“หล่อนไม่ต้องมาโกหก หัวขโมยอย่างไรมันไม่มีทางยอมรับความจริงหรอก คืนกิ๊บติดผมของอวิ๋นรุ่ยมาซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไปเรียกหัวหน้าหมู่บ้านมาจัดการกับหล่อน” นางหวังหลินเองก็ไม่ยอมเช่นกัน แถมนางยังคงปักใจเชื่อว่าหลานสาวจากบ้านรองเว่ยเป็นคนเอากิ๊บติดผมของลูกสาวตัวเองไป
“กะอีแค่กิ๊บติดผมเนี่ยนะ ฉันไม่เอาหรอก ของแค่นี้ฉันมีปัญหาซื้อไม่เห็นจะต้องไปขโมยของใคร ฉันให้ค้นทั่วบ้านเลยก็ได้ แต่ถ้าไม่มีกิ๊บติดผมของกลางอยู่ในบ้าน ป้าจะต้องชดใช้ให้ฉันด้วยเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นฉันจะร้องเรียนทุกหน่วยงานว่าป้าและลูกสาวป้าจงใจใส่ร้ายฉัน” เว่ยอ้ายเหม่ยตอบกลับแล้วเชิดหน้าใส่สองแม่ลูกไปหนึ่งที
“แต่อวิ๋นรุ่ยบอกว่าหล่อนเป็นคนเอาไป ริอ่านจะเป็นขโมยแล้วยังจะมาโกหกหน้าด้าน ๆ อีกเหรอ” นางหวังหลินยิ่งโมโหมากขึ้น ในขณะที่พูดขาของหล่อนก็ก้าวเข้ามาใกล้เว่ยอ้ายเหม่ยมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ลูกป้าน่ะสิโกหก ไปทำหายที่ไหนหรือเปล่าก็ไม่รู้แล้วมาโทษฉัน ตอแหลเหมือนกันไม่มีผิด” เว่ยอ้ายเหม่ยตอบกลับอย่างไม่ไว้หน้า เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกใส่ร้าย
เมื่อได้ยินคำว่าตอแหลอย่างที่อีกฝ่ายไม่ให้การเคารพตนเอง เวลานี้นางหวังหลินจึงได้โกรธจนตัวสั่น พร้อมกับโถมตัวเข้าหาเว่ยอ้ายเหม่ยแล้วผลักอย่างแรง จนเด็กสาวที่ตัวเล็กกว่าถึงกับเซถลาถอยหลังไป ก่อนที่ร่างของเธอจะล้มศีรษะฟาดเข้ากับวงกบประตู จนทำให้เลือดไหลออกมาจำนวนมาก
“ทำอะไรน่ะ!!” เสียงของเว่ยตงดังขึ้นทันทีเมื่อเห็นนางหวังหลินผลักน้องสาวของตัวเองจนล้มลงไปนั่งกองกับพื้น
พี่ชายทั้งสองที่เพิ่งกลับมาจากทำงานพอดี พอเห็นน้องสาวกำลังถูกรังแกก็รีบวิ่งเข้าไปช่วยพร้อมกับตะคอกเสียงดังใส่ป้าสะใภ้ และไม่กี่นาที่ต่อมาพ่อกับแม่ก็กลับมาถึงเช่นกัน ก่อนที่ทั้งหมดจะช่วยประคองเว่ยอ้ายเหม่ยที่นั่งอยู่กับพื้นขึ้นมาแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วยป้าสะใภ้ อ้ายเหม่ยไปทำอะไรให้เหรอ” เว่ยตงพยายามข่มน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าก็นับได้ว่าเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งเหมือนกัน
“ก็นังเด็กนี่มันเอากิ๊บติดผมของอวิ๋ยรุ่ยไป ฉันก็แค่จะมาทวงคืนเท่านั้น” นางหวังหลินตอบกลับ แต่พอได้เห็นสภาพของเว่ยอ้ายเหม่ยก็กลัวความผิดขึ้นมาทันที สีหน้าของหล่อนเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันไม่ได้เอาไป ป้าอย่ามาใส่ร้ายฉันนะ” เว่ยอ้ายเหม่ยรีบปฏิเสธเสียงดัง คนอย่างเธอต่อให้ขี้เกียจและร้ายกาจยังไง ก็ไม่มีนิสัยขี้ลักขี้ขโมยอย่างที่ถูกกล่าวหา
