บทที่ 1 ตีนแมวแห่งเป่าจู

1822 คำ
            ร่างเล็กบางที่กระโจนขึ้นบนกำแพงแล้วป่ายปีนอย่างรวดเร็วทำเอาเจ้าเมืองเป่าจูเหลียงฮุ่ยฟู่หัวเสียยิ่งนัก นี่เป็นครั้งที่สามในรอบเจ็ดวันที่เขาวิ่งตามจับนางไม่ทัน             “ซินเอ๋อร์ หากเจ้ากลับมาเมื่อใด พ่อจะขังเจ้าไว้สามวันสามคืนเทียว” เสียงชายวัยกลางคนตะโกนไล่หลังมา มิได้ทำให้สาวน้อยรู้สึกหวาดกลัวเลย นางหันหลังกลับมาตะโกนตอบ             “ท่านพ่อ เอาไว้ข้าสืบได้ความจริงเมื่อใด? ข้าจะกลับมาหาท่านก็แล้วกันนะ” จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงถ้วยน้ำชาใบใหญ่กระทบกำแพงดังเพล้ง!             เหลียงเจินซินวิ่งบนกำแพงได้อย่างคล่องแคล่วคล้ายวิ่งบนพื้นราบ หากจะนับท่านน้าไป๋มู่หลิวเป็นมือปราบอันดับหนึ่งแห่งตะวันออก ท่านลุงไป๋เฉิงหลิวผู้ถ่ายทอดวิชาแมวเก้าชีวิตนี้ให้นางก็นับเป็นนักสืบอันดับหนึ่งได้เช่นกัน ในตระกูลไป๋ของท่านแม่มีเพียงท่านลุงเท่านั้นที่ถ่ายความพิเศษมาจากท่านตา นั่นคือเลือดของเขาสามารถต้านพิษได้ทุกชนิด รวมทั้งหยดออกมาละลายน้ำกินล้างพิษได้ และนางก็พบในภายหลังว่าตนเองก็คือทายาทรุ่นหลานที่ได้รับความพิเศษนี้มา             “ซินเอ๋อร์ เจ้ามาเสียที ข้ารอจนตะคริวจะกินแล้วนี่?” ไป๋ฉิงเหวินญาติผู้พี่บุตรของท่านน้ามือปราบยืนหน้าหงิกรอนางอยู่ข้างกำแพงนัดหมาย             “กว่าข้าจะหลบท่านพ่อออกมาได้ นี่ก็โดนคาดโทษไว้แล้วว่าจะขังข้าสามวัน หากข้าไม่มีผลงานกลับไปอวดอ้างล่ะก็ คราวนี้เห็นทีโดนขังลืมเป็นแน่” นางตอบพร้อมกระโดดตุ๊บ! ลงมาจากกำแพง             “เจ้ามันสมกับเป็นทายาทแมวเก้าชีวิตของท่านลุงจริงเชียว”             “อย่ามัวชื่นชมข้าอยู่เลย ไหนบอกมาสิว่าร่องรอยคดีนี้มีอะไรบ้าง?”             ไป๋ฉิงเหวินเป็นมือปราบหน้าใหม่ของเมืองเป่าจู เขาอายุมากกว่าซินเอ๋อร์เพียงหนึ่งปี ทั้งสองเป็นคู่หูกันมาตั้งแต่เด็ก แต่เพราะความหัวไวของเหลียงเจินซินทำให้นางเป็นที่ถูกใจของท่านลุงใหญ่ ตอนนางอายุแปดขวบจึงได้รับการถ่ายทอดวิชาแมวเก้าชีวิต เมื่อฝึกฝนจนครบห้าปีนางก็กลายเป็นตีนแมวอันดับหนึ่ง ครั้นมาช่วยญาติผู้พี่สืบคดีนานวันเข้านางก็อวดอ้างตนเองเป็นนักสืบแห่งเป่าจูตามรอยของท่านลุง             “ข้าอยากได้หลักฐานเพิ่มเติมอีกสักหน่อย ผู้ต้องสงสัยว่าฆ่าแม่ค้าผ้ารายนี้อ้างว่ามิได้เกี่ยวข้องกับผู้ตาย