ปรมะจอดรถที่หน้าปากซอยทางเข้าคฤหาสน์หลังงามของตัวเอง จากนั้นก็มีร่างอรชรของผู้หญิงคนหนึ่งก้าวลงมา พร้อมกับถุงยาในมือ
“เดินเข้าบ้านดีๆ ล่ะ อย่าให้ลูกของฉันได้รับอันตรายเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นฉันไม่เอาเธอกับป้าของเธอไว้แน่”
น้ำเสียงของปรมะเต็มไปด้วยความดุดันและชิงชัง เรียกน้ำใสๆ ให้เอ่อล้นเต็มสองดวงตากลมโต
กลีบปากอิ่มสีแดงระเรื่อเม้มแน่นเป็นเส้นตรง ก่อนจะขยับเล็กน้อย เพื่อตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเจือสะอื้น
“ค่ะคุณหนึ่ง”
ทันทีที่หล่อนตอบกลับไป รถคันงามก็แล่นจากไปทันที
น้ำตาที่เอ่อล้นสองดวงตาตอนนี้ไหลรินออกมาอาบสองแก้มนวล มือเล็กยกขึ้นลูบหน้าท้องที่ยังแบนราบของตัวเอง แววตามีแต่ความเจ็บปวดทรมาน
“ลูกรักของแม่...”
เท้าค่อยๆ พาตัวเองเดินเข้าไปในซอย ซึ่งอีกเพียงไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงคฤหาสน์หรูของปรมะ หล่อนพยายามเดินด้วยความระมัดระวัง ไม่ใช่เพราะคำสั่งของเขา แต่เพราะหล่อนก็เป็นห่วงลูกน้อยของตัวเองเช่นกัน
หล่อนจะไม่มีวันทำอะไรก็ตามที่ทำให้ลูกของตัวเองต้องได้รับอันตรายหรอก แม้ว่าตอนนี้สภาพจิตใจของหล่อนจะย่ำแย่สักแค่ไหนก็ตาม
นรีกุล ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาจากสองพวงแก้ม เมื่อเดินมาถึงที่หน้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์หรูเรียบร้อยแล้ว
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทักทายหล่อน และนำร่มมาให้หล่อน แต่หล่อนก็ปฏิเสธออกไป
“ขอบคุณมากจ้ะลุง แต่เดี๋ยวกุลก็เข้าบ้านแล้วจ้ะ”
“แล้วทำไมคุณกุลเดินมาล่ะครับ เห็นตอนออกไป ไปกับคุณหนึ่งไม่ใช่เหรอครับ”
หญิงสาวพยายามฝืนยิ้ม เพื่อไม่ให้คู่สนทนารู้ว่าหล่อนเจ็บช้ำแค่ไหน
“คุณหนึ่งมีสอนน่ะค่ะ ต้องรีบไปมหา’ลัย กุลก็เลยอาสาลงที่หน้าปากซอยค่ะ”
คู่สนทนาคงไม่เชื่อกับคำที่หล่อนใช้แก้ตัวให้กับปรมะ เพราะสายตาที่มองมานั้นเต็มไปด้วยความสงสารระคนเวทนา
“กุล... ขอตัวเข้าบ้านก่อนนะคะ”
“ครับคุณกุล เดินระวังนะครับ”
หล่อนกล่าวขอบคุณคู่สนทนา ก่อนจะเดินอย่างระมัดระวังผ่านประตูรั้วใหญ่เข้าไปในอาณาจักรของ อัจถาสกุล
ทันทีที่เดินเข้ามาในบ้าน นรีกุลก็เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งเป็นรถที่ไม่คุ้นตาเลย
หญิงสาวไม่ได้คิดสงสัยอะไร เพราะคิดว่าเป็นแขกของคนในบ้าน แต่ขณะที่หล่อนกำลังจะเดินเลี้ยวไปยังห้องพักซึ่งอยู่ในเรือนคนรับใช้ หูก็ได้ยินเสียงของ ป้าแวว ซึ่งเป็นป้าแท้ๆ ของตนเองกำลังด่าทอใครสักคนอยู่