พอเห็นเว่ยอ้ายเหม่ยปฏิเสธเสียงแข็งและไม่ยอมรับ อารมณ์โมโหของนางหวังหลินก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากพูด ก็ถูกเว่ยตงตัดบททันที
“ถ้าป้าสะใภ้ไม่มีหลักฐานอะไรก็อย่ามาใส่ร้ายน้องสาวของผม ว่าแต่ในเมื่อป้าสะใภ้มั่นใจแล้วไหนล่ะหลักฐาน หรือจะให้เราสองพี่น้องค้นบ้านให้ดูก็ได้นะครับ” เว่ยตงพูดย้ำอีกครั้ง และยังอาสาที่จะค้นบ้านให้อีกฝ่ายดู
ในเมื่อทั้งเว่ยอ้ายเหม่ยและเว่ยตงบริสุทธิ์ใจถึงขั้นให้ค้นบ้านขนาดนี้ ก็ทำเอานางหวังหลินถึงกับอึกอักไปต่อไม่เป็น อีกทั้งยังทำหลานสาวจากบ้านรองบาดเจ็บสาหัสอีก สิ่งที่คิดได้ในตอนนี้ก็คือต้องเอาตัวรอดก่อน เพราะถ้าหากอยู่นาน อาจจะต้องเสียเงินค่ารักษาให้บ้านรองเว่ยแน่ ๆ
ในขณะที่สองแม่ลูกจากบ้านใหญ่กำลังหันหลังทำท่าจะกลับบ้านตัวเองนั้น เว่ยตงก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่เย็นชา “แล้วเรื่องที่ทำน้องสาวผมบาดเจ็บล่ะ ป้าสะใภ้จะรับผิดชอบยังไง เรื่องนี้ไม่ใช่เล็ก ๆ นะ อ้ายเหม่ยบาดเจ็บสาหัสเลือดออกเยอะขนาดนี้ หากป้าสะใภ้ทำเป็นไม่รับผิดชอบ ผมจะไปเรียกหัวหน้าหมู่บ้านมาตัดสินว่าใครถูกใครผิด อย่าลืมนะว่าพวกเราแยกบ้านกันแล้ว ป้าไม่มีสิทธิ์มาทำร้ายคนที่บ้านนี้!!”
นางหวังหลินได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกกลัวขึ้นมา ด้วยความที่รู้จักนิสัยของหลานชายดีว่าเป็นคนพูดจริงทำจริงแค่ไหน หากว่าเขาไปเรียกหัวหน้าหมู่บ้านมาตัวเองก็คงจะแย่แน่ ๆ จึงได้รีบตอบกลับไปเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่
“เดี๋ยวไปถึงบ้านแล้วจะให้คนเอาค่ายามาให้ ไม่เห็นจะเป็นอะไรมากเลยก็แค่ล้มเท่านั้น ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”
พูดจบนางหวังหลินกับลูกสาวก็รีบก้าวเท้ายาว ๆ กลับบ้านตัวเองไปทันที
หลังจากที่จบเรื่องแล้ว เว่ยตงและพ่อกับแม่จึงประคองเว่ยอ้ายเหม่ยมาที่เตียงก่อนที่จะหาผ้ามาห้ามเลือดที่ศีรษะของเธอไว้ ส่วนเว่ยตงนั้นเมื่อยืนดูอาการของน้องสาวในใจพลันคิดว่าน้องไม่น่าจะไหวแล้ว จึงตัดสินใจให้เว่ยอู๋ซินไปตามหมอมา
“น้องรองไปตามหมอเหลียงมาหน่อยสิ พี่คิดว่าเลือดของน้องเล็กไหลออกมามากเกินไปแล้ว”
“ได้ครับพี่ใหญ่ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” เว่ยอู๋ซินรับคำทันที จากนั้นจึงวิ่งออกจากบ้านไปด้วยความรวดเร็ว
