EP.9 ฝันร้ายที่ไม่อาจลืม
เห็นทีว่าไม้แข็งคงไม่เหมาะ เธอต้องอ้อนวอนให้เขาสงสารจนปล่อยเธอไป คิดได้ดังนั้นหญิงสาวจึงอ้าปากหมายจะเอื้อนเอ่ยคำขอร้อง แต่กลับต้องงุนงงเมื่อชีคหนุ่มผละออกจากเรือนร่างของเธอ แล้วใช้สองมือฉุดเธอให้ลุกขึ้นยืน
“เป็นยังไงบ้าง ยืนไหวหรือยัง”
ภัครติรู้สึกเหมือนโดนหมัดหนักๆ เสยเข้าที่ปลายคาง นี่เธอคิดบ้าอะไรเนี่ย! เธอเป็นแค่หลานสาวของแม่ครัว เข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้อย่างผู้อาศัย ทำงานไม่ต่างจากสาวใช้เพื่อแลกที่พักและอาหาร คิดเหรอว่าคนที่เพียบพร้อมด้วยอำนาจและเงินตราอย่างเขาจะจับเธอเข้าฮาเร็ม
“เอ่อ...ดีขึ้นแล้วค่ะ” หญิงสาวก้มหน้างุดเพื่อซ่อนใบหน้าแดงก่ำให้พ้นจากดวงตาคมของชายหนุ่ม
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ทีหลังอย่ากลิ้งลงมาแบบนั้นอีกรู้มั้ย”
ชีคหนุ่มยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับความทโมนของหญิงสาว ยายหนูนี่คงไม่รู้ตัวเลยสินะว่าเริ่มโตเป็นสาวจนมีเพศตรงข้ามมาติดพัน ถึงยังได้เล่นเป็นเด็กๆ เช่นนี้
“ค่ะ”
ชีคหนุ่มแสร้งทำเป็นไม่เห็นว่าหญิงสาวเขินอายจนใบหน้าแดงจัด ลามมาถึงใบหูที่แดงระเรื่อน่าสัมผัส เขาคิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรจึงจะช่วยประคองให้หญิงสาวลุกขึ้นยืนได้ ซึ่งดูเหมือนว่าวิธีที่เลือกใช้จะได้ผลไม่ตรงตามจุดประสงค์เท่าไร อีกทั้งยังทำให้เขาเกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ ดีที่จิตสำนึกคอยย้ำเตือนซ้ำๆ ว่า
คุก! คุก! คุก! คิดลวนลามเด็กอายุไม่ถึงสิบแปดปี โดนข้อหาพรากผู้เยาว์อย่างแน่นอน เมื่อคิดเช่นนั้นเขาจึงสะกดกลั้นความต้องการที่ถาโถมเข้ามาได้อย่างชะงัด
เมี้ยว!
เสียงแมวเหมียวร้องอ้อนช่วยให้บรรยากาศชวนอึดอัดพังทลายลงในพริบตา ดวงตาของหญิงสาววาววับเมื่อเห็นแมวน้อยพันแข้งพันขาชีคหนุ่มอย่างออดอ้อน
“แมวของท่านชีคเหรอคะ”
“จะว่าของฉันก็ไม่เชิง” เขาตอบพลางอุ้มลูกแมวมาไว้แนบอก แล้วลูบลงบนหัวของมันอย่างแผ่วเบา
“ยังไงเหรอคะ หนูไม่เข้าใจ”
“เจ้าตัวนี้เป็นแมวทะเลทราย แม่ของมันน่าจะถูกพวกลักลอบค้าสัตว์ป่าจับตัวไปพร้อมกับพี่ๆ น้องๆ ของมัน แต่เจ้าตัวนี้โชคดี ไม่โดนจับไปด้วย แต่ก็โชคร้ายเพราะต้องอยู่ตัวเดียวท่ามกลางทะเลทราย ฉันเลยเก็บมันมาเลี้ยง รอให้มันโตพอจะช่วยเหลือตัวเองได้จึงจะนำมันกลับไปปล่อยในทะเลทรายเหมือนเดิม”
“น่าสงสารจังเลยค่ะ แล้วถ้าพามันไปปล่อยในทะเลทราย มันจะไม่ถูกพวกคนใจร้ายจับไปอีกเหรอคะ”
“เรื่องนั้นทางรัฐบาลของทุกประเทศกำลังเพิ่มมาตรการจับกุมผู้ฝ่าฝืนอย่างเข้มงวด แต่สัตว์ป่าอย่างไรก็คือสัตว์ป่า ไม่ควรนำมาเลี้ยงหรือมีไว้ในครอบครอง ยิ่งเจ้าแมวทะเลทรายเป็นสัตว์ป่าหายาก มันสามารถมีชีวิตอยู่ได้ภายใต้อุณหภูมิต่ำสุดถึงลบห้าองศาเซลเซียส และสูงสุดที่อุณหภูมิห้าสิบสององศาเซลเซียส มีชีวิตอยู่ในทะเลทรายได้โดยปราศจากน้ำถึงหนึ่งเดือน เธอดูหูของมันสิ”
ชีคหนุ่มชี้ให้หญิงสาวมองหูของเจ้าแมวน้อย ภัครติจึงขยับเข้าไปใกล้ๆ ชีคหนุ่มอย่างลืมตัว
