5 : เหตุใดไม่ให้คุณหนูของข้าเข้าจวน
“คุณหนูเหตุใดไม่ยอมบอกชื่อแซ่แก่พวกเขาล่ะเจ้าคะ ข้าดูแล้วพวกเขาคงมีฐานะใหญ่โตอยู่ไม่น้อย วันข้างหน้าอาจได้พึ่งพากันก็เป็นได้” เผิงฉือรินน้ำชาใส่ถ้วยเลื่อนให้ผู้เป็นนาย
“เหตุใดป้าเผิงถึงอยากพึ่งพาคนแปลกหน้าล่ะ”
เผิงฉือพูดไม่ออก นั่นสินะ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด หลินซือเยว่กลับเอ่ยขึ้นเสียก่อน “หากมีวาสนาต่อกันจริง วันข้างหน้าก็ต้องได้เจอกันอีก แต่หากไร้วาสนารู้จักชื่อแซ่ไปก็เปล่าประโยชน์”
“จริงของคุณหนูเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าคุณหนูไปถึงตระกูลหลินแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง”
หลินซือเยว่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ นางไม่อาจล่วงรู้ชะตาของตนเองได้ นี่คือสิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยน ยามได้ล่วงรู้ความลับของสวรรค์ “ดีหรือไม่ดีแล้วอย่างไรเล่า” นางเอ่ยคล้ายไม่แยแสในชีวิตวันข้างหน้าของตนเอง
เผิงฉือได้แต่ลอบพรูลมหายใจออกมาเบา ๆ คุณหนูของนางช่างเย็นชาเสียจริง
เมืองหลวง
จวนตระกูลหลิน
หิมะยังคงโปรยปรายลงมาดั่งสายฝน รถม้าของหลินอ้ายถูกขวางไว้ตรงหน้าประตูด้านข้าง เสียงคนคุยกันด้านนอกรถม้า ทำให้หลินซือเยว่คลึงขมับเบา ๆ ตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมา นางไม่ค่อยคุ้นชินกับสภาพผู้คนพลุกพล่านเท่าใดนัก อาจเป็นเพราะอยู่ในอารามมาเป็นเวลานาน ส่วนเผิงฉือยิ่งเก็บอาการตื่นเต้นไม่อยู่ มองซ้ายขวาท่าทางตื่นตาตื่นใจไปหมด
“ไม่ใช่ว่าเคยอยู่เมืองใหญ่มาก่อนรึป้าเผิง” จากดวงชะตาของเผิงฉือ หลินซือเยว่ย่อมรู้ว่านาง ไม่ได้มาจากถิ่นกันดารอย่างแน่นอน
“เจ้าค่ะคุณหนู แต่ข้าไม่ได้เข้าเมืองหลวงมานานมากแล้ว เลยอดตื่นเต้นไม่ได้เจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ ไม่ให้เข้าไปในจวนรึ เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น !” เสียงของหลินอ้ายดังขึ้นคล้ายไม่พอใจ
“เจ้าเบา ๆ หน่อยได้ไหม เป็นคำสั่งของพ่อบ้านหม่า ให้พาคุณหนูรองไปพักอาศัยอยู่นอกจวน แล้วให้เจ้าอยู่ที่นั่นคอยดูแลนางด้วย” คนเฝ้าประตูกระซิบเบา ๆ เพราะเกรงว่าคนในรถม้าจะได้ยิน
“หมายความว่าอย่างไร นี่ข้าถูกไล่ออกจากจวนใหญ่แล้วรึ” หลินอ้ายรู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก เหตุใดเขาถึงต้องไปอยู่นอกจวนกับคุณหนูรองด้วย
“เจ้าไปได้แล้วไป นี่เป็นคำสั่งพ่อบ้านหม่า” เอ่ยจบก็ปิดประตูไล่เสียอย่างนั้น
