“อ้าว พี่ซีห่าวแล้วห่าวหรวนล่ะคะ”
“พี่บอกห่าวหรวนว่าไม่ต้องเดี๋ยวพี่มาช่วยเอง”
เขาตอบพร้อมยิ้มมุมปาก
เมื่อเย่วซินเห็นซีห่าวยกยิ้มมุมปาก เธอแทบจะละลายไปกับรอยยิ้มนั้น
“หึ หึ มาให้พี่ยกอะไรออกไปบ้าง บอกมาเลย”
ซีห่าวหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะถามออกไป เพราะเขาเห็นอาการของเด็กสาวยืนนิ่งค้าง สักพักก็สะบัดหัวตัวเอง เห็นอาการของเธอก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
“นี่ค่ะพี่ซีห่าว อาหารบนนี้เอาออกไปหมดเลยค่ะ”
กลายเป็นเย่วซินคนเก่งที่แอบเขินเอง เมื่อเห็นชายหนุ่มหัวเราะออกมา เห็นแรง ๆ แบบนี้ก็เขินเป็นนะ อ๊าย! เธอยิ่งใจบอบบางอยู่ด้วย
หลังจากช่วยกันยกอาหารออกมาจนครบ ทุกคนก็พร้อมที่จะลงมือกินทันที พอทุกคนกินอาหารเสร็จเรียบร้อย เย่วซินก็เตรียมผลไม้ล้างปากไว้ให้กับทุกคนเหมือนเช่นทุกครั้ง
“พี่ใหญ่ พี่ซีห่าวคะ พี่ว่าเกี๊ยวอร่อยไหม”
“อร่อยนะ ซินซินถามทำไม” ห่าวอู๋ตอบน้องสาว ส่วนซีห่าวนั้นพยักหน้าตอบ
“น้องคิดว่าน้องจะทำเกี๊ยวแบบแช่แข็งขาย และอีกอย่างในมิติของเธอนั้นมีเกี๊ยวแช่แข็งหลายแบบมาก ถ้าหากเราเอามาใส่กล่อง หรือใส่ถุงแพ็กขายใหม่ น้องว่าน่าจะขายได้นะพี่ พี่ทั้งสองเห็นด้วยไหม”
เย่วซินถามความคิดเห็นของชายหนุ่มทั้งสองคน ส่วนเด็กน้อยลี่มี่นั่งเล่นของเล่นที่เย่วซินเอาออกมาจากมิติโดยไม่สนใจผู้ใหญ่คุยกัน
“พี่ ๆ ครับผมไปโรงเรียนก่อนนะ ลี่มี่น้าไปโรงเรียนก่อนนะครับ” ห่าวหรวนบอกพี่ ๆ ทันทีที่กินอาหารเสร็จ
“ห่าวหรวนเอากล่องอาหารไปด้วยนะพี่เตรียมไว้ให้แล้ว อย่าลืมกระบอกน้ำด้วยล่ะ เดินทางดี ๆ”
เมื่อห่าวหรวนออกไปแล้ว ทุกคนจึงมาคุยกันต่อเรื่องที่ค้างไว้ เพราะตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาลงงาน
“พี่ว่าดีนะ แต่ถ้าเราจะขายเราต้องดูให้ดี เพราะอาหารแช่แข็งหากมันละลายแล้วมันจะมีปัญหาไหม พี่หมายถึงกรณีที่มีคนมาซื้อปริมาณมาก ๆ น่ะ” ห่าวอู๋พูดตามความคิดของตัวเอง
“ใช่ พี่ก็คิดคล้าย ๆ กับห่าวอู๋นะ แต่ถ้าน้องจะขายด้วยการขายทีละชิ้นสองชิ้นพี่ไม่แนะนำสักเท่าไร แต่ถ้าน้องจะขายเหมาหรือขายส่ง คนที่ซื้อของน้องจะต้องมีตู้เย็นหรือตู้แช่แข็ง ซึ่งตู้แช่แข็งก็ราคาแพงมากด้วย พี่กลัวต้นทุนมันจะสูงไปสำหรับคนที่มาซื้อต่อไปขาย”
ซีห่าวหยุดคิดตามคำพูดของห่าวอู๋ จากนั้นก็เสนอความคิดของตัวเอง
