“ท่านกลัวได้ชายารองฝาแฝดอีกหรืออย่างไร” ถางซือเซินอดหัวเราะเบา ๆ มิได้ เขาจำได้ว่าฉินอ๋องมีสีหน้าเช่นไรเมื่อต้องแต่งชายารองพร้อมกันถึงสองคน
“กลัว” ผู้เป็นอ๋องยอมรับอย่างง่ายดาย แต่ริมฝีปากบางหยักขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับไม่แยแสสิ่งใด
“ซือเซินเห็นว่าชายารองฝาแฝดของท่านก็งดงามมาก บุรุษมากมายในเมืองหลวงล้วนอิจฉาฉินอ๋องกันทั้งนั้น ไม่ดีหรือที่มีสตรีปรนนิบัติทั้งซ้ายขวา”
“ขอยอมรับว่าพวกนางให้ความรู้สึกแปลกใหม่กับข้ามิน้อย” แววตาของมู่เลี่ยงหรงส่องประกายวิบวับแวบหนึ่ง “แต่สำหรับข้านั้นสตรีใดก็มิได้ต่างกัน พวกนางมีหน้าที่ปรนนิบัติบุรุษ เป็นสมบัติในเรือน จะมีประโยชน์ที่สุดก็ตรงให้กำเนิดทายาทได้กระมัง ดังนั้นจะมีหนึ่งคนหรือสองคนก็เพื่อจุดประสงค์เดียว” เขาค่อย ๆ วางจอกหยกลงกับโต๊ะเล็กที่ตั้งอยู่ข้างโต๊ะกระดานหมาก
“...” ถางซือเซินเลือกที่จะไม่บอกความรู้สึกของตนเอง คำพูดเหล่านั้นฟังดูเย็นชาเกินไป
“เจ้ากำลังตำหนิข้าอยู่สินะ คงคิดว่าข้าไร้หัวใจ” นัยน์ตาเข้มลึกจดจ้องอัครเสนาดีฝ่ายซ้ายอย่างรู้ทัน “ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกซือเซิน อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ พระชายารองทั้งสามต้องการความโปรดปรานก็เพื่อให้ข้าสนับสนุนครอบครัวของพวกนาง เห็นหรือไม่ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทั้งสิ้น”
“ท่านอ๋องเพียงยังไม่พบสตรีที่พึงใจอย่างแท้จริงก็เท่านั้นเอง”
“ความรักคืออะไรซือเซิน มันคงมีเพียงในโคลงกลอนอันเพ้อฝันเท่านั้น”
เมื่อก่อนนั้นบทประพันธ์ต่าง ๆ ชวนให้อ๋องหนุ่มหวังว่าจะได้สัมผัสกับรักแท้ พอนานเข้า ก็รับรู้ได้ว่าหน้าที่ของตนเองสวนทางกับเรื่องในหนังสือ หญิงสาวมากมายที่รายล้อมล้วนเอาใจเขาเพื่อแลกกับบางสิ่งบางอย่างเสมอ ในเมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้จะไม่ให้รู้สึกด้านชาได้อย่างไร
ในโลกของความเป็นจริง ด้วยฐานันดรศักดิ์ของเขา ย่อมมีสตรีอยากถวายตัวให้ลิ้มลอง
เริ่มตั้งแต่ยังไม่ออกจากวังหลวงมาอยู่จวนส่วนตัว บรรดานางกำนัลทั้งหลายที่อยากยกฐานะ รวมไปถึงบรรดาขุนนางต่าง ๆ ก็อยากจะยกบุตรสาวให้เพื่อผลประโยชน์จากการเชื่อมสัมพันธ์กับเชื้อพระวงศ์ สิ่งเดียวที่เขาได้จากเรื่องนี้คือความสุขทางกาย ดังนั้นฉินอ๋องจึงกลายเป็นบุรุษช่างเลือก สตรีที่เขายอมให้ปีนขึ้นเตียงล้วนโฉมงามทั้งสิ้น ยามความต้องการของบุรุษเรียกร้องก็แค่เลือกมาสักคน
นานวันเข้าท่านอ๋องหนุ่มได้เรียนรู้ว่าแม้พวกนางจะช่วยปลดเปลื้องความต้องการของบุรุษเพศได้ แต่ก็ไม่อาจเติมเต็มความรู้สึกอันล้ำลึกที่ตนเฝ้าปรารถนา หนักเข้าก็ยิ่งพบว่ายังไม่มีสตรีใดดึงดูดใจได้มากพอ ไม่เคยรู้สึกรักใคร่ผู้ใดเป็นพิเศษ จนท้ายที่สุดชายผู้สูงศักดิ์จึงลงความเห็นว่าพวกนางต่างก็เหมือนกัน
แต่ถึงกระนั้นมู่เลี่ยงหรงก็ตระหนักดีว่าการแต่งงานของเขาเป็นเรื่องสำคัญ ตนเองเป็นถึงพระอนุชาร่วมพระมารดากับฮ่องเต้ ดังนั้นหากจะรับชายาเอกหรือแม้แต่ชายารอง ย่อมต้องเป็นบุคคลที่พระเชษฐาเห็นสมควร อีกทั้งต้องคำนึงถึงส่วนได้ส่วนเสียและผลกระทบในราชสำนักเป็นที่ตั้ง
เหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ฉินอ๋องยังไม่ตัดสินใจยกตำแหน่งฉินหวางเฟยให้สตรีใดทั้งสิ้น
