บทที่ 12 น้ำร่วมสาบาน
การทดสอบส่วนตัวทำให้อาจารย์โฉ่ถึงกับกุมขมับวิชาทั้งหมดที่ศิษย์สืบทอดคนหนึ่งควรได้เรียนรู้ ไป๋ลี่เฟยได้เรียนรู้ไปทั้งหมดแล้ว ทั้งยังมีแบบฉบับที่ประยุกต์วิชาเองอีกด้วย หากจะบอกว่าภาคภูมิใจโฉ่โม่จินกลับไม่มีความทรงจำใดกับเด็กหญิงตรงหน้า มีเพียงความผูกพันที่อธิบายไม่ได้เท่านั้น
“หากอาจารย์จะสอนสั่งข้าในแนววิชาเดิมข้าขอยืนยันว่าข้าเรียนจากอาจารย์มาหมดสิ้นแล้ว ทั้งยังมีเวลาหลังจากนั้นเพื่อเสาะหาตำรามาฝึกเพิ่มเอง” ลี่เฟยยิ้มแย้มก่อนจะปาดเหงื่อที่หน้าผากของตนออก
“ที่จริงแล้ว…ยังมีสิ่งที่ข้าไม่ได้สอนศิษย์ทั้งหมดอยู่”
“อันใดกันหรืออาจารย์” ไป๋ลี่เฟยเอียงหน้าถาม
โฉ่โม่จินยังไม่ได้ตอบอันใดออกไป แต่เลือกจะนำไป๋ลี่เฟยลงไปยังห้องเก็บตำราใต้ดิน ภายในมีห้องฝึกตนลับซ่อนอยู่หลังชั้นตำรา แม้ในชาติภพที่แล้วไป๋ลี่เฟยจะเคยมายังห้องเก็บตำราแห่งนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่กลับไม่เคยรู้เลยว่ามีห้องเช่นนี้อยู่
“อาจารย์…นี่มันอันใด” ลี่เฟยชะงักค้างอยู่บริเวณทางเข้า ภายในห้องลับกว้างเสมือนมีสำนักศึกษาอีกแห่งหนึ่งอยู่ภายใน
“เหตุที่ข้ายังเป็นอาจารย์อาวุโสผู้เดียวที่อยู่ในระดับสีเหลืองขั้นต่ำ เป็นเพราะต้องแบ่งปราณมาพยุงมิตินี้เอาไว้ วิชานี้ยังไม่มีชื่อเรียกอันใด ข้าประยุกต์ขึ้นจากตำราโบราณถึงสามเล่ม”
“ท่านอาจารย์สอนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
“หากฝึกวิชาในตำราโบราณเหล่านี้ได้สามในสิบส่วน ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป” อาจารย์โฉ่พยักหน้าให้แก่ไป๋ลี่เฟย “วิชาแรกที่เจ้าต้องฝึกคือวิชาสวมธาตุ…จริงสิเจ้ามีธาตุอันใดบ้าง”
“ข้าเป็นผู้ใช้ธาตุลม ธาตุน้ำ และธาตุดินเจ้าค่ะ”
“สามธาตุเชียวหรือ เช่นนี้อาจง่ายดายหน่อย” อาจารย์นำตำราเก่าแก่เล่มหนึ่งออกมาจากมิติ
“คล้ายวิชายืมธาตุหรือไม่เจ้าคะ” ลี่เฟยรับม้วนกระดาษที่เก่าจนกลัวว่าจะแหลกคามือมาถือ
เมื่อเห็นว่าอาจารย์ไม่ตอบสิ่งที่สงสัยจึงก้มลงอ่านข้อมูลที่ปรากฎในตำรา วิชาสวมธาตุจะว่าคล้ายกับวิชายืมธาตุก็คล้ายอยู่ เพราะเป็นการใช้ธาตุที่ตนเองไม่มีในกาย หากแต่การยืมธาตุจะต้องมีผู้ร่วมต่อสู้ที่มีธาตุเหล่านั้นอยู่ใกล้จึงจะสามารถหยิบยืมได้
ไป๋ลี่เฟยเบิกตาโพลง “คนเราสามารถเพิ่มธาตุในกายได้โดยไม่ต้องยืมหรือเจ้าคะ เรื่องนี้…เรื่องนี้เป็นไปได้หรือ”