ใบหน้าของนรีกุลที่ซีดเผือดอยู่แล้ว ยิ่งซีดเผือดมากขึ้น สองเท้ารีบก้าวตรงไปยังต้นเสียง และก็พบว่าป้าแววกำลังเผชิญหน้าอยู่กับผู้หญิงที่หน้าตาสวยมากๆ คนหนึ่งอยู่ในห้องโถง
“นั่นไง เมียคุณหนึ่งมาพอดี”
แวววรรณ หันไปเห็นหลานสาวเดินเข้ามา ก็รีบเดินมาลากแขนให้ไปหยุดตรงหน้าของผู้หญิงสวยปานนางฟ้าคนนั้น
“มี... อะไรกันเหรอคะป้า”
“แล้วคุณหนึ่งไปไหน ทำไมไม่กลับมาพร้อมกับแกล่ะ” แวววรรณตะคอกถามหลานสาว
“คุณหนึ่งไปมหา’ลัยค่ะ”
พอแวววรรณได้คำตอบจากหลานสาวแล้ว หล่อนก็รีบหันไปจีบปากจีบคอพูดกับผู้หญิงคนนั้น
“คุณหนึ่งพาหลานสาวของฉัน ซึ่งเป็น เมีย ของเขาไปฝากท้องมาย่ะ”
แวววรรณเน้นคำว่าเมียชัดเจนว่าทุกคำในประโยค
วาสินีหน้าซีดเผือด มองหญิงสาวซึ่งแน่นอนว่าต้องมีอายุอ่อนกว่าตัวเองสองสามปีด้วยสายตาเหลือเชื่อ
“เธอเป็นเมียพี่หนึ่งจริงๆ เหรอ”
“เอ่อ...” นรีกุลอึกอัก ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรออกไปดี
“ก็ตอบเขาไปสิว่าใช่ แล้วก็ลูกในท้องแกเนี่ยก็ลูกของคุณหนึ่ง”
แวววรรณตอบแทนอย่างโมโห เมื่อหลานสาวเอาแต่อึกอัก
“เห็นเต็มตา รู้เต็มใจแบบนี้แล้ว คุณก็กลับไปได้แล้วล่ะ แล้วเลิกคิดจะมาแย่งสามีของหลานสาวฉันได้แล้ว”
“ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าพวกคุณไม่ได้โกหกฉันน่ะ” เฮือกสุดท้ายวาสินีก็ยังไม่อยากเชื่อ แม้หลักฐานจะชัดเต็มตาและเต็มใจ
“ถ้าคุณไม่เชื่อก็ลองเดินไปถามคนรับใช้ที่นี่ดูสิ ถามยามก็ได้ เพราะทุกคนที่นี่รู้ดีว่านังกุลมันเป็นเมียของคุณหนึ่งจริงๆ”
หัวใจของวาสินีเหมือนถูกตอกด้วยตะปูยาวที่ขึ้นสนิม ทั้งเจ็บ ทั้งปวด แสนทรมานเหลือเกิน
นี่หล่อนฝันไปหรือเปล่านะ...
ต้องฝันไปแน่ๆ
พี่หนึ่งไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้
หล่อนจ้องมองเด็กสาวที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่ตรงหน้า
“เธอเป็นเมียพี่หนึ่งจริงๆ เหรอ ตอบฉันมา”
วาสินีภาวนาให้เด็กสาวตอบว่า ไม่ใช่ หล่อนไม่ใช่เมียของปรมะ แต่...
“ค่ะ... ฉันเป็นเมียของคุณหนึ่ง”
แวววรรณหัวเราะร่วน
“เชื่อหรือยังล่ะ ถ้ายังไม่เชื่อก็ดูนี่”
แล้วแวววรรณก็กระชากถุงยาที่นรีกุลถือเอาไว้มาให้วาสินีดูใกล้ๆ
“เห็นหรือยัง ยาของคนท้องน่ะ”
ใช่...
หล่อนเห็นเต็มตาหมดแล้ว
วาสินีกัดฟันแน่น พยายามที่จะเข้มแข็งให้นานที่สุด แต่น้ำตามันดันไหลซึมออกมาจนได้
“ฉัน... ขอโทษที่มารบกวน ฉันกลับล่ะ”
คนแพ้ก็ต้องยอมรับความเจ็บปวด...
ใช่...
ในเมื่อหล่อนไม่ใช่คนที่ปรมะรัก หล่อนก็ต้องเดินออกมาจากชีวิตของเขา
ให้ตายเถอะ ทำไมเจ็บแบบนี้นะ
วาสินียกมือขึ้นป้ายน้ำตาทิ้ง ขณะขับรถออกไปจากบ้านของปรมะด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส