บทที่ 3 เขาเป็นอ๋องอสูร

1377 คำ
            นางค่อยๆ เยื้องย่างขณะขบคิดนิทานที่เพิ่งฟังจบ “ท่านอ๋องใหญ่ผู้นี้โหดร้ายขนาดนั้นเชียวหรือ แค่ไม่พอใจก็ฆ่าคนโดยไม่กระพริบตาเทียว แล้วผู้ใดจะกล้าเข้าใกล้เขากันล่ะ”             “เจ้าไม่ได้หรือไร? ผู้เฒ่าเซียงคนนั้นก็บอกแล้วนี่ว่า ฉายาเขาคืออ๋องอสูร หนังสือนั่นเจ้าก็ซื้อมา กลับไปค่อยๆ อ่านก็ได้” มือปราบหนุ่มชะโงกดูหนังสือเล่มบางในมือของนาง หลังจากนักเล่านิทานเล่าเรื่องขององค์ชายใหญ่จินเสวี่ยหลงจบแค่ครึ่งแรกก็หยุดเล่าพร้อมนำหนังสือเล่มบางที่เขียนเรื่องราวตั้งแต่วัยเด็กจนปัจจุบันของท่านอ๋องใหญ่ออกมาขาย บรรดาสตรีน้อยใหญ่ต่างยื้อแย่งกันซื้อราวกับได้เปล่า             เหลียงเจินซินยกหนังสือเล่มนั้นขึ้นแนบหน้าอก “แน่นอนว่าข้าจะตั้งใจอ่านเรื่องของเขาเป็นอย่างดีและละเอียดละออเป็นแน่ สักวันข้าจะต้องไปดูเขาให้เห็นกับตาให้ได้ว่าเขาเป็นอย่างที่นักเล่านิทานและนักประพันธ์ผู้นี้เขียนไว้หรือไม่?”             “แสดงว่ายามนี้เจ้าเริ่มไม่รักชีวิตแล้วล่ะสินะ ถึงได้อยากจะไปเฉียดกรายอ๋องอสูรผู้นั้น ข้าเปิดดูด้านในหนังสือเห็นมีภาพเขาอยู่ด้วยนี่ เจ้าดูหรือยัง?”             “ไหนๆ ทำไมข้าไม่เห็น?” นางรีบเอาหนังสือออกมาพลิกดูหาภาพอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็เจอภาพลายเส้นเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะถือทวน ทว่าใบหน้ากลับสวมหน้ากากอสูรร้ายในเทศกาลเสียได้ “ไม่เห็นมีใบหน้าเลย ตกลงหน้าตาเขาเป็นอย่างไรกันแน่?”             “เจ้าคิดว่าคนประพันธ์หนังสือนี้จะเคยเห็นท่านอ๋องใหญ่อย่างนั้นหรือ? ผู้เฒ่าเซียงก็บอกแล้วอย่างไรว่าท่านอ๋องผู้นี้พบเจอได้ยากนัก แล้วคนธรรมดาจะได้เจอเขาได้อย่างไร? นี่คงทำได้แค่จินตนาการรูปร่างตามคำบอกเล่าแล้วอาศัยว่าชื่อเสียงของเขาดูน่ากลัวก็เลยวาดใส่หน้ากากเข้าไป”             นักสืบซินได้ยินเรื่องราวที่นางฟังดูเหลือเชื่อแล้วสัญชาตญาณนักสืบก็พลุ่งพล่าน นางอยากจะรู้นักว่าท่านอ๋องอสูรจะโหดร้ายสมดังคำเล่าลือหรือไม่?             “เสียดายจริงที่ท่านอ๋องใหญ่อยู่ถึงเมืองหลวง หากข้าจะไม่สืบดูเรื่องจริงก็คงต้องเดินทางหลายวัน ท่านพ่อก็คงไม่อนุญาต” นางนึกถึงตรงนี้ได้แต่หดคอ ไหล่ตก             “เจ้าจะอยากรู้เรื่องเขาไปทำไมกัน? คนระดับนั้นมิใช่คนที่เจ้าจะย่องเบาแอบเข้าวังไปดูได้ง่ายๆ” ไป๋ฉิงเหวินส่ายหัวเมื่อนึกถึงสภาพญาติผู้น้องที่คิดจะไปแอบสืบเรื่องของท่านอ๋องจินเสวี่ยหลง “ข้าได้ยินมาว่าจวิ้นอ๋องน้องเขยของท่านอ๋องใหญ่ได้นำองครักษ์เงาจากแคว้นหมิงมาคอยคุ้มครองคนในครอบครัว”             “องครักษ์เงางั้นหรือ? ทำไมนักเล่านิทานไม่เห็นเล่าเรื่องนี้เลย?”             “จะเล่าได้อย่างไรกัน? นี่เป็นความลับของทางการ เจ้าเองรู้แล้วก็หุบปากไว้ให้แน่นๆ องครักษ์เงาเหล่านี้ไม่เปิดเผยโฉมหน้า อารักขาโดยไม่ให้เห็นตัว ไม่มีผู้รู้จักชื่อจริง ผู้เป็นนายต้องเรียกด้วยรหัสลับเท่านั้น ซ้ำยังสั่งการได้เฉพาะผู้เป็นนายโดยตรง หากเจ้าคิดจะเข้าตำหนักท่านอ๋องใหญ่ยามนี้อาจจะตายเพราะฝีมือองครักษ์เงาเหล่านี้ก่อน”             เหลียงเจินซินได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นเต้นเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อญาติผู้พี่อย่างลืมตัว “พวกเขาน่าทึ่งขนาดนั้นเทียว ข้าอยากจะเห็นยิ่งนัก นอกจากอ๋องอสูรจะน่ากลัวและยิ่งใหญ่แล้ว องครักษ์เงาก็ยังน่าสนใจอีก เห็นทีข้าต้องเร่งเก็บเงินไปเมืองหลวงสักครั้ง”             ไป๋ฉิงเหวินยกมือขึ้นตบบนหลังมือน้องสาวที่อยู่บนแขนเสื้อตนเองสองสามครั้งให้ปล่อยเสื้อของตน “เสื้อข้าจะขาดแล้ว เจ้าอย่าฟุ้งซ่าน ไปหาอ๋องอสูรอันตรายเกินไป ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าไปเด็ดขาดแต่เรื่องไปเที่ยวเมืองหลวงข้าเห็นด้วย”             “เจ้ารู้เรื่องอื่นเกี่ยวกับท่านอ๋องอีกหรือไม่?”             “ไม่แล้ว! ข้าเป็นมือปราบชั้นผู้น้อย นี่ก็แค่แอบฟังท่านพ่อคุยกับผู้พิพากษาศาลเป่าจู หากเจ้าอยากรู้ก็รอให้พี่เจาหลินกลับมาจากเมืองเทียนถางเสียก่อนค่อยซักไซ้เขาก็แล้วกัน” เหลียงเจาหลินพี่ชายของเหลียงเจินซินเป็นขุนนางสังกัดกรม       ตุลาการ เขาเก่งด้านกฎหมายได้รับความไว้วางใจจากตุลาการศาลเมืองเป่าจูให้คอยดูแลคดีความต่างๆ ช่วงนี้เดินทางไปสืบคดีที่เมืองเทียนถางที่เป็นเมืองติดกับเมืองเป่าจู             “จริงสิ! พี่เจาหลินน่าจะรู้เรื่องท่านอ๋องเยอะแน่ๆ”             “เจ้าเลิกพูดเรื่องท่านอ๋องใหญ่สักครู่ได้หรือไม่? ใกล้จะถึงจุดหมายที่เราต้องสืบคดีแล้ว” มือปราบหนุ่มมองเห็นคฤหาสน์ใหญ่ข้างหน้าจึงรีบยกมือห้ามนางให้หยุดพูดเรื่องอื่น แล้วก็เริ่มอธิบายสิ่งที่ตนเองต้องการให้นางเข้าไปขโมย             “เจ้าแน่ใจนะว่ามิใช่จวนของขุนนางคนใด?”             “เท่าที่สืบหา คฤหาสน์หลังนี้คหบดีตระกูลเจียงขายทิ้งให้คนที่มาจากเมืองหลวง พวกเขาทิ้งไว้ให้บ่าวไพร่ดูแล แต่ประตูปิดตลอดไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าออก บังเอิญว่าผู้ต้องสงสัยในคดีลักทรัพย์ที่ข้าติดตามอยู่ออกมาจากที่นี่ ข้าสงสัยว่าเขาขโมยทรัพย์สินเจ้าของคฤหาสน์ออกไปขายจึงอยากให้เจ้าเข้าไปดูสักหน่อย”             “อ้อ! เจ้าช่างเป็นมือปราบที่ดีเสียจริง เจ้าของคฤหาสน์รู้คงจะตบรางวัลเจ้าอย่างงามที่สนใจในทรัพย์สินของเขาขนาดนี้”             “ที่นี่มีจอมยุทธ์รับจ้างอยู่หรือไม่?”             “ไม่มี แต่ดูเหมือนคนที่เฝ้าอยู่หลายคนมีวรยุทธ์เจ้าระวังตัวด้วย”             “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าเป็นนักสืบอันดับสองของเมืองเป่าจู ย่อมไม่มีผู้ใดจับข้าได้เป็นแน่” นางเชิดหน้าเล็กน้อยก่อนมองหาต้นไม้ใกล้กำแพง สวมถุงมือเพื่อให้เกาะแน่นแล้วก็ปีนต้นไม้ว่องไว ไม่นานนักร่างนั้นก็กระโจนถึงกำแพงหายลับไปในเขตคฤหาสน์             นางสังเกตหน่วยก้านของบุรุษที่กำลังทำกวาดใบไม้ที่ลานสวนสองคนก็เห็นว่าเขาทั้งสองน่าจะมีวรยุทธ์ดังนั้นจึงหลบเลี่ยงไปอีกทาง นางมองหาบุรุษในภาพวาดที่เสี่ยวเหวินเอาให้นางดู เห็นชายผู้หนึ่งลักษณะคลับคล้ายคลับคลาเดินไปทางเรือนหลังด้านหลังโถงใหญ่ในมือถือถาดใส่ถ้วยน้ำชา นางจึงลอบติดตามไป ฝีเท้าของเหลียงเจินซินนั้นเบาดุจเท้าแมว ชายคนนั้นเคาะประตูเรือนขออนุญาตแล้วก็เดินเข้าไป นางขยับเท้าจะแอบตามเข้าไป ทว่าได้ยินเสียงบุรุษทุ้มกังวานฟังแล้วชวนเกรงขาม             “วางไว้ตรงนั้น แล้วอย่าให้ผู้ใดมากวนใจข้า!”             ท่าทางลนลานในยามบ่าวรับใช้ผู้นั้นเดินออกมาทำให้เหลียงเจินซินนึกอยากจะเห็นบุรุษที่อยู่ในห้องนั้น ทว่าไม่อาจจะแอบเปิดประตูเข้าไปได้ นางจึงค้อมหัวต่ำเดินไปรอบเรือนเพื่อสำรวจว่ามีหน้าต่างบานใดเปิดไว้หรือไม่?             หน้าต่างด้านหลังเรือนถูกแง้มไว้ครึ่งหนึ่งนางจึงค่อยๆ เปิดแล้วปีนเข้าไป ‘หนังสือเต็มไปหมด น่าจะเป็นห้องสมุดประจำคฤหาสน์เสียกระมัง?’ นางลอบเดินดูแต่ละชั้นเต็มไปด้วยหนังสือน้อยใหญ่ ผนังระหว่างส่วนเก็บหนังสือกับห้องกลางเป็นครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ เหลียงเจินซินได้ยินเสียงผ้าลูบบนโลหะไปมา นางถูกฝึกให้ฟังเสียงที่เบามากมาหลายปีจึงได้ยินเสียงนั้นได้ถนัดถนี่             นางหมอบลงจนติดพื้นแล้วค่อยๆ คลานด้วยศอกขยับมาใกล้ เห็นเพียงร่างสูงใหญ่ที่เอียงข้างในท่าเช็ดกระบี่ ใบหน้าของเขาก้มต่ำ ทำให้นางมองเห็นได้ไม่ถนัด ‘แย่จริง! มุมนี้ถูกตู้หนังสือบังเสียด้วยมองไม่ถนัดเลย’                       ---------------------------
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม