จูบนั้น...ทำให้ความคิดและความรู้สึกของมือปราบหญิงเปลี่ยนไป แม้นางจะโกรธแค้นและรู้สึกชิงชังการกระทำของฮัวหยาง แต่พอได้ยินเขาอธิบายว่ายาที่เขาใช้นางทดลองเป็นยาที่จะช่วยผู้ป่วยได้จำนวนมาก นางก็รู้สึกว่าฮัวหยางคนถ่อยช่างเป็นหมอที่น่ายกย่อง
“ยาที่เจ้ากินลงไป ข้าเองก็ทดลองมาแล้วตั้งหลายหน ตอนนี้นับว่าได้ผลดี แถวชนบทมีคนป่วยเป็นโรคแบบนี้อยู่มาก หากช่วยพวกเขาได้ เจ้ากับข้าก็นับว่าได้ทำกุศลอันยิ่งใหญ่”
“เจ้าจะทดลองยาก็ทำไป แต่ไม่ควรล่วงเกินข้า” นางร้องด่า
เขาหัวเราะหึๆ หันไปรินน้ำชาแล้วป้อนนางแล้วป้อนนาง “ดื่มน้ำก่อนเถอะ เจ้าคงคอแห้งแย่ ข้าจะให้ค่าเสียหายเจ้าก็แล้วกัน เจ้าฟ้องร้องข้าไปก็เท่านั้น ข้าไม่ได้ทำร้ายเจ้า เนื้อตัวเจ้าก็ไม่มีร่องรอยความเสียหาย หากจะป่าวประกาศบอกคนอื่นว่าข้าจูบเจ้า มันจะดีหรือ? รับๆ เงินไปเถอะ”
นางถลึงตาใส่เขา แต่พอเห็นตั๋วแลกเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่ถูกยื่นมาตรงหน้า อู๋จือก็ตาโต “เจ้าจะจ่ายค่าลองยาให้ข้าร้อยตำลึงจริงหรือ?”
ชายหนุ่มพยักหน้า “จริงสิ เจ้าโชคดีมากที่บุกเข้ามาในบ้านข้า ทำตัวเป็นโจรแล้วยังได้เงินกลับออกไปอีก ยิ่งกว่าพวกปล้นชิงทรัพย์”
“ข้าเป็นมือปราบ บอกแล้วอย่างไรเล่า? ข้าก็แค่ตามหัวหน้าจางมาด้วยความเป็นห่วง ข้าทำตามที่รับปากเจ้าแล้ว ปล่อยข้าเสียที”
คุณชายใหญ่ฮัวหัวเราะเบาๆ “ที่เจ้าบุกเข้ามาในบ้านข้า เจ้าไม่ได้ห่วงหัวหน้าจางหรอก ข้าว่า ที่จริงเจ้าสงสัยพฤติกรรมเขาต่างหาก”
“เจ้า...เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ฮัวหยางยื่นมือมาบีบคางของหญิงสาว แล้วจ้องตานางเขม็ง “ข้าขอเตือนเจ้า ข้าอายุมากกว่าเจ้าหลายปี พูดจากับข้าต้องรู้จักให้เกียรติ ไม่อย่างนั้นข้าจะจับเจ้าขังไว้ในเรือนนี้ รับรองว่าไม่มีคนตามหาเจ้าพบแน่”
อู๋จือผงะ นางเกิดความกลัวบุรุษตรงหน้าขึ้นมา “ก็ได้ ท่านปล่อยข้าได้แล้ว วิญญูชนพูดแล้วต้องรักษาคำพูด”
“ได้” เขายื่นมือมาคลำตรงเอวของหญิงสาว ลูบไปตามแนวสายรัดเอว
“ท่าน! ท่านจะทำอันใดอีก?”
