“อืม เห็นทีข้าจะต้องสืบสวนเรื่องคดีลักทรัพย์นั้นให้เรียบร้อยโดยไว” ไป๋ฉิงเหวินนึกถึงเจ้าคนรับใช้ที่น่าจะขโมยของในจวนออกไปฝากไว้ที่โรงรับจำนำ
เหลียงเจินซินได้ยินก็กระตือรือร้นในทันที “ข้าจะช่วยเจ้าสืบเต็มที่ เผื่อข้าจะได้มีโอกาสเจอกับอสูรตนนั้นอีกสักครั้ง ข้าอยากรู้นักว่าใต้หน้ากากนั้น หน้าตาของเขาเป็นเช่นใด?”
“เจ้านี่นา ช่างสงสัยไม่เข้าเรื่อง หากเขาหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวจึงไม่อยากให้ผู้ใดเห็นเจ้าจะทำเช่นใด?”
“เสี่ยวเหวิน เจ้าไม่สงสัยบ้างหรือ? คนเช่นใดจึงใส่หน้ากากมาพบผู้คนอยู่ตลอดเวลา ไม่แปลกไม่หน่อยหรือ?”
ไป๋ฉิงเหวินพยักหน้ารับ อันที่จริงเขาก็เหมือนกับซินเอ๋อร์ที่ช่างสงสัยไปทุกสิ่ง เพียงแต่ไป๋ฉิงเหวินไม่มีเลือดบ้ามากพอที่จะค้นหาความจริงอย่างเหลียงเจินซินที่ผ่านมาจึงได้แต่รอให้ซินเอ๋อร์ไปสืบหาความจริงมาบอกเล่าให้เขาได้ฟังหรือไม่ก็โดนนางลากให้ไปช่วยแก้ข้อสงสัย
“ข้าคิดแล้วเชียวว่าเจ้าต้องอยากรู้เหมือนข้า”
“ซินเอ๋อร์ เอ๊ย! นักสืบซิน เจ้าคิดว่าจะได้เห็นใบหน้าเขาได้อย่างไร?”
“ก่อนอื่นก็ต้องหาวิธีเข้าไปใกล้เขาให้ได้เสียก่อน จากนั้นค่อยสอดส่ายจับตามองเขาอยู่สักระยะ ข้าว่าข้าต้องได้คำตอบอย่างแน่นอน”
ไป๋ฉิงเหวินได้ฟังแผนแสนอุตริของญาติผู้น้องก็รู้หวั่นใจ เกรงว่าตนเองจะไม่สามารถห้ามปรามนางไว้ได้ “ก่อนเจ้าจะทำสิ่งใด จำไว้ว่าต้องปรึกษาข้าก่อนทุกครั้ง”
“ได้! แต่เจ้าก็รู้ว่าห้ามข้าไม่ได้ ใช่หรือไม่?” นางลอยหน้าลอยตาอยู่บนหลังม้า
“เอาเถอะๆ ขอแค่ให้ข้ารู้ด้วยก็พอแล้ว”
หลังจากวันนั้นเจ้าเมืองเป่าจูก็วุ่นวายกับการออกไปติดต่อสืบหาเจ้าที่ของที่ดินบริเวณเนินเขาจึงมิได้ใส่ใจกับคนในบ้านมากนัก เขาต้องเร่งรวบรวมที่ดินให้ได้ผืนใหญ่สุดตามที่ท่านอ๋องต้องการ
เหลียงเจินซินที่ติดใจเรื่องผู้แทนพระองค์สวมหน้ากากอสูรคนนั้นจนต้องกลับไปอ่านนิทานเล่มที่นางซื้อมาจากโรงน้ำชาใบไผ่อยู่หลายตลบ นางสรุปกับตนเองว่าบุรุษร่างใหญ่ผู้นั้นมีคุณสมบัติตรงกับที่บรรยายในไว้ในนิทาน ด้วยความตื่นเต้นจึงรีบเรียกไป๋ฉิงเหวินออกมาสนทนา "ข้ากล้าเอาหัวเป็นประกันเลยเชียวล่ะว่า แท้จริงคนผู้นี้ต้องเป็นท่านอ๋องอสูรเป็นแน่”
