ผ่านมา 2 อาทิตย์แล้วที่เธอกำลังคิดไม่ตกกับเรื่องนี้ ส่วนคุณพ่อของเธอก็ไปทำงานที่บริษัทอัครวัชรโยธินกรุ๊ปเป็นที่เรียบร้อย
ใช่! เธอตอบตกลงคุณพ่อของเธอไป เพราะเธอไม่อยากให้ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของเธอต้องมาลำบาก แม้เธอจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอประธานนั่นจะเป็นชายแก่หงำเหงือกขนาดไหน แต่เพื่อให้ครอบครัวของเธอได้ดำรงต่อไป เธอจึงตอบตกลงทั้งที่ยังไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำ
“เกว เดี๋ยวจะมีคนมารับไปลองชุดนะลูก” คุณหญิงนิษาเดินเข้ามาบอกลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวของหล่อนอย่างนึกเศร้าใจ
หล่อนไม่ได้อยากจะให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้จะมีวิธีไหนที่จะพอช่วยอะไรได้มากไปกว่านี้แล้ว
“ค่ะคุณแม่” เธอตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจก่อนจะขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปลองชุดแต่งงานบ้าบอนั่น
“ชุดนี้กำลังสวยเลยค่ะเจ้าสาว หมุนขวาหน่อยค่ะ” เสียงพนักงานชายใจสาวดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย เพราะตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาในห้องเสื้อแห่งนี้ พี่พนักงานคนนี้ก็ดูแลเธอดีดุจลูกค้าวีไอพี
ก็แน่ล่ะสิ เจ้าบ่าวของเธอเป็นถึงประธานยักษ์ใหญ่ ไม่ให้ดูแลดีมีหวังโดนถล่มร้านเละแน่ ๆ
“เมื่อกี้เจ้าบ่าวของหนูเขามาลองชุดแล้วนะคะ หล่อมากเลยค่ะ” ยัยพี่คนเดิมยังพูดไม่หยุดปาก ทำให้เธอเผลอมองไปที่ชุดสูทสีขาวสะอาดที่แขวนอยู่ใกล้ ๆ กับที่เธอยืนอยู่
แม้จะนึกเสียดายที่ตัวเองต้องมาแต่งงานกับใครก็ไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองดันวาดฝันไว้สะสวยงามถึงงานแต่งงานของเธอกับผู้ชายที่เธอรัก ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ตอนนี้เธอก็คงต้องทำหน้าที่ของเธอให้ดีที่สุด
“เจ้าบ่าวของหนูเขาหน้าตาเป็นยังไงเหรอคะ?” คำถามของเธอทำให้เจ๊ที่กำลังรูดซิปด้านหลังของเธอถึงกับชะงัก
“หนูไม่รู้เหรอคะว่าใครเป็นเจ้าบ่าว” พี่แกถามกลับมาด้วยความงงงวย มีอย่างที่ไหนมาถามว่าเจ้าบ่าวของตัวเองเป็นใคร
“หนูก็แค่ล้อเล่นน่ะค่ะ” เธอยิ้มกลบเกลื่อนก่อนจะเห็นสีหน้าของเจ๊เขาดูดีขึ้นมานิดหน่อยและกลับมายิ้มกว้างตามเดิมโดยมือยังสารวนอยู่กับชุดของเธอ
“วันพรุ่งนี้ผมจะมารับคุณหนูไปดูของชำร่วยนะครับ” คนขับรถที่มารับเธอเอ่ยบอกทันทีที่เขาเดินมาเปิดประตูรถให้เธอ ซึ่งเธอก็ทำได้เพียงแต่พยักหน้าตอบรับกลับไป ก่อนจะก้าวขายาว ๆ ของตัวเองเข้ามาภายในบ้าน
“เป็นไงบ้างลูก เจ้าบ่าวหล่อไหม?” คุณแม่ที่มีท่าทีที่ดีขึ้นจากเมื่อสองอาทิตย์ก่อนเอ่ยถามลูกสาวอย่างตื่นเต้น เพราะหล่อนเองก็ยังไม่เคยเจอประธานบริษัทนั่นสักครั้งเดียว
“หนูยังไม่ทันได้เจอเขาเลยค่ะคุณแม่” คำตอบของเธอทำให้ผู้เป็นมารดาขมวดคิ้วมุ่น “พอหนูไปเขาก็กลับไปก่อนแล้ว” เธอเอ่ยบอกต่อก่อนจะวางก้นสวยของเธอลงบนโซฟาตัวใหญ่กลางบ้าน
“อะไรกัน อีกแค่อาทิตย์กว่า ๆ ก็จะเข้าพิธีแล้ว” คุณแม่ของเธอเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าใจ “แม่ขอโทษนะลูก งานสำคัญของลูกทั้งที แม้แต่หน้าเจ้าบ่าวก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็น” แม่ของเธอบอกก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาตัวเองอย่างรู้สึกผิด
“ไม่เลยค่ะแม่ ไม่เป็นอะไรเลย อย่างร้องไห้เลยนะคะ” เธอกอดปลอบผู้เป็นมารดา ทั้งที่ใจของเธอก็ห่อเหี่ยวไม่ต่างกัน แต่ก็อย่างว่าแหละนะเธอเลือกอะไรไม่ได้อยู่แล้วนิคงต้องปล่อยให้มันเป็นไปแบบนั้นแหละ
“เชิญนั่งเลยค่ะ” และนี่ก็เป็นอีกวันที่เธอจะต้องมาเลือกของชำร่วยในงานแต่งของเธอเอง และก็อย่างเช่นเคยเธอนั่งอยู่คนเดียว ชักจะไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่ว่าตัวเขาเองก็โดนบังคับมาแต่งงานด้วยหรือเปล่า
เธอนั่งพลิกดูของในแฟ้มไปมาอย่างไม่ได้ใส่ใจมันสักเท่าไหร่ ก่อนจะรู้สึกว่าโซฟาของเธอที่นั่งลงนั้นยวบลงเหมือนมีคนมานั่งมัน แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเจ้าของร้านมานั่งอยู่ข้างเธอก็เป็นได้
“สะ...สวัสดีค่ะ คุณญานิศรา” เสียงทักทายจากคนด้านหน้าของเธอทำให้เธอขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าของร้านที่กำลังมองใครอีกคนอย่างหลงใหล
ทำไมเธอถึงเรียกแบบนั้นน่ะเหรอ...ก็เพราะเจ้าของร้านที่เคยนั่งอยู่โซฟาตัวตรงข้ามกับเธอกำลังยกมือไหว้ใครสักคนที่เธอก็ไม่รู้ว่าใคร แถมหน้าของหล่อนยังแดงกล่ำเหมือนกับพบเจอเจ้าชายในฝันยังไงยังงั้น
เอ๋! จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงก็ชื่อที่เจ้าหล่อนเรียกเมื่อครู่นี้ออกจะผู้ญิ้งผู้หญิง!
เธอเองก็ไม่ปล่อยให้ความสงสัยมันอยู่นาน เธอค่อย ๆ หันไปมองด้านข้างของเธอที่เธอเข้าใจในตอนแรกว่าเป็นเจ้าของร้าน แต่เมื่อเจ้าของร้านยังนั่งอยู่ที่เก่า งั้นก็แสดงว่าข้าง ๆ ของเธอต้องเป็นใครคนอื่นอย่างแน่แท้
ทันทีที่เธอเงยหน้าไปสบตาผู้มาใหม่ ทำให้หัวใจของเธอกระตุบวูบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้กระตุกเพราะเสียใจเหมือนเรื่องของผู้เป็นบิดาเหมือนครั้งก่อน แต่ครั้งนี้มันกลับกระตุกพร้อมรัวจังหวะให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองพึ่งจะไปวิ่งมาราธอนมา ใบหน้าของเขานั้นดูดีเสียจนเธอนึกหวาดหวั่น ผมสีบลอนด์ทองสั้นประบ่า ดวงตาสีฟ้าสดใส จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากกระจับได้รูป ผิวที่ขาวผุดผ่อง เหมือนเขาหลุดออกมาจากเทพนิยาย ใบหน้าที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นลูกครึ่ง
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
หัวใจของเธอกำลังทำงานอย่างหนักจนเธอต้องยกมือขึ้นมาจับมันเอาไว้แน่น ริมฝีปากของเขากำลังขยับไปมาอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังพูดคุยกับเธอ จนคิ้วของเขาเริ่มขมวดกันเป็นปมเธอจึงเริ่มมีสติขึ้นมาอีกครั้ง
“ฉันถามว่าเธอได้ของที่ถูกใจหรือยัง?” น้ำเสียงของเขาช่างเย็นชาแต่กลับมีเสน่ห์เหลือล้น “หน้าแดงเป็นอะไรหรือเปล่า?” เขายกมือข้างขวามาอังที่หน้าผากของเธอเบา ๆ ทำให้กุลธิดาสะดุ้งก่อนจะหดคอถอยหนี
นี้เธอเสียอาการให้เขามากขนาดนี้เลยหรือ! เขาเป็นผู้หญิงนะ!!
“อ๋อ เอ่อ...พอได้มาบ้างแล้วค่ะ” เธอตอบเขาก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้เธอ
นี่คงจะเป็นคนที่ไอประธานแก่หงำเหงือกส่งมาสินะ พอเธอคิดถึงคนที่กำลังจะต้องเข้าพิธีวิวาห์ด้วย ก็พาลให้ใจมันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาชอบกล
“ฝากคุณช่วยดูแลของชำร่วยที่เธอเลือกด้วย ฉันขอตัว” เขาเอ่ยบอกก่อนจะลุกจากโซฟาข้างตัวของเธอเตรียมจะเดินกลับไป
“ดะ...ได้ค่ะคุณญานิศรา” เจ้าของร้านรับคำก่อนจะยกมือไหว้เขาเสียยกใหญ่
กุลธิดาแหงนมองดูเขาที่ยืนอยู่อีกครั้ง เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาก็ก้มลงมามองเธอเช่นเดียวกัน เราสบตากันราว ๆ สามวิก็เป็นเขาที่หลบสายตาและเดินออกไป เธอนั่งมองดูเขาเดินจากไปด้วยความรู้สึกชื่นชม ทั้งรูปร่างที่สูงโปร่ง ใบหน้าที่แสนจะดูดี ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคิดถึงใบหน้าที่ดูดีนั้น
“จริงไหมคะคุณกุลธิดา” น้ำเสียงของเจ้าของร้านดังขึ้นมาอีกครั้งช่วยให้เธอมีสติ แม้เธอจะไม่รู้ว่าเจ้าของร้านพูดอะไรไปก่อนหน้านี้แต่เธอก็ไม่อยากเสียมารยาทจึงพยักหน้าให้พร้อมกับยิ้มรับเธอไปแบบนั้น ก่อนสายตาจะกลับมาจ้องมองสมุดของชำร่วยในมือตามเดิม
ถ้าเป็นเขาที่เธอได้แต่งงานด้วยมันก็คงจะดีสินะ...