เหลียงเจินซินเดินสอบถามผู้คนไปตามถนนว่าพบเห็นบิดาของนางบ้างหรือไม่? จนได้เบาะแสว่าท่านเจ้าเมืองเป่าจูนั่งรถม้าออกไปชานเมือง “เสี่ยวเหวินเจ้าว่าท่านพ่อข้าจะไปพบผู้ใด? ดูช่างลึกลับเสียเหลือเกิน เคยมีคนติดตามห้าหกคนก็เอาไปเพียงสองคน เจ้าว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในหรือไม่?”
ไป๋ฉิงเหวินฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว “น่าจะมีแน่ หากท่านลุงออกไปทำงานจริง เหตุใดจึงไม่บอกกล่าวท่านป้าให้ชัดเจน ซ้ำยังไม่ฝากคำพูดไว้กับคนเฝ้าประตูด้วย”
“ดูจากทิศทางแล้วเหมือนจะไปที่คฤหาสน์อสูรตนนั้น” นักสืบซินชี้ไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ที่นางลอบเข้าไปเมื่อวันก่อน
“หือ...เห็นคฤหาสน์นี้ทีไร ข้ารู้สึกใจไม่ดีเลย” ไป๋ฉิงเหวินมองดูคฤหาสน์สีเทาทึมหลังใหญ่ข้างหน้า “จะว่าไปคฤหาสน์นี้ใหญ่กว่าจวนเจ้ามาก น่าจะเป็นคหบดีหรือคนสำคัญที่มาจากต่างถิ่นที่แฝงกายมาอยู่ที่นี่เสียกระมัง?”
“ขนาดเจ้าเป็นมือปราบยังไม่รู้ว่าเจ้าของคฤหาสน์เป็นผู้ใด? แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า?” เหลียงเจินซินอารมณ์เสีย นางคิดจะลอบเข้าไปข้างในอีกสักครั้ง แต่เพียงหยุดม้าอยู่ระยะไกลจากคฤหาสน์นั้นพอสมควรก็สังเกตเห็นเงาวูบวาบที่อยู่บนหลังคาเรือนใหญ่พวกนั้น “มีจอมยุทธ์อารักขาอยู่ข้างบนหลังคาเสียด้วย”
“เช่นนั้นเจ้าก็อย่าเสี่ยงเลย พวกเรารออยู่ข้างนอกก่อน ในเมื่อรู้ชัดเจนแล้วว่าท่านลุงเข้าไปในนี้ หากเลยครึ่งชั่วยามแล้วยังไม่เห็นออกมาค่อยเข้าไปสอบถาม” ไป๋ฉิงเหวินหันไปเห็นศาลาริมทางอยู่ไม่ไกลจึงชักชวนนายน้อยเหลียงเข้าไปผูกม้านั่งรออยู่ในศาลานั้น ทั้งสองนั่งสนทนากันอยู่ครึ่งชั่วยามก็ไม่เห็นผู้ใดออกมาจากประตูคฤหาสน์ เหลียงเจินซินจึงตัดสินใจเข้าไปเคาะประตู
“เจ้ามีธุระอันใด?” ชายหนุ่มหน้าถมึงทึงแง้มประตูมาเพียงเล็กน้อยเพื่อสอบถาม เหลียงเจินซินเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นถึงกับผงะ
“เอ่อ! ข้าอยากสอบถามว่าท่านเจ้าเมืองเป่าจูได้มาที่นี่หรือไม่? ข้าถูกไป๋ฮูหยินใช้ให้มาตามท่านกลับจวน”
ชายหน้าตาน่ากลัวผู้นั้นพยักหน้า “ถ้าเจ้าเป็นคนของจวนเจ้าเมืองจะเข้ามารอข้างในก็ได้”
นักสืบซินรีบก้าวเท้าตามเข้าไปด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ ยามเฝ้าประตูเห็นนักสืบซินดูเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาเกลี้ยงเกลาจึงอนุญาตให้นั่งรอที่ม้าหินที่สวนด้านหน้า “นายท่านไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าเรือนโดยพลการ เจ้ารออยู่ตรงนี้ล่ะ” เหลียงเจินซินถือโอกาสมองสำรวจไปรอบๆ จวนแห่งนี้นับว่าใหญ่โตรโหฐานยิ่ง จะว่าไปใหญ่กว่าจวนของนางมาก พื้นที่ก็กว้างขวางพอที่ครอบครัวใหญ่จะอยู่กันได้สบาย แต่นางจำได้ว่าคราวก่อนที่ลักลอบเข้ามานั้นไม่เจอผู้ใดที่ดูเป็นเจ้าของสถานที่นอกจากอสูร ตนนั้น เรือนด้านหน้าที่ใช้รับรองแขกใหญ่โตกว้างขวาง การตกแต่งเรียบง่ายแต่ดูหรูหรา ‘เจ้าของที่นี่คงจะร่ำรวยมาก ดูจากการตกแต่งสวนแล้ว คงจะใช้เงินเป็นเบี้ย’
เจ้าเมืองเหลียงนั่งเกร็งตัวอยู่ต่อหน้าผู้ที่สวมหน้ากากอสูร นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้มาเข้าเฝ้าท่านอ๋องใหญ่ซ้ำยังต้องเก็บเป็นความลับสุดยอด คราแรกนั้นเขากับรองเจ้าเมืองและหัวหน้ามือปราบได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าเพียงสามคนและมาอย่างเป็นความลับ ท่านอ๋องผู้นี้ช่างประหลาดนักไม่ยอมถอดหน้ากากออก พวกเขาจึงได้เห็นเพียงลูกตาที่ดูดุดันและฟังพระสุรเสียงก้องกังวานน่าเกรงขามกว่าผู้ใดเท่านั้น
“เปิ่นหวางได้ยินมาว่าเจ้ารู้จักพื้นที่นี้ดียิ่งนัก เปิ่นหวางต้องการที่ดินที่จะนำมาใช้ก่อสร้างค่ายทหารเรือ เจ้ามีที่ใดแนะนำบ้าง?”
“พะยะค่ะ ขอกระหม่อมคิดสักครู่” เหลียงฮุ่ยฟู่ใคร่ครวญแล้วจึงทูลเสนอบริเวณฝั่งทิศเหนือของเมืองซึ่งเป็นเนินสูงลาดไหล่เขา ซึ่งหากไปยืนข้างบนนั้นจะมองลงมาเห็นเมืองเป่าจูอยู่เบื้องล่างได้ทั้งหมด
“ดี! พรุ่งนี้เปิ่นหวางจะออกไปดู ส่วนเจ้าไปเตรียมดูโฉนดที่ดินให้ด้วยว่าหากต้องการบริเวณทั้งหมดบนไหล่เขานั้นมีเจ้าของอยู่หรือไม่? ติดต่อพวกเขาไว้ก่อน ยามเจรจาซื้อขายจะได้ไม่ใช้เวลานานนัก”
“พะยะค่ะ หม่อมฉันจะดำเนินการตามที่ทรงรับสั่ง”
“อีกอย่าง เจ้าคงไม่ลืมว่าเรื่องนี้เป็นความลับ”
เจ้าเมืองเป่าจูค้อมศีรษะ “พะยะค่ะ กระหม่อมจะไม่บอกผู้ใด?”
เมื่อเหลียงฮุ่ยฟู่ออกมาถึงสวนด้านหน้าก็เห็นบุตรสาวนั่งแกร่วรออยู่ จึงเดินไปตบบ่านาง “เรากลับกันเถอะ คุณชายใหญ่ไม่สะดวกรับแขก”
“คนผู้นี้เป็นใครหรือท่านพ่อ?”