ฮัวหยางล้วงเอาป้ายประจำตัวมือปราบของนางออกมา “อู๋จือ นี่คงเป็นชื่อของเจ้า ข้าจะจำเอาไว้ ถ้าข้าสืบดูแล้วพบว่าเจ้าโกหก ข้าจะส่งคนไปตามล่าเจ้าเอามาขังไว้ห้องใต้ดิน”
“ข้าเป็นมือปราบ!” นางยืนยันหนักแน่น
“อืม...ท่าจะจริง”
“มันจริงอยู่แล้ว” นางจ้องตาเขาตอบ
“เอาล่ะ นี่ก็ดึกมาแล้ว เดี๋ยวข้าจะปล่อยเจ้ากลับ” เขาแกะเชือกที่มัดมือมัดเท้านางออก
อู๋จือรู้สึกว่านางไม่อาจจะใช้วิชาตัวเบาหรือกำลังภายในในการต่อสู้ได้ตามปกติ นางคิดจะทุบตีคุณชายหน้าหยกตรงหน้าให้หมอบเพื่อระบายความแค้นสักหน่อยแต่กลับผิดแผน
“เจ้าไม่ต้องพยายามออกแรง ข้าโปะยาที่ทำให้เจ้าใช้วรยุทธ์ไม่ได้ แต่เจ้ายังพอเหลือแรงประคองตัวกลับบ้าน”
อู๋จือเม้มปาก ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความแค้นเคือง นางข่มใจสงบปากสงบคำ เตือนตนให้ออกจากเรือนหลังนี้ไปได้เสียก่อน การแก้แค้นค่อยว่ากันทีหลัง
คืนนั้นเขาโยนนางออกทางประตูบ้าน พร้อมกับยัดตั๋วแลกเงินร้อยตำลึงให้ เขากำชับให้นางเรียกเขาว่า “คุณชายใหญ่ฮัว”
อู๋จือไม่เคยคิดอยากจะแต่งงานเพราะครอบครัวนางฐานะไม่ค่อยดี ท่านแม่ก็ต้องลำบากทำอาหารขายอยู่ทุกวัน หากนางออกเรือนท่านแม่ก็ต้องนำเงินเก็บออกมาเป็นสินเจ้าสาว นางเกรงว่าเงินที่จะใช้เพื่อการศึกษาของอู๋เหอตี้จะลดลง
‘เงินเก็บข้ายังไม่มีเลยสักตำลึงเพราะเสี่ยวเหอตี้ยังต้องร่ำเรียนในสำนักศึกษา สตรีที่ไม่มีสินเจ้าสาวจะมีครอบครัวใดอยากจะรับไว้เล่า?’
สหายหญิงที่ทำงานมือปราบด้วยกันมาตั้งแต่อายุสิบเจ็ดล้วนทยอยแต่งงานไปทีละคน ยามนี้คนอายุรุ่นราวราวเดียวกันก็เหลืออยู่ไม่กี่คนแล้ว พวกที่เรียกว่าเหลือก็ล้วนมีคู่หมั้นกันไปหมด มีเพียงอู๋จือคนเดียวที่โสดอย่างแท้จริง นางไม่มีกระทั่งบุรุษที่หมายตาหรือพึงใจ
ครอบครัวบุรุษที่นางสามารถจะเลือกแต่งงานด้วยได้ก็คงเป็นเพียงครอบครัวธรรมดา สกุลคหบดีหรือสกุลขุนนางนางย่อมไม่อาจเอื้อม มารดาของนางไม่ต้องการให้นางไปอยู่ในครอบครัวที่สูงส่งกว่าตนเองมาก เกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรมในภายหน้า
“พี่จือ ท่านเหม่ออันใด? ตั้งแต่กลับมาจากศาลเจ้า ข้าเห็นท่านใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เอ? หรือว่าท่านมีความรัก?”
“ข้ากำลังคิดเรื่องเงินเก็บอยู่นะ”
น้องสาวนั่งลงยกมือขึ้นแตะแขนคนเป็นพี่เบาๆ
“ท่านพี่อย่าคิดมากเลย ปีนี้หลงจู๊ให้ค่าแรงข้าเพิ่มด้วยเจ้าค่ะ ต่อไปข้าจะเก็บไว้จ่ายค่าเรียนของเสี่ยวเหอตี้เอง เงินของท่านก็เก็บเอาไว้เป็นสินเจ้าสาวบ้างเถอะ”
อู๋จือยิ้มน้อยๆ “อย่าเลย ตอนนี้เราสองคนช่วยกันดูแลท่านแม่และช่วยส่งเสียเสี่ยวเหอตี้ให้ร่ำเรียนจบ สอบขุนนางได้ก็พอ”
อู๋เสี่ยวถงยิ้ม นางรู้สึกเห็นใจพี่สาว ภาระในครอบครัวที่ขาดบิดาช่างนักหนา อู๋จือไม่เคยโอดครวญสักครั้ง ถ้ามีบุรุษมาพูดคุยด้วย พี่สาวคนนี้ก็จะรีบปฏิเสธเพราะไม่อยากมีพันธะทางใจกับผู้ใด
“พี่จือ ท่านไม่มีบุรุษที่พึงใจบ้างสักคนเลยหรือ?”