แต่ทั้งถนนก็มีแต่เขาคนเดียวเดินผ่านในยามนั้น แม้จะยังหาอาวุธไม่เจอ เรื่องความสัมพันธ์ ข้าว่าเราคงจะหาได้แน่ ถ้าเข้าไปค้นที่บ้านคนผู้นี้ได้” มือปราบหนุ่มยื่นกระดาษที่เขียนที่อยู่และชื่อของผู้ต้องสงสัยให้กับญาติผู้น้อง             “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักสืบเจินซินเถิด เจ้าไปนั่งดื่มน้ำชารอที่โรงเตี๊ยมไข่มุกได้เลย” นางใช้ฝ่ามือตบอกเบาๆ “ข้าเอากระเป๋าเครื่องมือมาด้วย เจ้าไม่ต้องห่วง งัดแงะแกะค้นที่ใดก็ได้ทั้งนั้น”             เสี่ยวเหวินมองดูกระเป๋าผ้าที่นางสะพายทแยงแนวบ่าแล้วพยักหน้า “ดี! เช่นนั้นข้าจะไปรอเจ้าที่เดิม เมื่อทำสำเร็จแล้วเดี๋ยวข้าจะแบ่งเงินรางวัลให้”             “ได้! แล้วเจอกัน” นางวิ่งด้วยความเร็วไปยังบ้านของผู้สงสัยที่อยู่ถัดไปอีกสามซอย มือปราบไป๋ฉิงเหวินมองตามด้วยความสบายใจ             กระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยามก็เห็นเหลียงเจินซินเดินผิวปากหวือเข้ามาที่โต๊ะ             “ข้าขอซาลาเปาไส้หมูผสมไข่สองลูก เกี๊ยวน้ำไส้หมูอีกหนึ่งชาม”             ไป๋ฉิงเหวินเห็นท่าทางของตีนแมวสาวก็รู้ว่านางทำสำเร็จ เขายิ้มแย้มพลางตะโกนสั่งบุตรชายของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเสียงดังลั่น “อาจือ เอาเหมือนเดิมเพิ่มเติมเกี๊ยวน้ำไส้หมู”             “ได้เลย!” สองพี่น้องคุ้นเคยกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมและบุตรของเขาเป็นอย่างดี     ถงหลิงจือรุ่นเดียวกันกับไป๋ฉิงเหวินเรียนหนังสือด้วยกันมาตั้งแต่เล็กๆ อาจือร้องสั่งเสี่ยวเอ้อเอามาบริการสหายโดยเร่งด่วน             “ว่าไงแม่ตีนแมว คราวนี้เสี่ยวเหวินใช้เจ้าไปทำอันใดอีก?” ถงหลิงจือเดินมาสัพยอกน้องสหาย             “เรียกให้ดีๆ อาจือ ข้าเป็นนักสืบซินต่างหากเล่า? บอกกี่ทีไม่รู้จักจำ ประเดี๋ยวข้าย่องมาขโมยของร้านเจ้าเสียเลยนี่” ดวงตากลมโตสุกใสมีท่าทีดุร้ายขึ้นมาทันควัน             “เอาล่ะๆ ท่านนักสืบซินอย่าไม่ล้อเจ้าแล้ว อย่ามาทำอันตรายข้าเลย”           ถงหลิงจือคุ้นเคยกับเหลียงเจินซินเป็นอย่างดี นางมักจะติดสอยห้อยตามญาติผู้พี่คนนี้เหมือนเงาตามตัว นางควักเอาของที่ได้มายื่นให้มือปราบหนุ่ม             “นี่หลักฐาน ชัดเจนจนไม่รู้ว่าจะรอดตัวได้อย่างไร?”             ไป๋ฉิงเหวินเปิดดูของในห่อผ้าสีขาว มีปิ่นปักผมกับจดหมายอยู่สี่ฉบับ เมื่ออ่านดูแล้วล้วนเป็นของสตรีที่เสียชีวิตผู้นั้น “อา...ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” เขารีบเก็บหลักฐานเข้าไว้ในสาบเสื้อ “เจ้ารีบกินแล้วไปศาลกับข้า”             นักสืบซินไม่รอให้พี่ชายพูดซ้ำ นางรีบกินเกี๊ยวน้ำจนหมดชามก่อนจะควักเอาผ้าขาวออกจากกระเป๋าที่สะพายข้างหลังห่อซาลาเปาสองลูกลงไป “เอาไว้ถึงศาลก่อนข้าค่อยเอาออกมากินอีก”             ทั้งสองเดินตามกันไปยังศาลเมืองเป่าจู หัวหน้ามือปราบไป๋มู่หลิว บิดาของไป๋ฉิงเหวินกำลังอ่านผลการชันสูตรศพสตรีที่เพิ่งตายเมื่อคืนวานอย่างคร่ำเคร่ง อาวุธที่ใช้สังหารยังค้นหาไม่พบ แม้จะมีผู้ต้องสงสัยรายเดียวที่เดินผ่านซอยนั้นในยามค่ำคืนแต่เมื่อไม่มีรอยเลือดบนตัวเขาก็ยากจะปรักปรำ จำใจต้องปล่อยคนผู้นั้นกลับเคหะสถานไป ‘นางก็โดนแทงตั้งหลายแผล เลือดจะไม่กระเด็นโดนคนผู้นั้นหรือไร?’             “ท่านพ่อ ข้าได้หลักฐานสำคัญมาแล้ว” เสียงของไป๋ฉิงเหวินดังพอจะทำให้หัวหน้ามือปราบหลุดจากภวังค์ เมื่อหันไปเห็นหลานสาวตัวป่วนมากับลูกชายก็นึกรู้ในทันที             “นี่พวกเจ้าได้สิ่งใดมายืนยันบ้าง? ข้าปวดหัวจะแย่แล้ว อาวุธสังหารก็ไม่เจอ ร่องรอยคราบเลือดบนตัวผู้ต้องสงสัยก็ไม่มี”             มือปราบหนุ่มยื่นสิ่งที่ได้มาให้ท่านพ่อของตนดู หัวหน้ามือปราบเปิดอ่านจดหมายทั้งสี่ฉบับแล้วก็ยิ้มออกมา “ดี! เรียกมือปราบกัวเข้ามานี่” บุตรชายรีบออกไปตามรองหัวหน้ามือปราบเข้ามาโดยไว ไป๋มู่หลิวรีบให้นำกำลังคนไปจับกุมผู้ต้องสงสัยมาขังคุกเสีย บัดนี้มีหลักฐานยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างเขาและผู้ตายแล้ว             หลังการสอบเค้นอยู่หนึ่งคืน ผู้ต้องหาจึงให้การรับสารภาพ เหลียงเจินซินไม่  กล้ากลับจวนเจ้าเมืองนางจึงหลบไปอยู่บ้านของญาติผู้พี่ กระทั่งเช้าเมื่อท่านน้าคุมตัวผู้ต้องหาไปค้นมีดเล่มนั้นพร้อมกับผ้าที่เขาใช้คลุมร่างตนเองก่อนจ้วงแทงผู้ตายพบแล้ว นางจึงให้มือปราบฉินที่เป็นผู้ช่วยคนสำคัญของท่านน้าพานางไปส่งที่บ้าน             “มือปราบฉิน ท่านอย่าลืมว่าข้าลำบากเพียงใดในการหนีท่านพ่อมาช่วยพวกท่านสืบคดีในครั้งนี้ หากท่านสรรเสริญเยินยอข้าน้อยไปเพียงหนึ่งประโยค ข้าย่อมมีโอกาสถูกท่านพ่อขังลืมถึงสามวัน ท่านเข้าใจหรือไม่?”             