“ใจจริงน้องอยากเปิดหน้าร้านเป็นของตัวเองนะ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้สามารถซื้อร้านมาเปิดเป็นร้านค้าได้แบบเสรีหรือยัง”
“เรื่องนี้พี่ก็ไม่แน่ใจนะว่าที่อำเภอของเรามีการเปิดให้ซื้อขายร้านค้ากันบ้างหรือไม่ ส่วนมากต้องทำเรื่องขอจากรัฐแม้สหกรณ์ยังต้องขออนุญาต ที่เห็นไม่ใช่ว่าของรัฐทั้งหมด ยังเป็นของพวกกลุ่มพ่อค้าเช่นกัน แต่นั่นต้องมีเส้นสายไม่น้อย ทว่าพี่จะลองสอบถามคนรู้จักดูก่อน”
ซีห่าวบอก เขาพอจะมีคนรู้จักอยู่บ้าง แต่ใช่ว่าเรื่องนี้จะจัดการได้ง่ายดายเสียเมื่อไหร่
“ได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นน้องขอคิดก่อนว่าน้องต้องทำอย่างไร เราถึงจะสามารถขายของได้โดยที่เราไม่เดือดร้อนมาก ตอนนี้หากน้องไปอำเภอทุกวันน้องก็ไม่อยากให้คนอื่นสงสัย รอพี่ซีห่าวมาขอน้องแต่งงานก่อนแล้วเราค่อยไปดูบ้านในอำเภอกัน เนอะพี่ซีห่าวเนอะ”
เย่วซินพูดพร้อมขยิบตาให้ทีหนึ่ง เมื่อเปิดใจแล้วขอหยอดวันละนิดวันล่ะหน่อยก็แล้วกันนะ
“เฮ้อ...เป็นคนไม่มีตัวตนอีกแล้วสิเรา ไปทำงานดีกว่า”
ห่าวอู๋แกล้งตัดพ้อก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
“ห่าวอู๋ นายรอพี่ด้วยสิ หัวนายก็ไม่ได้ล้านนะ ขี้น้อยใจจัง”
ซีห่าวร้องบอก จากนั้นจึงเดินตามห่าวอู๋ไปอีกคน เพราะนี่ใกล้เวลาลงงานแล้ว
ส่วนเย่วซินได้แต่หัวเราะเสียงใสตามไล่หลังสองหนุ่ม
หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้วเย่วซินก็ได้เก็บถ้วยเก็บจานเพื่อจะนำไปล้าง เมื่อเธอทำความสะอาดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธอจึงได้พาลี่มี่เข้ามาในมิติ เพราะเธอไม่ต้องการให้ลี่มี่อยู่คนเดียว ไหน ๆ ก็เคยเข้ามาแล้ว อีกทั้งเธอมองว่าบางครั้งลี่มี่นั้นมีความเป็นผู้ใหญ่มาก ความรู้สึกบอกว่าไม่ใช่อย่างที่เธอเห็น
เมื่อเธอเข้ามาในมิติ เธอจึงให้ลี่มี่นอนอยู่ในห้องนอนของเธอแล้วเปิดการ์ตูนให้ดู ส่วนเธอก็มานั่งคิดว่าเธอจะทำอย่างไรดีหากเธอต้องการขายสินค้าจำพวกอาหารแช่แข็ง ถ้าร้านไหนที่เธอเสนอขายแล้วมีตู้เย็นหรือตู้แช่ก็ดีไป แต่ถ้าหากไม่มีล่ะ และที่สำคัญตอนนี้เธอไม่มีหน้าร้าน
เย่วซินเธอคิดไปคิดมาจนนึกถึงการขายแฟรนไชส์ หากเธอใช้ระบบเดียวกันทำสัญญา จัดร้านค้าให้พร้อมให้ยืมตู้แช่ แต่ละร้านยืมได้ตามขนาดของร้าน หากร้านไหนที่มียอดขายตามเป้าที่เธอให้ไว้ ครบหนึ่งปีเธออาจจะยกตู้แช่ตู้นั้นให้เลยก็ได้