“ท่านลุงก็บอกแล้วนี่นาว่าเป็นผู้แทนพระองค์ เจ้ายังจะพยายามยัดเยียดให้เขาเป็นท่านอ๋องอยู่ได้”
“แต่เขาเหมือนกับท่านอ๋องใหญ่ในหนังสือไม่มีผิดเพี้ยน ซ้ำยังเอาแต่สวมใส่หน้ากากอสูร หากไม่ใช่ท่านอ๋อง เป็นแค่ผู้แทนพระองค์จะกล้าเลียนแบบท่านอ๋องเชียวหรือ? เจ้าก็น่าจะใช้ความคิดให้รอบคอบซะมั่ง” เหลียงเจินซินตบโต๊ะเสียงดัง คล้ายจะข่มขู่ไป๋ฉิงเหวินอยู่ในที
“ถ้าหากท่านอ๋องต้องการให้เขาทำเหมือนพระองค์ล่ะ เจ้าจะว่าอย่างไร?”
ใบหน้าที่แสดงความไม่เชื่อถือของไป๋ฉิงเหวินทำเอานักสืบซินเลือดเดือดขึ้นมาทันที “ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า เช่นนั้นเรามาพนันกัน เอาเบี้ยหวัดของเจ้าหนึ่งปีเป็นเงินพนัน หากข้าแพ้ข้าก็จะจ่ายเบี้ยหวัดให้เจ้าหนึ่งปี ดีหรือไม่?”
มือปราบหนุ่มอ้าปากเหวอ “โห! เจ้ากล้าเล่นถึงขนาดนี้เทียว ได้! ข้ารับพนัน ข้าเชื่อว่าท่านลุงเป็นผู้รู้ความจริงเรื่องนี้ ในเมื่อท่านลุงบอกว่าเขาเป็นแค่ขุนนางก็ต้องเป็นเช่นนั้น”
“อืม...ในเมื่อเจ้ากล้ารับพนันข้า เราก็มาหาความจริงกัน”
ไป๋ฉิงเหวินยิ้มกริ่ม มองเห็นหนทางจะได้เงินเก็บของญาติผู้น้องมาไว้ในครอบครอง “เจ้าจะพิสูจน์ความจริงได้อย่างไร?”
“ข้าก็ต้องแฝงกายเข้าไปในคฤหาสน์ของเขาให้ได้เสียก่อนน่ะสิ”
“มันคุ้มค่าหรือ?”
“เจ้าอย่าลืมสิว่า หากข้าสืบเรื่องหัวขโมยได้อีก เจ้าก็จะได้ความดีความชอบหรืออาจจะได้เลื่อนขั้นนะ เพราะนั่นมันจวนขุนนางระดับผู้แทนพระองค์จากวังหลวง”
ไป๋ฉิงเหวินยิ้มร่าเมื่อนึกถึงว่าหากนักสืบซินจับหัวขโมยที่ลักของมีค่าจากคฤหาสน์นี้ไปจำนำได้จริงแล้วเขาได้เลื่อนตำแหน่ง เบี้ยหวัดที่ได้รายเดือนก็ย่อมจะเพิ่มขึ้น ทั้งชนะพนันทั้งได้เลื่อนตำแหน่ง โอกาสเช่นนี้หาที่ใดได้ ประกายตาเรืองรองของมือปราบหนุ่มทำให้ญาติผู้น้องจอมเจ้าเล่ห์อดอมยิ้มไม่ได้
“เจ้าเห็นด้วยกับข้าแล้วล่ะสิ!”
“แล้ววิธีเล่า?”
“เจ้าเอียงหูมา” เหลียงเจินซินกระซิบกระซาบอยู่ครู่หนึ่ง ไป๋ฉิงเหวินทำตาโตขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะฟังต่อไปแล้วค่อยสงบใจลง
“เรื่องไปหาคนจัดหาสาวใช้ข้าจะจัดการให้ แต่เรื่องจะออกจากบ้านเจ้าจัดการเองล่ะกัน ข้าไม่อยากรับหน้าแล้ว”
“ได้! เอาตามนี้”
คู่หูทั้งสองต่างแยกย้ายกันไป เหลียงเจินซินกลับไปถึงจวนก็แจ้งท่านแม่ว่านางจะขออนุญาตขึ้นเขาไปอยู่ปรนนิบัติท่านตากับท่านยายสักพัก ไป๋ฮูหยินเห็นว่านางก็เรียนอ่านเขียนไปได้มากแล้ว อีกทั้งบิดาและมารดาของตนที่เร้นกายอยู่บนภูเขาซงซานนั้นอาจจะเงียบเหงาส่งหลานสาวขึ้นไปอยู่ด้วยก็คงจะดจึงอนุญาต เหลียงเจินซิน กระหยิ่มยิ้มย่อง นางคิดไว้อยู่แล้วว่าท่านแม่เป็นบุตรสาวที่กตัญญูอย่างยิ่ง หากขอเช่นนี้ท่านแม่ย่อมจะออกหน้ารับกับท่านพ่อให้เอง
“ท่านแม่ เช่นนั้นข้าจะออกเดินทางเลย ให้เสี่ยวเหวินไปส่ง”
“แม่เพิ่งรู้นะว่าเจ้ารักท่านตาท่านยายถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเจ้าเอาของฝากที่แม่เตรียมไว้ไปด้วย และนี่จดหมายอย่าลืมส่งให้กับท่านตาท่านยายกับมือเทียว”
“เจ้าค่ะ อีกสองเดือนข้าจะกลับมา”
ไป๋ฮูหยินไว้ใจไป๋ฉิงเหวินมากอยู่แล้ว หลานชายมือปราบผู้นี้ดูแลบุตรสาวของนางอย่างดีตั้งแต่เล็กจนโต ในขณะที่เหลียงเจาหลินบุตรชายคนโตของนางนั้นมิค่อยได้สนใจน้องสาวนักเพราะคร่ำเคร่งกับการเล่าเรียน ในการสอบบัณฑิตระดับเมืองเขาได้อันดับหนึ่งนับว่าเป็นบุตรชายที่นางและเจ้าเมืองภาคภูมิใจยิ่ง
สำหรับบุตรสาวสองสามีภรรยากลับไม่ค่อยเคร่งครัดเท่าใด ยิ่งเมื่อนางถูกไป๋เฉิงหลิวนำตัวขึ้นเขาไปด้วยเพราะนำไปฝึกวิชา ทั้งสองก็รู้ได้ว่าบุตรสาวคงจะควบคุมได้ยากนักจึงได้แต่ทำใจว่าพวกตนคงจะไม่มีบุตรสาวแฉล้มแช่มช้อยอย่างบ้านตระกูลอื่น พอนางเอาแต่สวมชุดบุรุษจนกลายเป็นนายน้อยเหลียงทั้งสองจึงไม่หันหน้ามาปรึกษากันเรื่องบุตรีอีกเลย และพร้อมใจไม่ฟังสิ่งที่ชาวเมืองวิพากษ์วิจารณ์กันเรื่องที่บุตรีเติบโตกลายเป็นบุรุษหล่อเหลา นานวันเข้าทุกคนก็เลิกพูดถึงเรื่องของนาง และพร้อมใจกันกล่าวถึงนางอย่างคุณชายผู้หนึ่ง
“เสี่ยวเหวินทางนี้เรียบร้อยแล้ว ท่านแม่ของข้าฝากจดหมายและข้าวของมาให้ท่านตากับท่านยายเยอะแยะ เป็นหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องส่งคนเอาไปให้ถึงเรือนบนเขา ส่วนข้าก็จะเข้าไปหาความจริง”
*********************