ไม่เพียงเท่านั้น มู่เลี่ยงหรงอยู่ในวังหลวงมานาน เหตุใดจะไม่รู้ถึงความวุ่นวายในวังหลัง เพียงคิดว่าจะต้องเสียเวลามาคอยควบคุมสตรีคลั่งรัก อ๋องหนุ่มก็รู้สึกปวดตุบ ๆ บนศีรษะ สู้เอาเวลาไปทำงานช่วยเหลือราษฎรยังมีค่ายิ่งกว่า
เมื่อไม่ใช่พวกลุ่มหลงอิสตรี ฉินอ๋องจึงไม่มีความคิดเรื่องเติมเรือนหลังให้เต็มอย่างองค์ชายอื่น ๆ นอกจากสตรีที่เคยถวายตัวและอาศัยอยู่อย่างไรฐานะจำนวนหนึ่ง จนถึงตอนนี้ในจวนก็มีชายารองเพียงสามคนเท่านั้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสาวงามที่ฮ่องเต้ทรงพระราชประทานมาให้ทั้งสิ้น
“ปีนี้ท่านอ๋องไม่ควรพลาด” ถางซือเซินอมยิ้ม
“ทำไมกันซือเซิน ดูเหมือเจ้าอยากให้ข้าไปร่วมงานครั้งนี้เป็นหนักหนา หรือว่ามีอะไรเป็นพิเศษ” มู่เลี่ยงหรงหรี่นัยน์ตา บรรยากาศพลันเย็นยะเยือก รู้สึกว่าวันนี้สหายจะพูดมากเกินไปแล้ว
“ปีนี้ท่านอ๋องก็อายุยี่สิบสองปีแล้ว ตามความเห็นของซือเซินก็ถึงเวลาอันควรที่จะแต่งพระชายาเอกเข้าจวนเสียที เรือนจะได้เต็มเรือน มีหวางเฟยช่วยดูแลเรื่องต่าง ๆ ภายใน ท่านก็จะได้เอาเวลาไปทุ่มเทกับงานราชการอย่างไรเล่า” อัครเสนาบดีให้เหตุผล “อีกอย่างปีนี้ข้าเห็นว่ามีสตรีที่น่าจะทำให้ท่านอ๋องสนใจอยู่คนหนึ่งด้วย”
“...” มู่เลี่ยงหรง
“ซือเซินคิดว่าพอรู้ใจท่านอ๋องอยู่บ้าง ขอเอาสายตาของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งแว่นแคว้นเป็นประกัน นางผู้นี้น่าจะใกล้เคียงกับสตรีในฝันผู้นั้นของท่าน”
“ซือเซิน! แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าไม่เคยยุ่งเรื่องเรือนหลังของข้า” น้ำเสียงของมู่เลี่ยงหรงเย็นเฉียบ นั่นแปลว่าเขาเริ่มเดือดดาลแล้ว ความอดทนใกล้จะหมดเต็มที
“กระหม่อมมิกล้า” เมื่อเห็นท่านอ๋องเริ่มมีโทสะ อัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ใช้มุขขุนนางผู้น้อยหวาดกลัวผู้เป็นนายเข้าว่า “แต่กระหม่อมมั่นใจว่าท่านอ๋องจะพึงใจสตรีนางนี้อย่างแน่นอน” สหายกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม เขาค้อมศีรษะลงต่ำแสดงอาการราวกับกริ่งเกรงจะโดนลงอาญา
“เจ้าไม่ต้องมาทำท่าขุนนางผู้ภักดีใส่ข้า บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าคิดจะทำอะไรกันแน่” ปกติถางซือเซินไม่เคยยุ่งเรื่องในม่านมุ้งของเขา เหตุใดถึงกระตือรือร้นอยากให้ไปร่วมงานชมดอกเหมยเลือกคู่ ท่าทางมั่นอกมั่นใจนั่นอีก แค่เห็นก็รู้สึกหวาดระแวง
“กระหม่อมขอทูลถามท่านอ๋อง ท่านจำสัญญาของเราได้หรือไม่” ผู้เป็นสหายเงยหน้าขึ้นสบตาสีดำเข้มของมู่เลี่ยงหรงตรง ๆ แล้วส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้
“สัญญาอันใด ข้าเคยไปรับปากอะไรไว้กับเจ้าที่ไหนกัน” ประโยคเอ่ยทวงสัญญาที่ตนเองก็จำมิได้แล้วนั้นกลับสร้างความหนาวเย็นขึ้นในใจอย่างบอกไม่ถูก
“ท่านอ๋องเคยสัญญากับกระหม่อมไว้ว่า หากอายุครบยี่สิบปีแล้วยังหาพระชายาเอกมิได้ ท่านจะให้ซือเซินจัดการให้อย่างไรเล่า” ถางซือเซินมองดูสีหน้าของฉินอ๋อง ครั้นเห็นแววตระหนกบนดวงตา เขาแทบจะหัวเราะออกมาแต่ก็กลั้นเอาไว้ เพราะกลัวจะทำให้ผู้สูงศักดิ์บันดาลโทสะจนผิดแผน “แต่บัดนี้ท่านอ๋องอายุได้ยี่สิบสองปีแล้วนะ พ่ะย่ะค่ะ”
“ซือเซิน เจ้า...เจ้า…” อ๋องหนุ่มนิ่งอึ้ง พูดอะไรไม่ออกอีก สีหน้าที่เคยเย็นชากระตุกวูบ