เพราะอย่างไรตู้แช่ในมิติเธอก็ซื้อมา ไหนจะตู้แช่แข็งไซซ์ใหญ่ ที่อยู่ในร้านอาหารนั่นอีก เธออยากกระจายแฟรนไชส์ตามตลาดมืด หากเมื่อไหร่ที่เปิดร้านค้าเสรี เมื่อนั้นค่อยตีตลาดภายนอกต่อไป
คิดได้ดังนั้นจึงเริ่มลงมือออกแบบชื่อสินค้า ใครที่ซื้อไปหรือกินเข้าไปจะได้รู้ว่ารสชาตินี้เป็นของยี่ห้อนี้ หากถามว่าเธอกลัวไหมที่ติดชื่อสินค้าไว้บนสินค้า
เธอมีแอบกลัวนะ หากบอกว่าไม่กลัวก็จะเป็นการโกหก แต่เธอรู้ว่าตลาดมืดนั้น เป็นพื้นที่เฉพาะ และการซื้อขายนั้นเป็นปากต่อปาก เมื่อไหร่ที่เปิดร้านค้าแบบไม่ต้องกลัวได้เธออาจจะมีการส่งถึงบ้านเลยก็ได้ นั่นก็ขึ้นอยู่กับอนาคตอีกนั่นแหละ
เย่วซินดูเวลาพอเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาที่จะต้องไปส่งอาหารเที่ยงให้กับหนุ่ม ๆ แล้ว เธอจึงเดินเข้าไปดูลี่มี่ ทว่าภาพที่เห็นแทนที่ลี่มี่จะดูการ์ตูนกลายเป็นการ์ตูนดูลี่มี่แทน
เย่วซินเธอเห็นดังนั้นก็ได้แต่ยืนขำ เธอจึงเดินเข้าไปห่มผ้าให้ จากนั้นเธอจึงทำอาหารในมิติแทนที่จะออกไปทำข้างนอก
เที่ยงนี้เธอทำบะหมี่หมูตุ๋นโปะด้วยหมูเด้งแผ่นใหญ่ และยังมีเกี๊ยวซ่าทอด ตบท้ายด้วยแอปเปิลคนละสองลูก เธอคิดว่าแค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว
จากนั้นจึงนำอาหารทั้งหมดใส่กล่องที่มีฝาปิด เธอเทน้ำซุปใส่กระติกเก็บความร้อน วันนี้เธอทำน้ำลำไยเป็นเครื่องดื่ม
หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธอจึงได้เดินไปเรียกลี่มี่ที่ห้องนอน เมื่อเปิดห้องเข้าไปก็เจอกับลี่มี่ที่กำลังงัวเงียตื่นขึ้นมาพอดี
“อย่าขยี้ตาค่ะ มาค่ะน้าซินซินพาไปล้างหน้าล้างตาก่อน”
เย่วซินพาลี่มี่ไปล้างหน้าล้างตาปะแป้งแต่งตัวใหม่ พอเธอเห็นลี่มี่ในชุดนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหอมแก้มของเด็กน้อยฟอดหนึ่ง
จากนั้นเธอก็ได้พาลี่มี่ออกมาจากมิติพร้อมทั้งไม่ลืมนำอาหารที่เธอได้ทำก่อนหน้านี้ออกมาด้วย
เธอพาลี่มี่ปั่นจักรยานมาส่งอาหารให้กับหนุ่ม ๆ ที่แปลงนา พอมาถึงที่แปลงนากำลังจะจอดจักรยานเธอก็เห็นพี่ซีห่าวของเธอรีบเดินมารับทันที
“พ่อขา ลี่มี่มาแล้วค่ะ” เมื่อลี่มี่ตัวน้อยเห็นพ่อของเธอเดินมาจึงทักทายพ่อด้วยรอยยิ้มทันที
“โห ลูกสาวใครนะตัวหอมจังเลย” เขารับลี่มี่มาทันทีเมื่อเด็กน้อยโถมตัวมาให้อุ้ม
