ผ่านไป 3-4 วันที่ฉันไม่ได้เข้าบริษัท
วันนี้ฉันนัดดื่มกาแฟกับที่ปรึกษาทางใจ จะเรียกแบบนั้นก็ได้เพราะช่วง 2-3 วันมานี่ฉันได้คุยกับเขาผ่านทางไลน์และเขาก็ให้คำปรึกษาดีมาก เป็นคนที่มีมารยาท ตอบเท่าที่ถาม เขาจะไม่แสดงอาการอยากรู้อยากเห็นเรื่องของฉันออกมาเลย
ถือว่าฉันเริ่มไว้ใจเขาในระดับหนึ่งและวันนี้ที่นัดมาก็คืออยากมาคุยเรื่องนั้น ตัวฉันมีเพื่อนไม่มากนักเพราะวันๆ ทำแต่งาน เพื่อนส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนสมัยเรียนและพวกเขาก็แยกย้ายไปมีชีวิต คุณหมอจึงเป็นเพื่อนที่ฉันพึ่งพาได้ที่สุดตอนนี้
.
“งี้นี่เอง เป็นเจ้านายสินะ สรุปแล้วคือแค่เพื่อนนอน???” เขาถามออกมาตรงๆ เมื่อฉันเล่าไป
“จะว่าไงดีละคะ ตอนแรกมันก็ดี เขาอ่อนโยนและดีกับฉันมาก แต่ไม่รู้ทำไมคืนนั้น…” ฉันเริ่มไหล่ตกแล้วไม่อยากเล่าต่อ
“ไม่เป็นไรครับ เราพักเรื่องเครียดๆ กันก่อนมั้ย” เขายิ้มอ่อนโยนมากๆ ถ้าไม่บอกคนคงคิดว่าเขาเป็นจิตแพทย์ เพราะเยียวยาได้ดีมาก
“ค่ะ เล่าเรื่องคุณหมอให้ฟังบ้างได้มั้ยคะ” ฉันพูดไปด้วยความไม่รู้เพราะแค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ แต่สีหน้าเขาเริ่มเปลี่ยนทันที พระเจ้านี่ฉันไม่มีมารยาทสินะที่โพล่งออกไปแบบนั้น
“ขอโทษค่ะ ฉันไร้มารยาทมากใช่มั้ย ขอโทษจริงๆ ค่ะ” ฉันก้มหัวผงกๆ ให้เขาด้วยท่าทีสำนึกผิดแล้วเขาก็ขำออกมา
“เปล่าครับ แค่กำลังคิดว่าชีวิตผมมีอะไรให้ต้องเล่าได้บ้างมั้ย” เขามองมาแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน
“จะว่าไงดีล่ะ ชีวิตผมมันจืดชืดเกินกว่าจะมาเป็นเรื่องเล่าได้ละมั้งครับ” แววตาเขาเริ่มไหวติงตามคำพูด
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ คุณหมอเป็นหมอที่ดีมากๆ ฉันเชื่อว่าคนไข้ทุกคนที่ได้รับการรักษากับคุณเขาไม่ได้รับเพียงแค่รักษาร่างกายแน่ๆ หัวใจของคนไข้ต้องถูกรอยยิ้มและความอ่อนโยนของหมอช่วยรักษาด้วยแน่ๆ”
“เพราะงั้น อย่าทำหน้าแบบนั้นแล้วบอกว่ามันไม่มีประโยชน์เลยนะคะ” ฉันยิ้มให้เขา เพราะฉันก็ดีขึ้นมากเมื่อได้คุยกับเขา
คิกๆ น่ารักจังคำพูดคำจานั่น เขายิ้มตามออกมา
แล้วเราก็แยกย้าย
.
.
เมื่อฉันกลับถึงคอนโด ฉันก็ต้องผงะเมื่อหน้าห้องของฉันมีร่างใหญ่ยืนรออยู่ นี่เขามาได้ไงวะ ฉันเห็นเขาแล้วกำลังจะเดินหนีออกมา แต่สายตาเขาไวมากเขาเห็นฉันแล้ววิ่งตามมาอย่างไว ช่วงขามันต่างกันมากหรือไงนะ ทำไมถึงหนีไม่พ้น ฉันได้แต่คร่ำครวญในใจ
“ตั้งโอ๋ มาคุยกันก่อน”
เขาคว้ามาที่ข้อมือฉันเบาๆ สีหน้าและท่าทางดูอ่อนลงกว่าคืนนั้นมาก หมอนี่เป็นโรคสองบุคลิกหรือไงนะ ฉันแหงนมองหน้าเขาแล้วไม่มีท่าทีดีดดิ้นแต่อย่างใดเพราะเขาก็ดูไม่ได้อยากใช้กำลัง แต่ฉันไม่ยกโทษให้เขาหรอกนะอย่าเข้าใจผิด
“คุยเรื่องอะไรคะ” ฉันสะบัดข้อมือออกจากแขนเขาอย่างง่ายดายแล้วเอามือมากอดอก
“ขอคุยที่ส่วนตัวได้มั้ยครับ” เขามองมาด้วยแววตาเจ็บปวดและรู้สึกผิด คิ้วที่เคยขมวดเป็นปมเสมอไม่มีให้เห็น
ฉันยอมให้เขาเข้ามาในห้อง เพราะถ้าไม่นับคืนนั้นหมอนี่ก็ไม่ใช่คนใจร้าย แถมเมื่อก่อนยังกลัวและตามใจฉันออกขนาดนั้น
“บอกไว้ก่อนนะคะว่าถ้าคิดจะทำอะไรไม่ดี ฉันตีหัวแบะจริงๆ ด้วย” ฉันขู่เขาไปทีหนึ่งแล้วมองค้อนเขา
“กลับไปทำงานเถอะนะตั้งโอ๋ ที่บริษัทวุ่นวายมากเพราะคุณไม่อยู่” มันก็แหงอยู่แล้วแหละ ฉันก็รู้สึกผิดนิดๆ เหมือนกันนะที่ทิ้งหน้าที่รับผิดชอบมาแบบนี้ แต่ฉันไม่ผิดสักหน่อย
“มาบอกแค่นี้หรอ มาขอร้องอ้อนวอนให้กลับไปเป็นเบ๊” ฉันสาดคำพูดร้ายกาจใส่เขา
“ผมขอโทษ เรื่องคืนนั้นผมสติหลุดเอง ผมผิดเองเต็มๆ และยินดีรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสำนึกผิดที่แหบพร่า
“ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีค่ะว่าทำไมคุณต้องสติหลุดและทำแบบนั้นกับฉัน” ใช่เหมือนที่หมอบอกถ้าไม่แก้ที่ต้นตอของปัญหาเราก็จะไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง
“ผมหึง” เขาพูดแล้วหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที
“เหอะ หาเหตุผลมากลบเกลื่อนได้แย่มาก คุณไม่ได้รู้สึกรักใครฉันในเชิงชู้สาวแล้วทำไมต้องมาหึง” ฉันถามออกไปหน้าตายคนตัวใหญ่ยังหน้าแดงไม่หยุด
“คุณรู้ได้ไงตั้งโอ๋ ว่าผมไม่ได้หวั่นไหวกับคุณ กว่า3ปีที่เราอยู่ด้วยกันผมต้องทนเก็บกักความรู้สึกของตัวเองไว้ขนาดไหนคุณไม่รู้หรอก” หน้าเขาแดงก่ำและไม่เหลือเค้าเจ้านายหน้าตึงสักนิด
“พูดเรื่อง ว๊าย…”
คนตัวโตดึงฉันเข้าไปหาแล้วกอดจากด้านหลัง เมื่อเขาเอาแกนกายที่กำลังลุกฮืออยู่ในเป้ากางเกงมาแนบหลังฉัน ฉันถึงได้รู้
“แค่เห็นหน้าคุณและได้กลิ่นน้ำหอมงี่เง่านี่ มันก็ทำเอาผมแทบคลั่ง มีแต่ผมที่หวั่นไหวกับคุณอยู่ฝ่ายเดียวตลอดสามปี คุณไม่เคยมองผมเป็นอย่างอื่นนอกจากเจ้านายไม่ได้เรื่อง” เขาพูดแล้วซบหน้ามาที่บ่า
“แต่ผมจะไม่ทำอะไรคุณอีกแล้วผมสัญญา ถ้าคุณไม่ยินยอม” น้ำเสียงตรงนี้เจือไปด้วยความรู้สึกผิดจนฉันสามารถรับรู้ได้
“คุณจะบอกว่าคุณรักฉันมาตลอดงั้นหรอคะ” ฉันขมวดคิ้วเป็นปมถามเขา
“ใช่ครับ แล้วพอคุณมาเป็นของผม ผมก็เลยหวงจนหน้ามืดตามัวไปหมด แล้วทำเรื่องแย่ๆ ลงไปแบบนั้น ตรงนั้นผมผิดจริงๆ ผมยอมรับผิด”
ฉันกำลังเรียบเรียงข้อมูลในสมองแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นคำถาม
“ตลอด 3 ปีเลยหรอ เป็นไปได้ด้วยงั้นหรอ” มีแต่คำถามที่ถามเขาออกมา
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมในวัย 32 ปีถึงไม่มีแฟนละครับ คุณควรเฉลียวใจเรื่องนี้บ้างนะคุณเลขา” เขาเริ่มพูดกระเซ้า
“บอสก็รู้ว่าฉันไม่ใช่คนประเภทชอบก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของคนอื่น” ฉันพูดด้วยท่าทีหยิ่งยโสเหมือนเดิม
“ผมรู้ ตัวตนของคุณตลอด 3 ปี ผมรู้ดีเพราะผมเฝ้ามองมาตลอด”
อะไรละนั่นคำพูดคำจานั่น ทำไมมันชวนรู้สึกดี หัวใจที่เคยด้านชากลับมาเต้นตึกตัก
“กลับไปทำงานเถอะนะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรคุณอีกถ้าคุณไม่ยินยอม”
“งั้นคุณก็เตรียมตัวไม่ได้ทำอะไรฉันอีกเลยตลอดชีวิตเลยค่ะ เพราะฉันไม่มีวันยินยอม” ฉันชักสีหน้าใส่เขานิดหน่อยแล้วปั้นหน้ายโส
มือใหญ่เริ่มกอดรัดแน่นขึ้นแล้วกระซิบมาที่ข้างหูเบาๆ
“คุณลืมลีลารักของผมลงงั้นหรอครับ ตั้งโอ๋∼” น้ำเสียงกระเส่าจนฉันขนลุก ไม่ได้การฉันต้องตอบโต้
“หึ ผู้ชายของฉันมีเป็นสิบ เพราะงั้น…”
“โอ๊ยย นี่แม่เลขาตัวแสบ เลิกพูดเหมือนตัวเองช่ำชองสักทีเถอะครับ ผมไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่ามีอะไรกับสาวพรหมจรรย์นะ”
“นะ นี่” ฉันสลัดตัวหลุดจากเขาแล้วเขาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์สุดๆ
อึก…แล้วฉันจะทำยังไงกับไอ้เกมงี่เง่านี่ต่อดีนะ ได้แต่ถามตัวเองในใจ
.
.
มาดึกเลยค่ะวันนี้
เอ็นจอยนะคะคุณรี๊ดที่น่ารักทั้งหลาย