“เป็นไปได้แน่นอน ก่อนจะสร้างมิตินี้ อาจารย์เองต้องมีครบทั้งหกธาตุในกาย การสวมธาตุโดยไม่หยิบยืมจากผู้อื่นย่อมเป็นไปได้ แต่จะคงไว้ได้นานเพียงใดก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง”
หกธาตุ! ดิน น้ำ ลม ไฟ มืด แสง อาจารย์สุดยอดเกินไปแล้ว
ชาติก่อนนางช่างโง่เขลาคิดว่าสิ่งที่ตนรู้คือทั้งหมดที่โลกนี้มีแล้ว ความจริงอาจารย์โฉ่เคยทาบทามว่านางต้องการศึกษาต่อหรือไม่ แต่นางปฏิเสธเพื่อเริ่มออกตามหาสุสานจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เป็นมือเป็นเท้าให้องค์ชายสามผู้นั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่าใต้ร่างตนมีวิชาที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กันรออยู่
“ข้าจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง” ไป๋ลี่เฟยตกปากรับคำ หากนางเรียนรู้วิชาเหล่านี้ แม้คนหน้าหนาผู้นั้นจะได้น้ำหกธาตุพิชิตไปครองก็ไม่แน่ว่านางอาจพอจะต่อกรได้
“เช่นนั้นจำเป็นต้องดื่มน้ำร่วมสาบานกับศิษย์พี่ผู้เป็นคู่ฝึกเสียก่อน วิชาเช่นนี้ถือเป็นความลับสูงสุด”
“ศิษย์เข้าใจเจ้าค่ะ”
เมื่อทำความเข้าใจกันได้ดังนั้นอาจารย์โฉ่ก็ให้นางรออยู่ในมิติลับ ไป๋ลี่เฟยจึงถือโอกาสลอบสำรวจมิตินี้ คล้ายว่าอาจารย์โฉ่สร้างมิติที่มีครบครันทุกฤดูกาล และสภาพภูมิประเทศเพื่อให้ผู้ฝึกแข็งแกร่งในทุกสภาวะแวดล้อม แต่นั่นก็เพียงส่วนที่นางมองเห็นเท่านั้นด้านหลังจะเป็นอันใด นางก็มิอาจมองต่อไปได้
“ศิษย์น้อง ไม่คิดว่าคู่ฝึกที่อาจารย์โฉ่ให้รอคอยจะเป็นเจ้า” ตงหม่าจางเอ่ยทัก
“ศิษย์พี่ตง” ลี่เฟยก้มหัวให้น้อยๆ ทีหนึ่ง
“ก่อนเผยความลับของกันและกันพวกเจ้าจงดื่มน้ำร่วมสาบานเป็นพี่น้องเสีย” อาจารย์โฉ่กล่าวจบก็ยื่นมีดสั้นเล่มหนึ่งมาให้ แล้วผายมือให้ศิษย์ทั้งสองไปยืนอยู่ข้างอ่างน้ำ
ไป๋ลี่เฟยหยิบมีดมากรีดกลางฝ่ามือ “อ๊ะ” เสียงร้องแทนความเจ็บปวดเปล่งออกมาเล็กน้อย ก่อนลี่เฟยจะกันฟันกลืนเสียงนั้นลงไป นางยื่นมีดให้หม่าจางที่กรีดลงไปฉับเดียวโดยไม่มีเสียงร้องใดเล็ดรอดออกมา ทั้งสองประสานมือกัน เลือดของศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองหยดลงในอ่างจากสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวก่อนจะสลายตัวผสมกับน้ำ
“ข้าตงหม่าจางขอสาบานเป็นพี่น้องกับไป๋ลี่เฟย จากนี้นับเป็นสายโลหิตจากครรภ์เดียวกัน”
“ข้าไป๋ลี่เฟยขอสาบานเป็นพี่น้องกับตงหม่าจาง จากนี้นับเป็นสายโลหิตจากครรภ์เดียวกัน”