“ลูกสาวของพ่อไงคะ” เด็กน้อยตอบพร้อมกับหอมแก้มพ่อของเธอ
“ไปค่ะไปที่ร่มกันดีกว่า พี่ใหญ่นั่งรออยู่แล้วตรงนู้นนะ น้องเห็นนั่งรอหน้ามุ่ยแล้ว” พูดไปขำไปกับอาการที่พี่ชายแสดงออก
“มาแล้วค่ะพี่ใหญ่ รอน้องนานไหม”
“ไม่นานหรอก แต่อดหมั่นไส้คนบางคนไม่ได้ เห็นชะเง้อคอยาวเชียว พอเห็นรถจักรยานเท่านั้นแหละ รีบวิ่งจนทิ้งพี่เลย ปล่อยให้พี่นั่งรอคนเดียว”
ห่าวอู๋บ่นกระปอดกระแปด สร้างความหมั่นไส้น้อย ๆ ให้กับซีห่าว
“ก็พี่ไม่เห็นเราเดินมานี่ พี่เลยเดินมาก่อน”
ซีห่าวพูดแก้ตัวให้กับตัวเอง จริง ๆ แล้วเขาเริ่มชะเง้อรอตั้งแต่ก่อนที่จะพักอีก
“ลี่มี่ลูก มาปลอบน้าห่าวอู๋หน่อยเร็ว น้าโดนแกล้ง”
เมื่อไม่มีใครเข้าข้างจึงหันไปฟ้องหลานแทน เมื่อน้าห่าวอู๋เรียกก็เดินไปกอดแล้วพูดว่า
“โอ๋ ๆ ๆ นะคะ”
ทันทีที่ลี่มี่พูดจบก็สร้างเสียงหัวเราะของทุกคนขึ้นมา
“วันนี้น้องทำบะหมี่หมูตุ๋นนะคะ มีหมูเด้งโปะมาให้ด้วย พร้อมกับเกี๊ยวซ่าทอด ลองทานดูนะคะ”
เย่วซินบอกรายละเอียดของอาหารเที่ยงวันนี้ให้ชายหนุ่มทั้งสองคนฟัง สร้างความอิจฉาให้กับชาวบ้านแถวนั้นเป็นอย่างมาก อะไรคือหมูตุ๋น อะไรคือหมูเด้ง นั่นมันคือเนื้อนะ อาหารต้องทำจากเนื้อทุกมื้อเที่ยงเลยเหรอ ทุกคนล้วนอิจฉาเป็นอย่างมาก
ยิ่งพอเห็นเย่วซินเปิดอาหารออกจากกล่องทั้งหมด ทำให้กลิ่นหอมลอยมากับอากาศทำให้แต่ละคนท้องร้องกันมากกว่าเดิม ไม่ต่างอะไรกับบ้านหยางที่นั่งหน้าบูดบึ้งทันทีที่เย่วซินเอ่ยชื่ออาหารออกมา
อีกแล้วบ้านจางกินเนื้อกันอีกแล้ว แต่ทุกคนบ้านหยางก็ได้แต่เก็บอาหารของตัวเองไว้
เมื่อเธอแจกจ่ายอาหารให้แต่ละคน บังเอิญเธอมีความรู้สึกว่ามีสายตามมองมาไม่เป็นมิตรมองมาที่เธอ เย่วซินจึงหันไปและเห็นสายตาของฟางเซียงสะใภ้รองบ้านหยางมองมา เย่วซินใช่ว่าจะสนใจเธอจ้องตอบพร้อมกับยักคิ้วยั่วโมโหกลับไปทันที
ฟางเซียงเมื่อเห็นยายเด็กบ้านจางยักคิ้วใส่ ก็ทำให้ความโกรธที่พ่วงด้วยความอิจฉาพุ่งสูงขึ้นทันที ยิ่งเธอเห็นว่ายายเด็กสาวคนนั้น แสดงท่าทางสนิทสนมกับซีห่าว
ชายหนุ่มที่เธอเคยแอบรักก่อนที่จะแต่งงานกับหยางฮุ่ยหมินแทน เธอไม่เคยเห็นซีห่าวสนิทสนมกับผู้หญิงคนไหนแม้แต่แม่ของยายเด็กลี่มี่นั่นก็ด้วย
เมื่อเย่วซินเห็นอาการของฟางเซียง จึงทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่าจะเอาคืนยายขี้อิจฉาคนนี้อย่างไร เธอจะทำให้ป้าคนนี้อิจฉาตายไปเลย