เห็นบุตรสาวทำสายตาอยากรู้อยากเห็น เจ้าเมืองเหลียงก็รู้ว่าหากไม่เล่าให้นางฟังให้หมดเปลือกนางจะต้องสอดส่องค้นหาคำตอบจนวุ่นวายแน่ “คุณชายใหญ่เป็นผู้แทนพระองค์มาจากเมืองหลวง ภารกิจของท่านเป็นความลับเจ้าอย่าเพิ่งรู้เลย”
“อ้อ!” นางหันกลับไปดูเรือนหลังใหญ่นั้นอีกครั้ง จึงเห็นร่างสูงใหญ่ยืนมองมาทางนางและท่านพ่อ หน้ากากที่เขาใส่อยู่นั้นเป็นอันเดียวกันกับที่นางเห็นในห้องเก็บหนังสือ ท่านพ่อรีบบีบไหล่นาง
“อย่าหันกลับไปมอง เสียมารยาท พวกเรารีบออกไปจากที่นี่ได้แล้ว” ท่านพ่อผลักให้นางเดินไปข้างหน้า นางรู้สึกว่าสายตาน่ากลัวใต้หน้ากากคู่นั้นกำลังจับจ้องด้านหลังของนางอยู่จวบจนก้าวขาออกจากคฤหาสน์นั้น
“ผู้ใดมาตามเจ้าเมืองหรือ?”
“น่าจะเป็นคุณชายน้อยเหลียง พะยะค่ะ หม่อมฉันเคยได้ยินคนในเมืองเป่าจูพูดถึง หน้าตาเกลี้ยงเกลาแต่งกายดีเช่นนี้คงมิใช่บ่าวในจวนแน่” องครักษ์ซ่งอธิบายยืดยาวเมื่อเห็นท่านอ๋องใหญ่ยังคงติดใจสองพ่อลูกนั้นอยู่จึงกราบทูลเพิ่มเติม “เจ้าเมืองมีบุตรชายคนโตชื่อเหลียงเจาหลิน คุณชายเหลียงเป็นนักกฎหมายที่เก่งกาจ ทำงานอยู่สังกัดกรมตุลาการช่วยงานท่านผู้พิพากษาศาลเมืองเป่าจู ส่วนคุณชายน้อยผู้นี้เป็นนักสืบคอยช่วยงานที่สำนักมือปราบ พะยะค่ะ”
เมื่อท่านอ๋องใหญ่พยักหน้า องครักษ์ซ่งก็รู้ว่าคำอธิบายนั้นเป็นที่พอใจแล้วจึงค้อมศีรษะส่งเสด็จ ท่านอ๋องใหญ่รู้สึกว่ารูปร่างของนายน้อยเหลียงผู้นี้บอบบางอ้อนแอ้นคล้ายอิสตรี ตอนนี้หนุ่มน้อยผู้นั้นหันมาสบตาตนก็คล้ายกับสนอกสนใจใคร่รู้อย่างยิ่ง ‘เป็นนักสืบงั้นหรือ? หากพ่อไว้ใจได้ค่อยดึงเอาลูกชายมาช่วยงานก็แล้วกัน’
ไป๋ฉิงเหวินที่นั่งรออยู่กับม้าสองตัวข้างนอก รอให้รถม้าของเจ้าเมืองเป่าจูวิ่งมาถึง เหลียงเจินซินลงจากรถม้าลงมาขี่ม้าของตนตามท้ายรถม้าไป
“เสี่ยวเหวินข้าได้เห็นเขาชัดๆ แล้ว รูปร่างคนผู้นั้นสูงใหญ่นัก ขนาดออกมาคุยธุระกับท่านพ่อเขาก็ยังใส่หน้ากากอสูรอันนั้นออกมาด้วย”
“พ่อเจ้าบอกว่าเขาเป็นผู้ใด?”
“ผู้แทนพระองค์ของฮ่องเต้”
“หือ! ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้มิน่าเล่าจึงพักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โต”
“จุ๊ๆ เจ้าอย่าเอ็ดไป ท่านพ่อบอกว่าเรื่องนี้เป็นความลับ เราไม่ควรแพร่งพรายออกไปเพราะภารกิจที่คนผู้นี้ต้องมาทำนั้นจำเป็นต้องปิดบังไว้ก่อน”
------------------------------------