Are you Sheik or Mafia? / Ep.1
(สาววอนนาบี)
ชารีฟ สุดที่รักของฉันเขาไม่ใช่คนธรรมดา เขามีถึงคำว่า ‘ชีกห์’ นำหน้า ฉันเองก็เพิ่งจะรู้เรื่องนี้เหมือนกัน ให้ตายเถอะ! ยัยภควรรณวิลา ยัยลาโง่เอ๊ย!
ฉันไม่เคยรู้เรื่องของเค้าเลยสักอย่าง ไม่ใช่ว่าเค้าปิดบังหรืออะไรหรอก ฉันเองต่างหากที่ไม่ได้แคร์และถามไถ่เท่าที่ควร มัวแต่สนใจเรื่องเงินของเขาในแต่ละวันว่าจะโอนมาให้ฉันใช้เท่าไหร่
และความจริงที่ฉันเอาแต่เพ้อพกถึงเขาแม้ในเวลาทำงานแบบนี้ก็เพราะว่าคิดถึง คิดถึงเหลือเกินแม้ว่าเราได้เลิกรากันไปนานเกือบจะสองปีแล้วเธอก็ยังลืมไม่ลง
“ไง จะเหม่ออีกนานไหม?”
สาวตากลมแบ๊วใส่คอนแทกเลนส์เทาจนไม่เห็นตาขาวผมสั้นสีบรอนด์รับกับหน้ารูปไข่ยืนกอดอกหน้าห้องวีไอพีมองมาที่เธอด้วยท่าทีเอือมระอาในความชักช้าของเธอในขณะที่ทุกคนนั้นเข้าไปด้านในกันหมดแล้ว หล่อนจะน่ารักมากหากริมฝีปากอวบอิ่มนั้นไม่เบ้ขึ้นเป็นรูปสระอิใส่เธอ เธอจำไม่ได้หรอกนะว่าชื่ออะไร ถึงจะแนะนำตัวกันคร่าวๆไว้แล้วก็เถอะ
“เข้าไปได้แล้วค่า คุณพี่” หล่อนยังจีบปากจีบคอทำเสียงลากยาวใส่จนเธอหยุดฝีเท้า ตั้งใจว่าจะเผยอปากด่า แต่ไม่ดีกว่า เธอไม่อยากจะทำตาม เลือกจะหันหลังกลับแล้วเดินหนีแทน
“นั่นจะไปไหนน่ะ?”
เธอหันกลับไปตอบว่า “ปวดท้อง คี่!!” คำไม่สุภาพที่เธอไม่เปล่งออกเสียงแต่ริมฝีปากกระจับเป็นรูปชัดเจนนั้นจนอีกคนชะงักหน้าค้าง
“พี่ปวดท้องไปเข้าห้องน้ำก่อน เดี๋ยวมานะ” ร่างเพรียวสวยเดินหนีไป ที่จริงเธอแค่อยากไปตั้งหลักควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ให้มีปากเสียงหรือก่อเรื่องวุ่นวายเพิ่มต่างหาก
“โธ่ ก็นึกว่าจะแน่”
แต่เมื่อมีเสียงลอยมาจากด้านหลัง พร้อมทั้งวัตถุบางอย่าง นั่นคือทิชชู่สีขาวที่ถูกขยำและโยนมาทางเธอ เธอก้มมองมันอยู่ที่ปลายรองเท้า
‘ทนไม่ไหวแล้วโว้ย!’
ภควรรณวิลารีบหมุนตัววิ่งกลับไปยังต้นทางกระดาษทิชชู่นั้น มันกำลังหันหลังกลับจะเดินเข้าไปในห้อง
แต่
พลั่ก!
สาวผมบลอนซ์ถูกเธอกระโดดถีบที่กลางหลัง รอยรองเท้าบูทยังคงติดอยู่บนผิวเนื้อขาวผ่องผสมกลิตเตอร์ หล่อนหน้าคะมำเกือบกระแทกพื้นแต่มือรองรับไว้ทันก่อน
“ว้าย!”