เจ้าของดวงตาคมเหลือบมองใบหน้าหวานของหญิงสาว ขนตาของเธอยาวงอนเป็นแพสวย จมูกเชิดรั้นอย่างดื้อดึง ริมฝีปากสีชมพูอ่อนเป็นกระจับน่าบดขยี้ด้วยริมฝีปากกระด้างของเขาเสียเหลือเกิน อีกทั้งผิวของเธอขาวผ่องอมชมพูเมื่อต้องอยู่ในภูมิประเทศที่มีอากาศร้อนตลอดทั้งปี ถ้าเธอโตกว่านี้อีกสักนิด อีกนิดเดียวเท่านั้น! เขารับรองเลยว่าเขาจะไม่อดทนอย่างที่พยายามทำอยู่ในเวลานี้อย่างแน่นอน
“หูของมันทำไมเหรอคะท่านชีค” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นถามเมื่อเห็นว่าชีคหนุ่มเงียบไป และนั่นทำให้ใบหน้าของเธอและเขาห่างกันแค่เพียงคืบ แต่ดูเหมือนภัครติจะอยากรู้เรื่องของเจ้าแมวน้อยจนไม่ได้สนใจเลยว่าเธอกับเขาใกล้ชิดกันมากขนาดไหน คงมีแต่ผู้ชายตัวโตที่พยายามหักห้ามใจอย่างถึงที่สุด
“หูของมันช่วยระบายความร้อนได้เป็นอย่างดี แล้วที่เท้าของมันก็มีขนยาวเพื่อช่วยให้เดินวิ่งบนทรายได้อย่างรวดเร็ว”
“มันดูเป็นสัตว์ที่ปรับตัวได้ดี แล้วทำไมมันถึงจะสูญพันธุ์ล่ะคะท่านชีค”
“เพราะมันเป็นสัตว์ที่อ่อนไหวต่อโรคต่างๆ หากมีสิ่งมารบกวนหรือสภาพแวดล้อมแตกต่างไปจากเดิมก็เสี่ยงที่มันจะเสียชีวิตได้อย่างง่ายดาย”
“น่าสงสารจัง” หญิงสาวยื่นมือไปเกาคางเจ้าแมวทะเลทราย ก่อนจะเอ่ยถามชีคหนุ่มด้วยน้ำเสียงสดใส “ว่าแต่เจ้าแมวตัวนี้ชื่ออะไรหรือคะท่านชีค”
“มันจำเป็นต้องมีชื่อด้วยงั้นเหรอ” ชีคหนุ่มย้อนถามด้วยความงุนงง ในเมื่อเขานำมันมาเลี้ยงไม่นานก็จะส่งมันกลับคืนสู่ทะเลทราย ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตั้งชื่อให้ยุ่งยาก
“มันน่าจะมีชื่อนะคะ” หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่นอย่างครุ่นคิด “ให้มันชื่อ ‘ชีส’ ดีมั้ยคะ”
“ไม่เห็นจะเพราะตรงไหนเลย”
“ชื่อไม่เพราะก็จริง แต่ชื่อนี้จะทำให้เรายิ้มได้นะคะ”
“ยิ้มยังไง”
“ถ้าไม่เชื่อท่านชีคก็ลองเรียกชื่อมันดูสิคะ”
“ชีส...”
ภัครติเบิกตากว้างเมื่อเห็นรอยยิ้มของชีคฮัยฟาอ์จากการออกเสียงคำว่า ‘ชีส’ ให้ตายเถอะ เขาเป็นผู้ชายที่มีรอยยิ้มกระชากใจมาก เธอนึกย้อนไปถึงคำพูดของผู้เป็นป้าที่เล่าให้เธอฟังว่าก่อนที่ชีคฮัยฟาอ์จะมีบาดแผลอัปลักษณ์ที่ใบหน้า เขาเป็นผู้ชายอบอุ่น เป็นกันเอง และมีรอยยิ้มสว่างไสวราวกับแสงเช้าของดวงอาทิตย์ คำพูดเหล่านั้นไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
“ท่านชีคยิ้มแล้ว” หญิงสาวตบมือด้วยท่าทางลิงโลดใจ
คนตัวโตกลับหุบยิ้มฉับ ไม่คิดเลยว่าจะมาเสียรู้ให้ยายเด็กตัวแสบเข้าจนได้
“เธอกลับออกไปได้แล้ว จำไว้ว่าที่นี่คือสวนต้องห้าม เธอไม่ควรเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต” ชีคหนุ่มตีสีหน้าเรียบเฉย เสียงทุ้มห้าวห่างเหินแตกต่างจากเมื่อสักครู่อย่างเห็นได้ชัด
หญิงสาวรับรู้ได้ว่าเขากำลังไม่พอใจ แต่เธอไม่เข้าใจว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ทำไมเขาต้องไม่พอใจด้วย
“ท่านชีครู้มั้ยคะว่าถ้าท่านชีคยิ้มแบบเมื่อสักครู่นี้บ่อยๆ เจ้าสาวของท่านชีคจะไม่มีวันเดินหนีท่านชีคไปไหนแน่ๆ” พูดออกไปแล้วก็อยากตบปากตัวเอง เธอกล้าดียังไงถึงได้พูดเรื่องส่วนตัวของเขา คนตัวเล็กห่อไหล่ด้วยความกลัว เห็นชัดว่าอสูรร้ายกำลังโกรธจนขบกรามเข้าหากันเป็นสันนูน