“หลังจากนี้กล่าวพร้อมกัน” อาจารย์โฉ่สั่งก่อนจะกล่าวนำ “ความของพี่คือความของน้อง ความของน้องคือความของพี่ ตราบลมหายใจสิ้นมิเผยความลับ ไม่หักหาญใจ ไม่เข้าศัตรู”
“ความของพี่คือความของน้อง ความของน้องคือความของพี่ ตราบลมหายใจสิ้นมิเผยความลับ ไม่หักหาญใจ ไม่เข้าศัตรู” ทั้งสองเสียงกล่าวประสานกัน เมื่อทั้งสองกล่าวคำสาบานจบก็ใช้จอกชาตักน้ำในอ่างซดพร้อมกัน และตักอีกจอกราดแผลบนมือตามที่อาจารย์สั่งถือเป็นอันเสร็จสิ้น
ทว่าความน่าประหลาดใจหลายประการทำให้สีหน้าของหม่าจางคล้ายคนขบคิดไม่ตก น้ำจอกนั้นสมานแผลทันที เสมือนว่าไม่เคยถูกกรีด และยังมีสีของปราณที่ปรากฎอีก
“เหตุใดปราณจึงออกมาเป็นสีเขียวดังเดิม หรือเป็นเพราะผราณข้ากลบปราณของศิษย์น้องขอรับ” ตงหม่าจางหันไปสอบถามความกับอาจารย์โฉ่ เพราะหากปราณผสมกันตามความเข้าใจของหม่าจาง มันย่อมต้องออกมาเป็นสีอื่น
“นางปกปิดพลังปราณไว้ แท้จริงศิษย์น้องของเจ้าปราณอยู่สีเขียวขั้นกลาง” โฉ่โม่จินกล่าว
“เช่นนี้เจ้า…สูงกว่าข้าอยู่ขั้นหนึ่ง มิน่าเล่า” หม่าจางพยักหน้าเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดไป๋ลี่เฟยผู้นี้ จึงได้ถูกทาบทามมาเรียนวิชาพิเศษนี้ตั้งแต่แรก เพราะสำหรับตัวเขาเหตุที่ได้โอกาส เป็นเพราะกินนอนอยู่ในสำนักจึงทำให้ทั้งชีวิตมีแต่การฝึกฝน รู้ตัวอีกคราก็ร่ำเรียนวิชาไปจนทัดเทียมศิษย์ที่ต้องจบการศึกษาแล้ว
ส่วนความลับของตงหม่าจางนั้นแทบจะทำให้ไป๋ลี่เฟยล้มทั้งยืน คนผู้นี้เป็นผู้ใช้ธาตุถึงห้าธาตุ โชคยังดีที่อาจารย์โฉ่สงสัยในความไม่เสถียรของพลังจึงลอบพาไปวัดนอกเวลา
เมื่อพบว่าธาตุภายในขาดเพียงธาตุมืดจึงสอนสั่งวิชาปกปิดธาตุ เพราะหากความลับนี้รั่วไหลออกไปก่อนที่ตงหม่าจางจะเข้มแข็งพอ ย่อมต้องถูกล่ามตรวนไว้ให้ผู้อื่นขูดรีดพลังธาตุมาใช้ตามอำเภอใจ ยิ่งมิได้มาจากสกุลชั้นสูง การมีความพิเศษมากเกินไปนับเป็นเรื่องอันตราย
พี่น้องร่วมสาบานหมาดๆ สบมองตากัน ต่างคนต่างเรื่องราวแต่กลับเผยความพิเศษของตนออกไปไม่ได้เช่นเดียวกัน อาจารย์โฉ่ออกไปแล้วปล่อยให้ศิษย์ทั้งสองฝึกฝนตามคำแนะนำที่ให้ไว้ ในอีกรอบพระจันทร์จึงจะเรียกทดสอบความคืบหน้า ทั้งตงหม่าจางและไป๋ลี่เฟยศิษย์ที่รู้วิชาครบครันจึงวางใจให้ฝึกฝนกันเอง
ก่อนที่จะเริ่มฝึกไป๋ลี่เฟยตัดสินใจเรียกตงหม่าจางเอาไว้ก่อน “ข้ามีอีกเรื่องที่ต้องบอกกล่าวต่อศิษย์พี่…”