ช่วงขาที่ดูยาวกว่าคนทั่วไปของเขายื่นออกมาเลยโต๊ะมาก เหลียงเจินซินเห็นแล้วได้แต่นึกทึ่งในใจ ‘บุรุษผู้นี้ท่าทางคงสูงมากทีเดียว มือก็ใหญ่กว่ามือคนทั่วไปที่ข้าเคยเห็นด้วย’ เขาลูบมือใหญ่เลื่อนขึ้นลงที่ปลายกระบี่ มุมที่เขานั่งแสงน้อยกว่าที่ส่วนอื่นของห้อง นักสืบซินพยายามจะมองหน้าบุรุษผู้นั้นให้ชัด นางจึงคลานไปข้างหน้าอีกหน่อยเพื่อให้ส่วนศีรษะของตนเลยตู้ไปอีกนิด
พลันเขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เหลียงเจินซินถึงกับอ้าปากค้าง ร่างของเขา สูงใหญ่กว่าที่นางคาดไว้ กระบี่ที่เขาเช็ดอยู่นั่นก็ยาวกว่ากระบี่ของคนทั่วไป ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือเขาสวมหน้ากากใบหน้าอสูรเอาไว้ ทั้งยังกวัดแกว่งกระบี่ในท่าสังหารอย่างฮึกเหิม ‘ถ้าเขาจับได้ข้าแย่แน่ ต้องรีบออกไปแล้ว’
นางคลานถอยหลังโดยมิได้นึกว่าตนเองเริ่มลนลานเพราะรู้สึกกลัวบุรุษผู้นั้นจับใจ เท้าของนางไปชนเก้าอี้หัวโล้นตัวหนึ่งที่วางหนังสือไว้หลายเล่ม เพราะนางเป็นผู้มีสัมผัสที่ว่องไวจึงได้หันไปจับขาเก้าอี้ไว้ได้ทัน อีกมือก็ตะปบหนังสือเล่มบนสุดเอาไว้ ‘เฮ้อ! เกือบไม่ทัน’ นางรีบเผ่นแผล็วออกจากเรือนนั้นด้วยความเร็วสูง
เมื่อมือปราบไป๋น้อยเห็นญาติผู้น้องกระโดดลงมายืนต่อหน้าก็รีบดึงมือนางให้หลบออกไป เมื่อพ้นจากถนนสายนั้นแล้วจึงได้เอ่ยขึ้น “ข้าพลาดไปแล้ว! เมื่อกี้เห็นชายชุดดำสองคนผลุบหายเข้าไปในคฤหาสน์ เคลื่อนที่ว่องไวนัก พวกเขากระโจนไปมาคล้ายสำรวจรอบๆ ดีนะที่เจ้าออกมาก่อน”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเขามิใช่คนร้ายหรือนักฆ่า”
“ข้าว่าพวกเขาเหมือนคนของเจ้าของคฤหาสน์มากกว่า มิได้มีท่าทีลนลานหวาดกลัวสักนิด ข้าประเมินดูแล้ววิทยายุทธ์ของพวกเขาดูทีไม่ธรรมดาเลย”
“เออ...เสี่ยวเหวิน ข้าเจอคนในคฤหาสน์ผู้หนึ่งดูดุร้ายน่ากลัวมากทีเดียว”
“แล้วคนที่ข้าให้เจ้าไปตามสืบเล่า? ได้ความว่าอย่างไร?”
“เขาเป็นบ่าวที่นี่นั่นล่ะ แต่ข้าไปเจอคนสวมหน้ากากอสูรก่อน”
“หน้ากากอสูร!”
“ใช่! เขาตัวสูงใหญ่กว่าทุกคนในชีวิตที่ข้าเคยเจอ กระบี่ก็ใหญ่และยาวมาก ท่าทางที่เขาใช้กระบี่ยิ่งดุร้าย”
“นี่เจ้าไปเจอเขาที่ใดกัน?”
“ในเรือนด้านหลังห้องโถง”
ได้ยินเช่นนั้นไป๋ฉิงเหวินก็โมโหจนควันออกหู “นี่ นี่เจ้าไม่ฟังคำข้าเลยหรือ? ข้าให้เจ้าตามไปดูพฤติกรรมของเจ้าบ่าวรับใช้คนนั้น มิใช่ให้ไปตามดูคนในเรือนนั้นเสียหน่อย หากเจ้าอสูรนั่นเกิดฆ่าหรือทำร้ายเจ้าขึ้นมาข้าจะไปรับหน้ากับท่านพ่อท่านแม่เจ้าอย่างไรได้?”
“โอ๊ะๆ เสี่ยวเหวิน ข้าขอโทษ ข้าได้ยินเสียงเขาตอนอยู่หน้าเรือนมันช่างดูมีพลังและน่าเกรงขามนัก ข้าจึงนึกอยากจะเห็นหน้าคนผู้นี้สักหน่อย”
“ซินเอ๋อร์ ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลย หากมีคราวหน้าอีกล่ะก็ ข้าจะไม่พาเจ้าออกมาสืบคดีด้วยแล้ว!”
“เอาล่ะๆ ข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก” นักสืบซินรีบยกมือไหว้ญาติผู้พี่ประหลกๆ ฝ่ายนั้นจึงค่อยคลายใบหน้าที่บึ้งตึง แต่ยังไม่วายยกนิ้วขึ้นชี้หน้านาง
“เจ้าสัญญาแล้วนะ อย่าให้มีคราวหน้า”
“ข้าสัญญาๆ”
จินเสวี่ยหลงลดกระบี่ที่เพิ่งเช็ดเสร็จลงเก็บใส่ฝัก ถอดหน้ากากที่องครักษ์ซ่งนำมาให้วางไว้บนโต๊ะ ใบหน้าคมเข้มดูเคร่งเครียดเล็กน้อย เดิมทีเขามิได้คิดจะมาเมืองเป่าจูโดยพลการเช่นนี้ ยังมิได้แจ้งให้ท่านพ่อท่านแม่ทราบก็ต้องเร่งออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ดีที่คนในเมืองนี้ยังมิเคยมีผู้ใดได้เห็นใบหน้าเขาอย่างแท้จริง ครั้งก่อนที่จะเดินเรือไปแคว้นผิงกับแคว้นเหลียงระหว่างทางไปขึ้นเรือเขาก็สวมหน้ากากไว้ตลอด ยิ่งตอนที่พวกขุนนางท้องถิ่นมาเข้าเฝ้าทุกคนได้เห็นเพียงหน้ากากอันนี้แทนใบหน้าเขา นี่คือที่มาของฉายา “อ๋องอสูร”
“ท่านอ๋อง พระกระยาหารค่ำเตรียมเรียบร้อยแล้วพะยะค่ะ”
“เดี๋ยวข้าไป” อ๋องใหญ่เดินเข้าไปสำรวจหน้าต่างด้านหลังห้องหนังสือเพราะบ่าวมักจะลืมปิดอยู่บ่อยๆ ทำให้ฝนสาดเข้ามาจนต้องขยับตู้หนังสือออกให้ไกลจากหน้าต่างบานนี้ เก้าอี้ที่เขาวางไว้เมื่อตอนบ่ายขยับไปจากเดิมพอสมควร หนังสือที่กองอยู่บนโต๊ะก็เลื่อนไปขอบจนหมิ่นเหม่ ‘มีคนแอบลอบเข้ามางั้นหรือ? ฝีมือคงไม่เบาสินะ ขนาดข้ายังไม่รู้ตัว’ เขาส่งองครักษ์เงาทั้งสองออกไปลอบสังเกตการณ์ที่ศาลาว่าการทำให้ขาดคนคอยเฝ้าระวังพวกตีนแมว
ชายหนุ่มมองเห็นเชือกถักลวดลายแปลกตาตกอยู่ที่พื้น เขาจึงก้มลงหยิบขึ้นมาดู ขนาดเส้นหนาพอสมควร เขาลองเอามาทาบกับข้อมือของตน ปมที่ขาดนั้นทำให้รู้ว่าข้อมือของคนใส่มีขนาดเล็ก
“จิงเทียน เจ๋อเล่ย มีคนลอบบุกรุกห้องอักษรของข้า”
“แต่บ่ายนี้หม่อมฉันเดินรอบเรือนไปแล้วรอบหนึ่ง มิพบสิ่งผิดปกติ พะยะค่ะ”
“เช่นนั้นคนผู้นี้คงมีฝีมือมิใช่น้อย มือเท้าเบาและเงียบกริบ ขนาดเขาเข้ามาใกล้ข้าแล้วข้ายังมิรู้ตัว ครั้งหน้าคงปล่อยให้องครักษ์เงาห่างกายข้ามิได้เสียแล้ว” สีหน้าของท่านอ๋องอึมครึมลง หลังจากคดีกบฏพระปิตุลาแล้ว เขามิเคยคิดว่าตนเองจะมีคนคิดลอบฆ่าอีก ‘ข้าคงต้องหาเจ้าของเชือกถักเส้นนี้ให้เจอ มันผู้นี้คงจะคอยติดตามข้าอยู่เป็นแน่ หากเป็นคนของสำนักมืออสูรก็คงจะลงมือไปแล้ว แต่มาเพียงดูลาดเลาแค่นี้ จะเป็นฝีมือคนสำนักใดกัน?’
“ฮัด ฮัดเช้ย!” เหลียงเจินซินจามออกมาเต็มแรงจนแสบจมูกและคอ “ผู้ใดแอบนินทาข้ากันนะ?”
“คุณชายน้อย ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแต่รู้จักท่านกันทั้งนั้น แล้วจะเดาว่าเป็นใครดี?” กัวเหมยฮวาสาวใช้ส่วนตัวยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้คุณหนู นางมักจะเรียกคุณหนูของนางว่าคุณชายน้อยเช่นเดียวกับชาวเมืองเป่าจู คราแรกที่เรียกขานคุณหนูเช่นนั้นนางเคยโดนนายท่านลงโทษสั่งโบยไปสามครั้ง ครั้นนายท่านพบว่าคนทั้งเมืองก็เรียกคุณหนูเช่นเดียวกับนาง ครั้งต่อมาที่นางเรียกอีกจึงมิได้ถูกลงโทษ
“วันนี้ท่านไปที่ใดมาหรือเจ้าคะ? เสื้อผ้าจึงเปื้อนฝุ่นเยอะแยะเช่นนี้” สาวใช้เก็บเสื้อผ้าที่นางถอดไว้บนพื้นขึ้นมาสำรวจ ชุดของนายน้อยของนางล้วนเป็นชุดคล้ายบุรุษทั้งสิ้นยกเว้นเพียงเอี๊ยมและกางเกงขาสั้นตัวในที่ดูเป็นอิสสตรี ช่วงเข่ากลับเปื้อนฝุ่นเป็นคราบคล้ายนายน้อยไปคลานเล่นในห้องที่ทำความสะอาดไม่ดีนัก
เหลียงเจินซินที่นั่งแช่อยู่ในอ่างอาบอุ่นหัวเราะคิกคัก “ข้าไปคฤหาสน์อสูรมาน่ะสิ มันตัวใหญ่ใบหน้าดุร้าย ซ้ำยังมีไอสังหารอยู่รอบตัว”
“คุณชายน้อยพูดจริงหรือเจ้าคะ?”
“เจ้าเคยเห็นข้าโกหกด้วยหรือ?” นางทำทีเคร่งขรึมเพื่อข่มขวัญสาวใช้
“บ่อยไปเจ้าคะ โดยเฉพาะกับท่านเจ้าเมือง” เหมยฮวากลับรู้ทัน
“ปัดโธ่! เหมยฮวา เรื่องนี้ข้าพูดจริง ข้าเห็นแค่นั้นก็กลัวจนลนลานต้องรีบถอยหนีออกมาแทบไม่ทัน”
***********************