาร่วง “พาย...พายกับคุณลาซ เราไม่ได้มีอะไรต่อกันเลยค่ะ”
คนฟังแค่นยิ้มหยัน นัยน์ตาชั่วร้าย “แกไม่มีวันสมหวังหรอก นังพาย ฉันจะต้องกำจัดแกออกไปให้พ้นชีวิตของฉันให้ได้” แล้วสุพรรษาก็กระชากร่างของฟาลอสมาอุ้มเอาไว้เสียเอง ฟาลอสตกใจร้องไห้จ้าจะหาพาขวัญ แต่คนเป็นแม่ไม่ยอม
“คุณสุ...ฟาลอสแกตกใจหมดแล้วค่ะ”
“แกไม่ต้องมาเสือกเรื่องของฉัน ไสหัวออกไปเลย จะไปไหนก็ไป ไปสิ!”
“แต่...แต่คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณสุ สั่งให้พายดูแลคุณสุกับฟาลอสที่นี่นะคะ”
“แกไม่ต้องมาอ้างพ่อแม่ของฉัน ไสหัวไป! ไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”
พาขวัญร้องไห้ ส่ายหน้าไปมาทั้งน้ำตา มองฟาลอสด้วยความอาลัยอาวรณ์
“ถ้าพายไป...แล้วฟาลอสจะอยู่ยังไงล่ะคะ พายเป็นห่วง...”
“ฉันมีเงิน ฉันจะจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลลูกของฉันสักกี่คนก็ได้ ไสหัวไปได้แล้ว อีพาย!”
แม้จะเป็นห่วงเด็กชายฟาลอสแค่ไหน แต่พาขวัญก็รู้ตัวดีว่าไม่มีสิทธิ์จะขัดคำสั่งของสุพรรษาได้
“งั้น...งั้นพายจะแวะมาบ่อยๆ นะคะ”
“ไม่ต้องมา ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก ไปให้พ้น!”
ในที่สุดก็ไม่มีทางเลือก ในที่สุดก็ต้องเดินออกมา ทั้งๆ ที่แสนจะเป็นห่วงฟาลอสแค่ไหนก็ตาม