ฉินหลิ่งซานอมยิ้มพร้อมส่ายศีรษะดูสาวน้อยที่ตนเห็นมาตั้งแต่เด็กด้วยความเอ็นดู “สบายใจได้คุณหนู ข้าจะสรรเสริญท่านมิให้ขาดตกบกพร่อง จนกว่าท่านเจ้าเมืองจะบอกให้ข้าหยุดพูดเลยเทียว”             “สมแล้วที่ท่านน้าไว้วางใจให้ท่านเป็นผู้มาส่งข้าทุกครั้ง คราวก่อนท่านกล่าวได้เลิศเลอจนท่านพ่อทนไม่ไหวต้องตบรางวัลข้า เอาแบบนั้นก็แล้วกัน”             มือปราบฉินได้รับการขนานนามว่าจอมเยินยอแห่งเป่าจู เขามีฝีปากในการชื่นชมผู้คนอย่างดีเลิศ หลายคราที่เจ้าเมืองเป่าจูได้ฟังถึงกับเคลิบเคลิ้มจากที่คิดจะลงโทษบุตรสาวให้สาสมกลับต้องรีบหยิบยื่นข้าวของเงินทองให้เป็นของรางวัล ซ้ำยังให้รางวัลฉินหลิ่งซานในฐานะบุคคลเยินยอจนเต็มอิ่มเสียอีกด้วย เหลียงฮุ่ยฟู่เคยกล่าวถึงคนผู้นี้ไว้ว่า “หากเขาได้เป็นขันทีคงรุ่งเรืองถึงขั้นเป็นกงกงแน่เทียว ฝีปากที่เอ่ยชมจนแทบจะล่องลอยถึงสวรรค์เพียงนี้ ซ้ำยังเยินยอได้โดยไม่มีความละอายแม้แต่นิด สีหน้าไม่เคยเปลี่ยนสีดูมีความจริงใจขั้นสุดยอดทีเดียว”             เมื่อได้ยินคุณหนูเหลียงถ่ายทอดคำชมที่บิดาของนางมีให้เขาเช่นนั้น สีหน้าของฉินหลิ่งซานคราแรกก็ชาพอสมควร แต่เมื่อมาส่งนางบ่อยครั้งเข้า เขาก็คิดได้ว่าตนเองก็ทำเช่นที่ท่านเจ้าเมืองว่าไว้จริง จึงไม่คิดกระดากที่จะสรรเสริญเยินยอสองพ่อลูกนี้ต่อไป ชนิดไม่ได้รางวัลไม่เลิกชื่นชม!             ------------------    ไรท์แนะนำ.....นิยายซีรี่ย์นี้มีทั้งหมด 6 ภาคด้วยกัน (เขียนถึงต้นสิงหาคม 2564) ซึ่งแต่ละเรื่องสามารถอ่านแยกกันได้ เพียงแต่ตัวละครจะรู้จักหรือเป็นญาติกันคะ่ เรื่องที่ 1 "ท่านอ๋องอย่าคิดหนี" เรื่องที่ 2 "ท่านอ๋องเป็นของข้า" พระเอกคือ หมิงเฉินกง เป็นน้องชายของพระเอกภาค 1 เรื่่องที่ 3 "ท่านอ๋องกับชายาหมี" พระเอกคือ ท่านอ๋องเก้า เป็นน้องชายของพระเอกภาค 1 เรื่องที่ 4 "ท่านหญิงจีจอมพลัง" พระเอก คือ ฟ่านหลี่เจี๋ย เป็นพี่ชายของนางเอกภาค 1 เรื่องที่ 5 "ซือซือ ฮองเฮาพันโฉม" พระเอกคือ ฮ่องเต้หมิง พี่ชายของพระเอกภาค 1 เรื่องที่ 6 "สายลับจับอ๋องใหญ่" พระเอกคือ องค์ชายจินเสวี่ยหลงพี่ชายของนางเอกภาค 2 ทุกเล่มมี EBOOK จำหน่ายค่ะทางเว็บไซต์ขายอีบุ๊กหลายเว็บนะคะ.....ติดตามข้อมูลนิยายของไรท์ได้ทางเฟสบุ๊กจ้า https://web.facebook.com/Chaomuangtawanok        
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม