เขาเตือนสติภรรยา ที่ไม่ค่อยยอมรับฟังอะไรสักเท่าไหร่ ยึดความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง ถ้าเกลียดใครก็ไม่อยากร่วมงานด้วย แม้แต่หน้ายังไม่อยากจะมอง แต่สำหรับพิสุทธิ์วงการธุรกิจทำให้เขาตระหนักอยู่เสมอว่า บางครั้งต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน
“คุณพ่อพูดถูกนะครับคุณแม่ เราก็ยุ่งแค่เรื่องงานเท่านั้นครับ อีกอย่างตอนแรกคุณพ่อก็ไม่รู้ด้วยว่าหุ้นส่วนอีกคนหนึ่งคือใคร มารู้ก็ตอนที่คุณอายุพาบอก ซึ่งตอนนั้นก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ด้วย เพราะได้พูดคุยเรื่องนี้กันแล้ว ที่สำคัญการที่เราลงทุนซื้อโรงแรมแนวโน้มน่าจะมีแต่ได้ไม่มีเสีย”
ไอศูรย์พูดเสริม เขาเห็นด้วยกับการตัดสินใจครั้งนี้ของบิดา เพราะมองเห็นกำไรมากกว่าขาดทุน เนื่องจากโรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ในทำเลทอง อยู่ในย่านธุรกิจ มีลูกค้าทั้งในและต่างประเทศมาพักตลอดทั้งปี และยิ่งช่วงไฮซีซั่นจำนวนแขกเต็มแน่นไปตลอดช่วงดังกล่าว แต่ที่เจ้าของโรงแรมขายเพราะจะวางมือในธุรกิจทุกตัว ใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่กับเงินที่สร้างมา
“เห็นดีเห็นงามกันขนาดนี้ แม่จะพูดอะไรได้ ว่ายังไงก็ว่าตามนั้น” วิมลจำต้องยอมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ต้องอย่างนี้สิคุณ แล้วค่ำนี้เราต้องไปทานอาหารค่ำกับคุณรุ่งด้วยนะ ทำหน้ายิ้มแย้มเข้าไว้ล่ะ คนอื่นจะได้ไม่สงสัย” พิสุทธิ์เตือนภรรยา
“ค่ะ น้องจะยิ้มให้แก้มฉีกเลยค่ะ” นางพูดประชด
สองพ่อลูกมองหน้ากันแล้วอมยิ้มกับท่าทางของวิมล ทั้งคู่รู้ดีว่า วิมลไม่ชอบหน้าสุภัทรามากแค่ไหน ถึงขั้นเกลียดก็ว่าได้ แต่การเผชิญหน้ากันในครั้งนี้ เห็นทีวิมลจะต้องใช้ความอดทนอย่างหนักที่ต้องร่วมทริปกับคนที่ตนเองไม่ชอบหน้า
เวลาที่แสนตื่นเต้นของชเนตตีได้เดินทางมาถึง เวลาที่จะได้เจอชายหนุ่มในดวงใจ หัวใจเธอเต้นโครมครามและถี่แรง นั่งชะเง้อมองประตูห้องอาหารอยู่ตลอดเวลา
“เนย ฉันว่าแกสงวนท่าทีตื่นเต้นหน่อยก็ดีนะ ดูสิคอแกจะกลายเป็นคอยีราฟแล้ว จะชะเง้ออะไรหนักหนาเดี๋ยวพี่เจย์ก็มาแล้ว”
บัณฑิตาหันไปกระซิบกระซาบชเนตตีที่ดูเหมือนจะควบคุมความตื่นเต้นไม่อยู่
“ก็มันตื่นเต้นนี่นา อีกอย่างฉันก็ห้ามตัวเองไม่ได้ด้วย”
“ห้ามไม่ได้ก็ไม่ต้องห้าม แต่ขอให้ลดๆ ลงมาหน่อย ฉันกลัวแกจะหัวใจวายก่อนได้เจอพี่เจย์” บัณฑิตาเตือนเพื่อนอีกรอบ
“จะพยายามละกัน” ชเนตตีรับปากแล้วไม่มั่นใจตัวเองว่าจะทำได้หรือไม่
อีกห้านาทีต่อมา การรอคอยของชเนตตีก็สิ้นสุดลง เมื่อครอบครัวจักรบดินทร์เดินเข้ามาในห้องอาหาร นำหน้าด้วยพิสุทธิ์ที่เดินคู่มากับศรีภรรยา ตามหลังด้วยร่างสูงใหญ่ของไอศูรย์
“ขอโทษนะครับที่ทำให้ทุกคนต้องคอยนาน”
พิสุทธิ์กล่าวขอโทษตามมารยาทเมื่อรู้ว่า ครอบครัวของตนมาหลังสุด ระหว่างที่พิสุทธิ์กล่าวคำขอโทษ ไอศูรย์ก็พนมมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่นั่งร่วมโต๊ะ ซึ่งทุกคนต่างก็รับไหว้ ต่างกับที่ชเนตตีที่หน้าชาเล็กน้อยกับการหมางเมินของวิมลที่ไม่แม้แต่จะรับไหว้ แถมยังเชิดหน้าใส่
“ไม่เป็นไรครับ พวกเรามาก่อนเวลาเอง” เจ้าสัวเรืองเดช เจ้าภาพในวันนี้เอ่ยขึ้น “มากันครบองค์ประชุมแล้ว เราก็เริ่มลงมือทานอาหารกันเลยดีกว่าครับ”
พิสุทธิ์ทรุดกายนั่งลงข้างเจ้าสัวเรืองเดช เก้าอี้ถัดไปคือวิมล เหลือเก้าอี้เพียงตัวเดียวที่ไอศูรย์จะนั่งคือ เก้าอี้ข้างชเนตตี
หัวใจของชเนตตีเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างตัว กลิ่นน้ำหอมผู้ชายอ่อนๆ จากร่างหนาโชยเข้ามาในจมูกของเธอ กลิ่นนั้นช่างหอมและรัญจวนใจเหลือเกิน มันทำให้เธอถึงกับเคลิ้มเลื่อนใบหน้าสูดดมตามกลิ่นน้ำหอมนั้นไป ดีที่ว่าบัณฑิตาเห็นเข้าเสียก่อน จึงดึงแขนเพื่อนเบาๆ เพื่อเรียกสติ ไม่เช่นนั้นใบหน้าของชเนตตีคงจะซุกอยู่บนท่อนแขนของเขาแน่นอน
“สวัสดีค่ะพี่เจย์” ชเนตตีเป็นฝ่ายทักทายไอศูรย์ด้วยการไหว้ที่อ่อนช้อย
“สวัสดีเนย” ชายหนุ่มรับไหว้และทักทายกลับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร มองหน้าคนทักที่หน้าตาเปลี่ยนไปเล็กน้อยอาจจะเป็นเพราะโตขึ้น รูปร่างดูจะอวบหน่อยๆ แต่ผิวยังคงขาวใสดุจดังหยวกกล้วยเช่นเดิม ใจคนถามแทบจะละลายเมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขาเพราะมันทำให้หน้าตาของเขาหล่อเหลามากขึ้น
“เราสองคนไม่ได้เจอกันตั้งสิบปีแน่ะ พี่เจย์จำเนยได้ไหมคะ” ชเนตตีถามไปลุ้นไป
“จำได้สิ ทำไมพี่จะจำไม่ได้” มีหรือที่ไอศูรย์จะจำชเนตตีไม่ได้ สมัยเด็กเธอชอบกลั่นแกล้งชนกนันท์อยู่บ่อยๆ ทั้งที่เขาเห็นกับตาและจากคำบอกเล่าของวิมล หรือไม่ก็ชนกนันท์เอง แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะเกลียดชังชเนตตีเกี่ยวกับนิสัยของเธอ เขารู้สึกเฉยๆ เพราะคิดว่าตอนนั้นชเนตตียังเด็ก ยังไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก และนับตั้งแต่เขาเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ ชายหนุ่มก็ไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องที่ชเนตตีแกล้งน้องสาวอีกเลย อาจเป็นเพราะทั้งสองครอบครัวต่างคนต่างอยู่ “เนยสบายดีไหม เรียนจบอะไร”
“เนยสบายดีค่ะ เรียนจบบริหารธุรกิจค่ะ ตอนนี้อ้วนขึ้นตั้งสามโล” เธอตอบพร้อมกับชูนิ้วขึ้นสามนิ้ว “พี่เจย์ดูแมนขึ้นตั้งเยอะ กล้ามเป็นมัดเชียว สงสัยออกกำลังกายสม่ำเสมอ”
ใช่ เขามีรูปร่างบึกบึนขึ้น กล้ามหนาและดูแข็งแรงกำยำ จนชเนตตีจินตนาการไปว่า ขนาดกล้ามเนื้อแขนยังสมบูรณ์ขนาดนี้ แล้วแผงอกของเขาจะเป็นอย่างไร คงเต็มไปด้วยมัดกล้ามและซิกซ์แพก ยามซุกซบคงจะอบอุ่นน่าดู คิดแล้วใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นมาทันใด
“ใช่ พี่ออกกำลังกายอาทิตย์ละสามวัน ทำจนเป็นนิสัยน่ะ เนยก็ออกกำลังกายบ้างนะมันดีกับสุขภาพ” เขาเอ่ยด้วยความหวังดี
“ค่ะ กลับกรุงเทพเนยจะออกกำลังกายตามที่พี่เจย์บอก”
ใครพูดให้ชเนตตีออกกำลังกาย เธอไม่เคยฟัง และไม่คิดจะทำตาม แต่พอไอศูรย์พูด แรงฮึดก็บังเกิดขึ้นทันทีทันใด
การสนทนาของทั้งคู่หยุดลงเมื่อผู้ใหญ่ที่นั่งร่วมโต๊ะซักถามเกี่ยวกับเรื่องการทำธุรกิจ รวมทั้งเรื่องที่เขากำลังจะแต่งงานกับชนกนันท์ คนที่เริ่มหัวข้อนี้ไม่ใช่ใคร คือวิมลมารดาของไอศูรย์นั่นเอง
และการพูดคุยเรื่องนี้ก็ทำให้ความหมองเศร้าเกิดขึ้นในใจของชเนตตีทันที จิตใจห่อเหี่ยวขึ้นมากะทันหัน ความรู้สึกหดหู่ที่เกิดขึ้น ส่งผลตรงถึงต่อมน้ำตาที่เริ่มทำงาน จนเธอต้องกะพริบตาถี่ๆ หลายครั้งเพื่อสะกดกลั้นไม่ให้รินไหล ความสุขที่ชเนตตีได้รับเพียงไม่กี่วินาที กลับกลายเป็นความทุกข์ บัณฑิตาเห็นอาการของเพื่อนสนิทแล้วรู้ได้ว่า ชเนตตีรู้สึกอย่างไร เธอจึงเอื้อมมือไปบีบมือเพื่อนรักเบาๆ คล้ายกับให้กำลังใจ พร้อมกับความรู้สึกสงสารเพื่อนจับใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้นอกจากสิ่งที่ตนทำอยู่ขณะนี้