จากนั้นเสียงกรีดร้องจากบรรดาแม่เสือสาวในห้องก็ดังเอะอะขึ้นจนผู้จัดการวิ่งหน้าตื่นมาหาเธอ ส่วนแขกด้านในนั้นก็ลุกฮือ ทั้งตกใจและหวั่นกลัวว่าจะเป็นฝีมือเมียที่บ้านที่ถีบสาวผมบ๊อบคนนั้นเข้ามา
เกิดความโกลาหลของคนทั้งสองฝ่ายที่กำลังช่วยกันดันเธอและสาวผมสั้นไม่ให้โผเข้าปะทะกัน
“นี่เธอทำอะไรลงไปน่ะวิลา!”
เสียงแหบกังวานของผู้จัดการสาวใหญ่ส่งผลให้เสียงร้องเอะอะโวยวายค่อยๆเบาลงจนเป็นกระซิบกระซาบ ทุกคนมองเธอเหมือนเป็นแกะดำในฝูง
“เฮอะ ทาลิปกูแล้วยังมาอวดเก่งกับกู เอามาเซ่ เอามาคืนเลยไอ้ที่ติดอยู่ปากมึงน่ะ มึงมีปัญญาซื้อใช้เองมั้ย!”
“ออ ของมึงเองเหรอ” เธอก้าวไปข้างหน้าแต่ถูกผู้จัดการรั้งหัวไหล่เธอไว้เพื่อดึงสติ
“วิลาพี่ขอ”
เธอจึงเลือกที่จะหยุดฝีเท้าไว้ตรงนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาเช็ดลิปสติกออกจนเกลี้ยง ขยำมันเป็นก้อนก่อนปาทิ้งตรงหน้า
“กูคืนให้แล้วนะ” แววตากลมสวยจ้องเขม็งไปที่สาวผมสั้นคนนั้นที่มองเธออย่างไม่ละสายตาเช่นกัน
ภควรรณวิลาเลือกที่จะยอมเบือนสายตาออกก่อน นั่นทำให้อีกคนแค่นหัวเราะอย่างมีชัย
‘ใจเย็นๆไว้ ยัยลาโง่’
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนหันไปที่ผู้จัดการ
“โทษนะพี่” เธอยกมือไหว้เหนือศีรษะด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจอยากจะขอโทษนัก
“ถ้าจะเป็นแบบนี้มันจะทำงานเข้ากับคนอื่นยากนะ โอย พี่ละปวดหัวกับเธอจริงๆ ถ้าไม่ไหวก็กลับไปพักก่อนรอให้สภาพจิตใจดีขึ้นค่อยกลับมาทำงานกับพี่อีกนะ”
“โอ๊ยไม่เป็นไรพี่ หนูลาออกเอง และจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกแน่นอนสบายใจได้เลย” เธอเดินไปพลางเอ่ยเสียงดังฟังชัดเพื่อตัดปัญหาความกระอักกระอ่วนใจของผู้จัดการที่เคยรู้จักกับเธอมาก่อน
จากนั้นเสียงแว้ดแหวโวยวายของแม่ดิวลดาเพื่อนเกย์ของเธอก็บ่นระงมในสายจนเธอทำหูทวนลมแต่ยังคงยกแนบหูไว้ขณะจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้า
‘นังลา ฉันอุตส่าห์คุยกับผู้จัดการขอให้รับแกไว้ ทำไมแกไม่มีความอดทนบ้าง’
“อือ โทษโว้ย ยังไงแกช่วยหางานใหม่ให้ฉันที”
‘ชะนี แกจะขยันก่อเรื่องแบบนี้บ่อยๆไม่ได้นะ’
“ให้แกอยู่ในเหตุการณ์หรือลองเป็นฉันเองเหอะ”
ตึ๊ด ตึ๊ด
เธอวางสายไปดื้อๆเพราะความหงุดหงิดเกินจะอธิบายให้ใครเข้าใจได้ แหงสิ คนที่โทรมาบ่นไม่ได้อับจนหนทางเหมือนเธอ เธอที่เคยมีรถซูเปอร์คาร์ราคาหลักล้านในตอนนี้กำลังยืนตากฝนรอโบกแท็กซี่กลับห้องพักราคาถูก เพื่อนที่เคยรายล้อมตอนได้ดีก็ไม่เห็นคนไหนมันจะดูดำดูดีเธอสักตัว หายหัวกันไปหมดแล้ว
แอ้ด
บานประตูไม้ในอพาร์ตเมนท์รายเดือนราคาหลักพันเปิดออก มือเรียวของคนด้านนอกวางค้างบนลูกบิดและยังไม่โผล่เข้ามาสักทีราวกับคนไม่มีเกลือแร่ในร่างกาย
“แฮ็ชแท็ก #สาววอนนาบี จะมีเรื่องใหม่ให้คนพูดถึงกันอีกแล้ว”
สายธาร สาวเฉิ่มสวมแว่นสายตา ผมสั้นประบ่าทรงหน้าม้าสีดำสนิท หล่อนที่ช่วยแชร์หารสองทุกอย่าง ทั้งค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟ บลาๆ บางครั้งที่เธอไม่ไหวสายธารก็ช่วยออกให้ตลอดไม่เคยคิดจะทวงถาม หล่อนคือเพื่อนคนเดียวที่เธอเหลืออยู่
เธอมองไปที่เพื่อนที่ละจากงานบนหน้าจอหันมาเท้าคางมองเธอด้วยรอยยิ้มมุมปาก เหมือนว่าแค่นั่งในห้องก็ได้ยินวีรกรรมที่เธอทำไว้เมื่อชั่วโมงก่อนหน้าแล้ว
“โห สภาพ” สายธารขยับกรอบแว่นตาหนาเตอะมองน้ำจากปลายเส้นผมไหลหยดลงมาบนพื้น
ติ๋ง
“ไง ชาวเน็ตสาปกูอีกแล้วสิ” ร่างเพรียวเดินไหล่ตกเข้ามานั่งบนพื้นห้อง
“แหงล่ะ ก็เล่นไปกระโดดถีบเพื่อร่วมงานขนาดนั้น”
“เชอะ ชาวเน็ตพวกนั้นก็ดีแต่ตำหนิคนอื่นนั่นล่ะ ชีวิตจริงจะสามารถทำให้ถูกใจทุกคนไหมล่ะ?” เธอโยนกระเป๋าผ้าที่เปียกปอนลงบนตะกร้าเสื้อผ้าที่ใส่แล้ว ร่างเพรียวยืนถอดเสื้อผ้าตรงนั้นพร้อมบอกเพื่อนสาว
“อย่าหันมานะ”
“เฮ้ย แค่เค้าโยนทิชชู่ใส่ทำไมต้องถึงขนาดไปกระโดดถีบวะ?” เธอยังคงคาใจกับนิสัยของเพื่อนสาวที่ต่างกันเหลือเกิน เธอผู้ไม่เคยชื่นชอบการเข้าสังคมหวือหวา และเกลียดการมีเรื่องเป็นที่สุด เธอเป็นพวกที่ไม่สนใจโลกภายนอกเท่าไหร่นัก ฉะนั้น งานของเธอคือฟรีแลนซ์รับทำคอนเท้นต์ต่างๆทั้งเกี่ยวกับอาหารและการท่องเที่ยว ผู้จ้างงานเธอส่วนใหญ่จะเป็นพวกมีเงินไปค้นหาสิ่งใหม่ๆแต่ไม่มีเวลาสรรหาถ้อยคำน่าอ่านดึงดูดความสนใจ เธอคือนักเขียนเงาอะไรเทือกนั้น
ความฝันของสายธารเองก็ใช่ว่าจะรับจ้างแบบนี้ไปตลอดหรอก นอกจากจะเป็นงานที่ไม่มั่นคงแล้ว เธอเองก็มีความฝันว่าสักวันจะเป็นบล็อกเกอร์ท่องเที่ยว เธอจะเก็บภาพเหล่านั้นด้วยตาของตัวเองและซึมซับเอาทุกสิ่งรอบกายแล้วกลั่นมาเป็นตัวหนังสือให้ผู้คนได้อ่านกัน
“ฉันทนไม่ได้” ภควรรรวิลาที่สวมสเว็ตเตอร์สีดำตัวโคร่งยักไหล่ขึ้นขณะเดินผ่านโต๊ะทำงานเพื่อน
“แล้วอย่างนี้ความฝันว่าจะไปเที่ยวดูไบ?”
“ฉันแค่อาจจะเดินตามฝันช้าสักหนึ่งวันน่า เชื่อเถอะยัยธาร ฉันจะพาแกไปให้ได้ แกเตรียมตัวไว้เลย”
“นอนฝันก่อนเหอะ สิ้นเดือนนี้จะหาไหนจ่ายค่าห้อง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าเน็ต ออ ค่าดาราขวัญใจแกด้วย อย่าลืมนะว่าถ้าเดือนไหนแกจ่ายช้ารับรองยัยนั่นจะปล่อยข่าวให้คนรุมทึ้งแกอีกแน่ๆ”
“เออ รู้แล้วน่า นี่ก็หาจนตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตอยู่แล้ว ช่วงนี้ฝนก็ตกไปขายของในตลาดก็ไม่ได้ เดี๋ยวดึกๆจะไลฟ์สดปล่อยของค้างสต๊อกอีก เห้อ ชีวิตลาโง่นี่ช่างเหนื่อยจริงๆ”
เธอบ่นให้กับชีวิตของตนเองที่แสนจะทุลักทุเลเป็นที่สุด นอกจากจะหัวเดียวกระเทียมลีบ มีพ่อก็เหมือนไม่มีแล้ว ยังต้องจ่ายค่าเสียหายให้แม่ซินดี้ ศศิมนตรา ดาราคนสวยที่เดินหน้าฟ้องร้องเธอแบบกัดไม่ปล่อยข้อหาเธอหมิ่นประมาทและทำให้หล่อนเสียชื่อเสียงจนเกิดข่าวใหญ่ นอกจากจะอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีแล้วไปโผล่ประเทศอื่น เธอยังต้องลำบากลำบนหาเงินทุกๆเดือนมาชดใช้ให้หล่อนจำนวนเงินหมื่นกว่าบาท
ชีวิตหลังจากที่เขาเดินหันหลังให้ จากหน้ามือแทบเป็นหลังเท้า เกิดเรื่องราวมากมายเหลือเกิน ความอับอายขายขี้หน้า คดีฉาว การเดินเข้าเดินออกศาลเป็นว่าเล่น ไม่เว้นแม้แต่เรื่องที่ทำเธอเสียหลักที่สุด นั่นคือการถูกทางมหาวิทยาลัยไล่เธอออกเพราะทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง มันลุกลามไปถึงขนาดการหางานทำที่ปกติก็ยากอยู่แล้ว พอเธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของความฉาวโฉ่ จนมีแฮชแท็กเป็นของตัวเอง #สาววอนนาบี การหางานทำเลยยากขึ้นเป็นสองเท่า เธอไม่อยากได้ไม่อยากดังเรื่องเลวๆแบบนี้หรอกนะ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องก้มหน้ารับสภาพไป งานเอ็นเตอร์เทนแขกที่เคยลั่นวาจาไว้ว่าจะไม่ทำอีกก็ต้องบากหน้าขอเพื่อนให้หางานแนวนี้ให้ เพราะอะไรน่ะหรือ? เงินไง งานแบบนี้เงินดี คู่ควรกับเธอที่มีรายจ่ายบานตะไท ขายบ้าน ขายรถ ขายทุกอย่างจนไม่เหลืออะไรแล้ว
“อดทนหน่อยแล้วกัน ฉันรู้ว่าแกก็ไม่อยากกลับไปทำมันเท่าไหร่หรอก แต่แกก็ต้องท่องไว้นะ เพื่อเงิน เพื่อความฝัน ท่องไว้”
“แน่นอน เพื่อความฝัน เพื่อชารีฟสุดที่รักของฉัน”
ฝันสูงสุดของเธอไม่ได้วาดหวังไปไกลในช่วงบั้นปลาย เธอต้องการแค่ได้เจอเขาอีกสักครั้ง เธออยากสารภาพทุกอย่างและขอโทษเขาจากใจที่สำนึกอย่างแท้จริง แล้วจากนั้นเธอคิดว่าเธอคงรู้สึกโล่งใจอย่างที่สุด