เพราะหมอเหลียงเป็นแพทย์แผนจีนที่อยู่หมู่บ้านข้าง ๆ และเขาเปิดร้านขายยาจีนอยู่ในเมือง ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้ว เขาน่าจะมาถึงบ้านได้สักพัก เว่ยอู๋ซินวิ่งไปก็คงใช้เวลาประมาณยี่สิบนาที และกว่าจะพาหมอเหลียงมาถึงบ้านรองเว่ยก็น่าจะหนึ่งชั่วโมงพอดี ระหว่างนี้คนที่อยู่บ้านก็ช่วยกันห้ามเลือดให้เว่ยอ้ายเหม่ยไปก่อน
เมื่อพี่สะใภ้ทั้งสองกลับมาจากพาลูกไปหาหมอ แล้วเห็นน้องสามีนอนอยู่ในสภาพเลือดเต็มตัวพลันตกใจ แล้วก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เว่ยตงจึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง จางอิงและฟางเสี่ยวหรงต่างก็รู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่กับน้องในวันที่ป้าสะใภ้มาหาเรื่องอย่างนี้
แม้ว่าตอนนี้เลือดที่ศีรษะของเว่ยอ้ายเหม่ยจะหยุดไหลแล้ว แต่แทนที่จะดีขึ้นเด็กสาวกลับรู้สึกตาพร่าขึ้นมาฉับพลัน และเมื่อพยายามที่จะพูดก็พูดไม่ได้ ได้แต่อ้าปากและมีเสียงอืออาออกมาเท่านั้น จากนั้นไม่กี่นาทีตาที่พร่ามัวก็ปิดลง กลายเป็นว่าเวลานี้เว่ยอ้ายเหม่ยหมดสติไปแล้ว
“อ้ายเหม่ย ๆ อย่าหลับนะอ้ายเหม่ย” เสียงของเว่ยเฉียนร้องเรียกลูกสาวติด ๆ กันด้วยความตกใจ ส่วนหลี่ฟางเจียวนั้นก็เขย่าตัวลูกเพื่อเรียกสติให้ฟื้นเหมือนกัน “พี่อู๋ซินไปตามหมอถึงไหนกันเนี่ย ทำไมถึงได้มาช้าจัง” ฟางเสี่ยวหรงพูดอย่างร้อนใจ
ทว่าเธอพูดยังไม่ทันขาดคำ เว่ยอู๋ซินก็พาหมอเหลียงมาถึงพอดี หมอเหลียงรีบเข้ามาดูอาการของเว่ยอ้ายเหม่ย เขาจับชีพจรดูก็พบว่า ชีพจรของเด็กสาวนั้นเต้นอ่อนมาก แต่เขาก็มั่นใจว่าเด็กสาวคนนี้ยังไม่ตาย
“เป็นยังไงบ้างครับหมอเหลียง” เว่ยตงถาม แม้ว่าภายนอกดูเหมือนชายหนุ่มจะสงบนิ่ง ทว่าในใจนั้นกลับร้อนยิ่งกว่าไฟ
“น่าจะเป็นเพราะเสียเลือดมากจนเกินไปเลยทำให้หมดสติ อีกทั้งชีพจรยังเต้นอ่อนอีกด้วย แต่เดี๋ยวหมอจะจัดยาให้ทั้งยากิน ทั้งก็ยาใส่แผล ดูจากอาการแล้วก็หนักอยู่ ยังไงคืนนี้ก็ดูแลกันให้ดีก็แล้วกัน หมอเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเด็กสาวคนนี้จะฟื้นขึ้นมาตอนไหน” หมอเหลียงตอบกลับตามความเป็นจริง หากพ้นคืนนี้ได้ ก็ถือว่ารอดแล้ว
“แต่จะฟื้นแน่นอนใช่ไหมครับ” เว่ยอู๋ซินถามย้ำอีกครั้ง เขาต้องการมั่นใจว่าน้องสาวจะฟื้นขึ้นมา
ทว่าหมอเหลียงกลับถอนหายใจหนึ่งทีก่อนจะตอบว่า “อันนี้ก็แล้วแต่บุญวาสนาของอ้ายเหม่ยแล้ว หากผ่านคืนนี้ไปได้ทุกอย่างก็จะดีขึ้น นั่นหมายความว่าเธอจะปลอดภัย ตอนนี้หมอคงต้องขอตัวก่อน” จากนั้นเขาจึงเดินออกมาจากห้องโดยมีเว่ยตงเดินไปส่ง