“ท่านยายเจ้าคะ ข้านำกระดาษโพนทะนาไปติดไว้ที่ป้ายประกาศของหมู่บ้านแล้วเจ้าค่ะ คิดว่าวันพรุ่งจะต้องมีผู้คนมาที่เรือนของเราเป็นแน่” หลังจากตื่นขึ้นมา ลี่มี่ เหมาไป่ และอาหมิงก็วิ่งวุ่นจัดการเรื่องต่างๆ เพื่อเตรียมตัวเปิดสำนักแม่หมอ
“ดีๆ ยายเองก็จัดที่ทางให้พวกชาวบ้านได้นั่งเรียบร้อยแล้ว”
“น้องเองก็ยกดอกไม้มาประดับแล้วขอยับ” ลี่มี่มองสังเกตรอบๆ ก็พบว่ามีตั่งไม้มาวางเรียงกันหน้าเรือน ทั้งยังมีดอกไม้สีสดมาประดับอย่างงดงาม เมื่อด้านนอกเสร็จสิ้นแล้ว ก็ถึงคราที่จะต้องจัดที่ทางสำหรับให้ชาวบ้านเข้ามาดูนิมิตกับนาง
“เช่นนั้น ท่านยายช่วยข้าจัดที่ทางด้านในเรือนหน่อยเถิดเจ้าค่ะ ข้ามิเคยรู้เกี่ยวกับเรื่องไสยเวทเลย มิรู้ว่าจะต้องทำท่าทีอย่างไรเจ้าค่ะ”
“ได้ ยายเคยเห็นผ่านตามาบ้าง เราเข้าไปพูดคุยกันต่อในเรือนเถิด” สามยายหลานย้ายเข้ามาในเรือน ผู้เป็นยายเอ่ยเล่าเรื่องราวที่นางเคยไปขอให้ผู้มีนิมิตช่วยตรวจดูดวงชะตาของบุตชาย
“ที่ยายได้เห็นมาคือผู้ที่เป็นพ่อหมอแม่หมอ เขามักจะใส่อาภรณ์ที่มีชายผ้าระโยงระยาง แล้วยังมีผ้าปิดหน้าด้วย”
“ข้าคิดว่าอาภรณ์ที่ข้าใส่กลับมาจากสระมรกต คงพอจะใช้ได้เจ้าค่ะ แต่เรื่องผ้าปิดหน้านั้น…เหตุใดเราต้องปิดด้วยเจ้าคะ มิใช่ว่าพวกชาวบ้านรู้จักหน้าตาของข้าแล้วหรือ”
“นั่นสิ คงเพราะมันช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือกระมัง ไม่แน่ว่าหากชาวบ้านเห็นใบหน้าเจ้าที่เป็นเพียงเด็กสาว พวกเขาอาจจะมิอยากเชื่อถือสักเท่าใด”
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ข้าขอไปลองสวมอาภรณ์ตัวนั้นก่อนนะเจ้าคะ” ลี่มี่เข้าไปเปลี่ยนอาภรณ์ในห้องของตน เสื้อผ้าสีเขียว รูปแบบแตกต่างจากอาภรณ์ทั่วไปถูกนำมาสวมใส่ ทั้งยังใช้ผ้าผืนบางมาทำเป็นผ้าปิดหน้า
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
“งดงามยิ่งขอยับ” ลี่หมิงเอ่ยชมพี่สาวมิขาดปาก เมื่อได้ยินคำเยินยอจากน้องชายและท่านยาย ลี่มี่ก็พยักหน้าพอใจไม่น้อย
“แต่งตัวเช่นนี้แล้วอย่างไรต่อเจ้าคะ ท่านยาย”
“อืม ขอยายคิดก่อน…อ่อ ยายเห็นเขาชอบใช้ไม้เคาะกะโหลก” เหมาไป่ย้อนนึกไปก็ขนลุกไม่หาย สำนักเหล่านั้นเต็มไปด้วยโครงกระดูกคนตาย แต่ด้วยความที่เป็นห่วงบุตรชาย นางจึงจำยอมก้าวย่างเข้าไปในสถานที่น่ากลัวเช่นนั้น
“กะโหยกคือสิ่งใดหยือขอยับ” เด็กชายยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจว่ากะโหลกนั้นคือสิ่งใด
“อ่า เป็นกระดูกหัวนี่กระมัง” เหมาไป่ใช้นิ้วเคาะหน้าผากน้อยๆ ของหลานชาย