อู๋จือใจดวง พลันใบหน้าหล่อเหลาราวเทพเซียนของฮัวหยางก็ผุดขึ้น นางรีบสะบัดศีรษะ “ไม่มี”
“ไม่มีจริงๆ น่ะหรือ? ข้าเอาอาการของท่านไปปรึกษาหลงจู๊ที่ร้านขายยาที่ข้าทำงานอยู่ เขาบอกว่าพี่จือน่าจะป่วยทางใจ”
“ป่วยทางใจ คืออันใด?”
“ก็หมายถึง ท่านกำลังหลงรักคนผู้หนึ่งอยู่น่ะสิ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เอาแต่นึกถึงหน้าคนผู้นั้นอยู่ทุกเช้าค่ำ”
“ไม่ใช่หรอก วันๆ ข้าพบเจอแต่โจรถ่อย จะไปหลงรักคนเลวๆ พวกนั้นได้อย่างไร? เจ้าคิดมากไปแล้วเสี่ยวถง” อู๋จือรีบปฏิเสธเสียงหลง “ไปกินข้าวกันดีกว่า วันนี้ข้าเหนื่อยมาก อยากกินเยอะๆ
....ฮัวหยาง เจ้าหมอบ้า เป็นเพราะเจ้าจูบข้าแท้ๆ ข้าถึงได้มีอาการโรคจิตแบบนี้....
“จริงสิ มือปราบอู๋ อีกไม่นานก็จะเป็นงานแต่งของหัวหน้าจางแล้ว เมื่อเช้าตอนไปตลาดข้าเห็นพวกเขาสองคนเดินกระหนุงกระหนิงกัน น่าอิจฉานัก หัวหน้าของเราดูเอาใจว่าที่ภรรยาน่าดู” มือปราบหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
“อืม...หัวหน้าจางถึงกับเปลี่ยนให้หวังหวั่นมาอยู่เวรลาดตระเวนกับเขา แต่ละวันก็ออกไปทำงานด้วยกันอย่างหวานชื่น”
จางเจิ้งจีหัวหน้ามือปราบหน่วยที่สามเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี หญิงสาวทั่วเขตที่เขาดูแลอยู่ล้วนพยายามทอดสะพานให้ เขาเป็นคนเย็นชาและเย่อหยิ่งทำงานอย่างบ้าคลั่ง แต่ตอนนี้เปิดเผยว่าตนเองมีคนรักอยู่แล้วและนั่นก็คือมือปราบหญิงหวังที่ได้ชื่อว่าเป็นมือปราบหญิงที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดในสำนักมือปราบจากการลงคะแนนของเหล่ามือปราบในปีนี้
หวังหวั่นเพิ่งเข้ามาอยู่ในหน่วยมือปราบได้ไม่นาน แรกๆ นางถูกหัวหน้าจางข่มเหงบีบบังคับให้ทำงานสารพัดเพราะเห็นว่านางเป็นคุณหนูคนงามคงแค่อยากจะมาเป็นมือปราบเพราะนึกสนุก แต่เมื่อได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันหลายครั้งท่าทีของหัวหน้าจางเปลี่ยนไป
“ความใกล้ชิดเป็นบ่อเกิดของความรัก” รองหัวหน้าหน่วยเปรยขึ้น
“ก็ดีแล้วนี่ขอรับ หัวหน้าจางผู้เอาจริงเอาจังหน้าบึ้งอยู่ทั้งวัน ตอนนี้ยิ้มทุกเช้า หน่วยของพวกเราก็ทำงานมีความสุขขึ้นจริงไหม?” มือปราบอีกคนลุกขึ้นยืนปรบมือให้กับความรักของหัวหน้าจางกับมือปราบหวัง
“อนุหลิงของหัวหน้าจางเล่า? จะทำเยี่ยงไรเจ้าคะ?” อู๋จือรีบเอ่ยถาม
รองหัวหน้าหน่วยรีบยืดอกแสดงตัวเป็นผู้รู้ “มือปราบอู๋ เจ้าคงไม่รู้ว่าที่แท้ อนุหลิงนั่นเป็นแค่ญาติห่างๆ ที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับเศรษฐีบ้ากาม หัวหน้าจางของเรามีน้ำใจช่วยเหลือ จึงรับนางเอาไว้ พวกเขาอยู่กันฉันท์พี่น้องมิใช่สามีภรรยา ตอนนี้คนรักของนางกลับมารับแล้ว พวกเขาจะไปอยู่ด้วยกันที่เมืองอื่น”
“หา! นี่มันเหมือนงิ้วที่ข้าเคยดูเลยนะเจ้าคะ”
******************