“แต่เราไม่มีกะโหลก เช่นนั้น…ใช้กะลามะพร้าวแทนได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าว่าเวลาเคาะก็น่าจะมีเสียงเช่นกัน” ลี่มี่นึกทึ่งกับความชาญฉลาดของตนเอง
“ย่าว่าย่อมแทนกันได้ ต่อไปก็ไม้ที่ใช้เคาะ เอาเป็น…”
“ทัพพีขอยับ ยามเคาะกับกระทะดังเป้ง! เป้ง! น้องเคยได้ยิน” ท่าทีการใช้ทัพพีเคาะกระทะของลี่หมิง ทำเอาเหมาไป่กับลี่มี่ถึงกับหัวเราะลั่นเรือน
“ได้ เช่นนั้นเอาทัพพีตามที่อาหมิงของพี่ว่า ฮ่าๆ” สามยายหลานนั่งพูดคุยซักซ้อมท่าทีและช่วยกันจัดที่ทางในเรือนให้เหมาะกับการตั้งเป็นสำนักของแม่หมอ กว่าจะจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จสิ้นก็ล่วงเลยเข้าสู่ยามซวี (19:00 – 20:59 น.) ทั้งสามจึงได้กลับเข้าไปนอนพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวรับแขกเหรื่อในวันพรุ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้น ก็มีผู้คนมารอที่เรือนสกุลเหมาตั้งแต่ยามซื่อ (09:00 – 10:59 น.) ดังที่ลี่มี่ได้คาดการณ์เอาไว้ ชายหญิงมากกว่าสิบคนมารออยู่ที่หน้าเรือนสกุลเหมา ลี่หมิงทำหน้าที่นำน้ำท่ามาแจกจ่ายให้ชาวบ้านระหว่างรอ ทั้งเด็กชายตัวน้อยยังช่วยตอบคำถามของชาวบ้านเกี่ยวกับแม่หมอ โดยเฉพาะเรื่องที่ลี่มี่ตกลงไปในสระ เด็กชายตัวน้อยก็เล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจดจำได้อย่างขึ้นใจ แม้เสียงพูดของลี่หมิงจะมิชัดเจน แต่ผู้คนก็มิได้ถือสา
“…เยื่องยาวก็เป็นเช่นนี้ขอยับ”
“อืม เรื่องยาวจริงๆ นั่นล่ะ ฮ่าๆ” เหล่าชาวบ้านที่ฟังเรื่องราวจากลี่หมิงต่างหัวเราะให้กับความน่าเอ็นดูของเด็กน้อย
เห้อ! มิรู้ว่าสกุลชุนปล่อยให้ลูกหลานออกมาอยู่สกุลอื่นได้อย่างไร
ด้านลี่มี่ที่เตรียมตัวอยู่ด้านในเรือนก็เดินไปเดินมาไม่หยุด เพราะเกิดอาการประหม่า แม้จะฝึกซ้อมกับท่านยายและอาหมิงมาหลายรอบ แต่นางก็ยังรู้สึกว่าตนเองยังมิพร้อม
“มี่เอ๋อร์ จะให้ยายเรียกคนเข้ามาเลยดีหรือไม่”
“จะ เจ้าค่ะ”
“มิต้องกังวลไป หากว่ามีวาสนาต่อกัน เจ้าก็จะเห็นภาพนิมิตของพวกเขาเอง อย่าได้กดดันตนเองให้มากนัก” เหมาไป่เดินเข้ามากอดให้กำลังใจหลานสาว ก่อนจะออกไปเรียกคนที่รออยู่ด้านนอกให้เข้ามาได้ทีละคน
ลี่มี่นั่งนิ่ง หลับตาลงอย่างสงบ ใบหน้างามถูกผ้าบางบดบังใบหน้าในช่วงตาลงมา เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนก็ลืมตาขึ้นมอง ปรากฏเป็นชายชราท่าทางทะมัดทะแมง
“เชิญท่านนั่งลงก่อน ประเดี๋ยวแม่หมอจะเริ่มพิธีการแล้ว” เหมาไป่เอ่ยเชื้อเชิญแขกคนแรกให้นั่งลงประจำที่
ป๊อก ป๊อก ป๊อก!
ลี่มี่หยิบทัพพีขึ้นมาเคาะกะลาอย่างที่ได้ซักซ้อมเอาไว้ แต่ทว่าสิ่งที่นางทำกลับเรียกเสียงหัวเราะของชายชรา แทนที่จะเป็นความเคารพนับถือ
“คึๆ ฮ่าๆ ฮะ อะฮึ่ม! ขออภัย” ชายชรากลั้นขำจนท้องแข็ง มีพ่อหมอแม่หมอที่ใดเขาใช้ทัพพีเคาะกะลากันเล่า ดูท่าเด็กสาวตรงหน้าคงมิได้มีนิมิตดังที่อวดอ้าง
“มิเป็นไร ส่งมือของท่านมาเถิด หงายมือขึ้น” ลี่มี่อดเขินอายในสิ่งที่ตนเองทำมิได้ จึงรวบรัดให้ชายชราส่งมือมา ทั้งที่ก่อนหน้าท่านยายและอาหมิงเอ่ยว่าให้นางเต้นระบำไปทั่วห้องก่อน
“การตรวจดูชะตาชีวิตครานี้ หากว่าท่านมีวาสนาต่อสวรรค์ ท่านย่อมจะได้รับรู้นิมิตที่สวรรค์ต้องการบอกแก่ท่าน เมื่อได้รับรู้แล้วท่านจะจ่ายเท่าใดก็ตามแต่ท่าน แต่หากท่านมิมีวาสนาต่อสวรรค์ ข้าจะมิรับเงินจากท่าน”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เมื่อชายชราพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่นางเอ่ย ลี่มี่ก็ใช้นิ้วสัมผัสตรงกลางมือหนา
“มองมาที่ดวงตาของข้า” ใบหน้าเหี่ยวย่นเงยขึ้นสบตากับนัยน์ตาสีเขียวมรกต ทันใดนั้นภาพนิมิตของชายผู้นี้ก็ไหลเข้ามาในศีรษะเล็ก
“ว่าอย่างไร เห็นหรือไม่ วันข้างหน้าข้าจะกลายเป็นเศรษฐีหรือไม่”
“เห็น ช่วงนี้ท่านจะเดินไปที่ใดต้องมองทางให้มาก” ลี่มี่ดึงมือกลับมาพลางเอ่ยออกไปเสียงเครียด
“ทะ ท่านเห็นสิ่งใดหรือ ขะ ข้าจะมีภัยถึงชีวิตอย่างนั้นหรือ” ชายชราเอ่ยถามอย่างร้อนรน เขายังมิได้เป็นเศรษฐีเมืองซูโจว เช่นนี้จะตายได้อย่างไร
“มิถึงชีวิต แต่ท่านต้องระวัง เพราะข้าเห็นท่าน…เหยียบมูลกระบือ”
“ห๊า!”
“เอ่อ ท่านเหยียบมูลกระบือจนลื่นล้ม แล้ว...แล้วหน้าของท่านก็ซุกลงบนมูลกระบืออีกกอง แหะๆ”
เมื่อชายชราเดินออกมาจากในตัวเรือน ผู้คนที่รออยู่หน้าเรือนก็เข้ามาสอบถามกับชายชรา รวมถึงครอบครัวสกุลชุนที่พากันมาทั้งครอบครัว ชุนไห่และชุนเต๋อมิยอมขึ้นเขาไปล่าสัตว์ เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับหลายสาวและหลานชาย
“เป็นอย่างไรบ้างท่านลุง”
“นางเอ่ยว่า…ข้าจะเหยียบมูลกระบือ แล้วล้มหน้าทิ่มมูลกระบืออีกที ฮ่าๆ” เพียงชายชราเอ่ยออกมา ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างหัวเราะออกมาดังลั่น เห็นทีเรื่องรับรู้นิมิตคงจะเป็นเรื่องโป้ปดเสียแล้ว คนทุกผู้ในหมู่บ้าน ย่อมรับรู้ว่าหมู่บ้านนี้มิมีผู้ใดเลี้ยงโคกระบือ เช่นนั้นชายชราจะเหยียบมูลกระบือได้อย่างไร
“คิกๆ ทำเช่นนี้เหมือนว่า นางตั้งใจหลอกเอาเงินทองพวกท่านเลยนะเจ้าคะ” ชุนเจียงเปรยออกมาเสียงดัง
“เจียงเอ๋อร์ เงียบปากของเจ้าเสีย” ชุนไห่อดที่จะเอ่ยว่าภรรยามิได้
“พวกเจ้าอยากลองก็รอกันไปเถิด ข้าไปล่ะ เสียเวลาข้าทำมาหากินจริงๆ แต่ก็ถือว่าได้มาผ่อนคลาย ฮ่าๆ” ชายชราผู้นั้นหัวเราะดังไปทั่วบริเวณ พลางก้าวเท้าออกจากเรือนสกุลเหมาหมายจะกลับเรือน แต่ก้าวพ้นประตูรั้วไปเพียงสามก้าวเท่านั้น
แหมะ!เท้าหยาบกร้านประทับลงบนก้อนของเหลวสีดำสนิท ท่าทางชะงักของชายชราทำให้ผู้คนที่นั่งรอหน้าเรือนจดจ้องไปที่เท้าของชายชราเป็นตาเดียว ร่างของชายชราเซถลาล้มลงไปกับพื้น ใบหน้าเหี่ยวย่นพุ่งลงบนก้อนสีดำ
มอ~ มอ~
“มูล…กระบือ”
“อ๊ะ ขออภัยด้วยขอรับ ข้าพึ่งซื้อกระบือมาจากโรงเชือด อย่างไรข้าจะมาทำความสะอาดให้นะขอรับ” ชายวัยกลางคนโค้งตัวขออภัยอย่างนอบน้อม พลางลากจูงกระบือกลับบ้านของตนอย่างยากลำบาก ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของชาวบ้าน ที่จ้องมองไปยังชายชรา ที่บัดนี้ล้มหน้าคะมำอยู่กับพื้น
นิมิตของแม่หมอเป็นจริง!!!