หลินอ้ายเดินคอตกกลับมารายงานหลินซือเยว่ด้วยความคับข้องใจ “คุณหนูรองขอรับ คือว่า พ่อบ้านหม่าให้คุณหนูรองไปอยู่อีกเรือนขอรับ”
“อะไรนะ ! ไม่ให้คุณหนูของข้าเข้าจวน คุณหนูของข้าไม่ใช่คนตระกูลหลินหรอกรึ ถึงกับต้องไล่ให้ไปอยู่ที่อื่น”
“ท่านป้าเผิง ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เป็นคำสั่งของพ่อบ้านหม่าขอรับ”
“คุณหนูทำอย่างไรดีเจ้าคะ” เผิงฉือเปิดม่านเข้าไปถามคนที่นั่งทำหน้าไม่ทุกข์ร้อนอยู่ด้านใน
“อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันนั่นแหละป้าเผิง พวกเราไปกันเถอะ” น้ำเสียงเนือย ๆ เช่นนี้ เผิงฉือเข้าใจได้ในทันที ว่าคุณหนูของนางกำลังอารมณ์ไม่ดี เพราะง่วงนอนเป็นแน่
“หลินอ้ายเจ้ารีบพาคุณหนูไปเรือนพักเดี๋ยวนี้เลย”
“ขอรับ ๆ”
รถม้าวิ่งมาจอดอยู่หน้าเรือนสภาพเก่าโทรมแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากจวนตระกูลหลินนับได้หลายตรอก เผิงฉือประคองหลินซือเยว่ลงมาจากรถม้า ทั้งคู่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่กับสภาพทรุดโทรมของเรือนตรงหน้า เรือนเฟยเฟิ่ง
“นี่มันเกินไปแล้วนะคุณหนู”
“ไม่เป็นไร เข้าไปเถอะ”
สองนายบ่าวถือห่อผ้าก้าวข้ามธรณีเข้าไปด้านในเรือนเฟยเฟิ่ง บรรยากาศวิเวกวังเวงจนน่าใจหาย มีเพื่อนบ้านหลายคนออกมามองดูพวกนาง แล้วกระซิบกระซาบกันด้วยสายตาแปลก ๆ จากนั้นก็รีบปิดประตูราวกับกลัวจะถูกถามไถ่เข้า
“พิลึกจริง ๆ” เผิงฉือไม่เข้าใจ “หลินอ้ายเจ้าบอกข้ามาตามตรง เหตุใดเรือนนี้ถึงร้าง แล้วชาวบ้านละแวกนี้ ยังทำสายตาพิลึกพิลั่นเช่นนั้นอีก”
“ข้าไม่รู้เหมือนกันท่านป้าเผิง” หลินอ้ายเพิ่งเข้ามาทำงานที่ตระกูลหลินได้ไม่นาน เขาไม่รู้เรื่องนี้จริง ๆ
หลินซือเยว่มองเห็นไอเย็นที่มาจากสิ่งเร้นลับ จึงร่ายคาถาเปิดเนตรทิพย์เพื่อสำรวจถึงความผิดปกติ นางเห็นดวงวิญญาณหญิงชราผมหงอกผู้หนึ่ง กับวิญญาณเด็กสาวอายุราวห้าขวบอีกดวง ครั้นเห็นนางกับเผิงฉือและหลินอ้ายเดินเข้ามาภายในบ้าน ดวงตาของหญิงชราก็แข็งกร้าวขึ้นในทันที
“เหตุใดอากาศถึงหนาวเย็นขึ้นแบบนี้ได้” เผิงฉือคิดว่าตนเองสวมใส่เสื้อผ้าหน้าหนาวหลายชิ้นแล้ว ไอเย็นไม่น่าจะผ่านเข้ามาได้อีก
หลินซือเยว่เห็นว่าวิญญาณเด็กสาวผู้นั้น เดินมาวนเวียนอยู่รอบ ๆ ตัวของพวกนาง คล้ายมีความอยากรู้อยากเห็นเต็มไปหมด แต่พอยื่นมือออกไปแตะเผิงฉือ เด็กสาวก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด รีบวิ่งไปฟ้องวิญญาณหญิงชรา
“ท่านยาย ๆ พวกเขาร้อนมาก ข้าปวดแสบปวดร้อนไปหมดแล้ว”
“อย่าไปใกล้พวกเขา !”
หลินซือเยว่ไม่สนใจ ตราบใดที่ทั้งสองไม่เข้ามาทำร้ายตน นางเคยมอบจี้หยกที่ลงคาถาไล่สิ่งชั่วร้ายแก่เผิงฉือมาก่อน ดังนั้นวิญญาณทั่วไปไม่อาจแตะต้องนางได้ แต่พอหันไปมองหลินอ้ายที่กอดอกหนาวสั่นอยู่ ทำให้นึกสงสารขึ้นมา หยิบยันต์ป้องกันสิ่งอัปมงคล ที่ถูกพับเป็นรูปสามเหลี่ยมออกมายื่นให้แก่เขา
“พกติดตัวไว้ตลอดเวลา” นางเอ่ยสั้น ๆ
“ขอบคุณขอรับคุณหนูรอง” แม้ไม่เข้าใจว่าหลินซือเยว่ให้ยันต์ตนเองด้วยเหตุใด แต่หลินอ้ายก็ทำตามอย่างว่าง่าย รับยันต์มารีบยัดใส่อกเสื้อของตนเอง เขารู้สึกไปเองหรือไม่ ไม่ค่อยหนาวสั่นเหมือนก่อนหน้าแล้ว
“ป้าเผิงเข้าไปดูในเรือนเถิดว่าพออยู่ได้หรือไม่ เจ้าก็ไปกับนางด้วย” หลินซือเยว่หันไปมองหลินอ้ายในตอนท้าย
ทั้งคู่รีบเข้าไปตรวจดูสภาพห้องที่อยู่ด้านใน ขณะที่หลินซือเยว่เดินไปนั่งลง บนม้านั่งตรงลานหน้าบ้าน ด้านข้างกับวิญญาณหญิงชรา
“ต่างคนต่างอยู่อย่าได้รบกวนกัน”
วิญญาณหญิงชรากับเด็กสาวหันมามองนางอย่างตกใจ “เจ้ามองเห็นข้ารึ”
“ใช่”
“ข้าไม่ยินยอมให้พวกเจ้าเข้ามาอยู่ที่นี่ จงออกไปเสีย !” หญิงชราดวงตาปูดโปนออกมา อีกนิดคงได้กระเด็นออกจากเบ้า
หลินซือเยว่กลอกตาใส่อย่างเบื่อหน่าย “เก็บดวงตาของเจ้าไปเสีย ข้าไม่อยากมอง”
วิญญาณหญิงชรา “...?”
“ท่านมองเห็นข้าจริง ๆ รึ” วิญญาณเด็กสาวตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นางลุกขึ้นเดินไปรอบ ๆ หลินซือเยว่ แต่ไม่กล้าเข้าใกล้มากนัก เมื่อครู่นางยังเจ็บตัวไม่หายอยู่เลย “ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนมองเห็นข้ากับท่านยายเลย เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่”
หลินซือเยว่หันไปมองวิญญาณเด็กสาว แล้วขึงสายตาดุ ๆ ใส่นาง “ข้าเพียงแค่เปิดเนตรทิพย์ถึงมองเห็น ข้าอยากทำการตกลงกับพวกเจ้าเสียก่อน ข้าเป็นคนตระกูลหลิน ที่นี่คงเป็นทรัพย์สินของตระกูลหลิน ข้ามีสิทธิ์อยู่ที่นี่อย่างถูกต้อง พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มารบกวน”
วิญญาณหญิงชรามองเห็นไอร้อน ที่แผ่ออกมาจากตัวของหลินซือเยว่ ก็เข้าใจได้ในทันทีว่านางไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
หลินซือเยว่ “ต่างคนต่างอยู่ห้ามรบกวนซึ่งกันและกัน ห้ามเข้าไปใกล้คนของข้าด้วย”
วิญญาณหญิงชรา “หากข้าไม่ตกลงเล่า”
หลินซือเยว่ยิ้มเยาะเบา ๆ “ข้าจะส่งเจ้ากับหลานสาวของเจ้าไปปรโลกในทันที”
วิญญาณหญิงชรา “...!” สตรีนางนี้ต่อกรด้วยไม่ได้จริง ๆ
“วิญญาณอย่างพวกเจ้าสมควรไปผุดไปเกิดได้แล้ว เหตุใดถึงยังวนเวียนอยู่ที่นี่ ดูนางเถิดยังเป็นเด็กน้อยอยู่เลย สมควรได้ไปเกิดในภพภูมิหน้ากับบิดามารดาที่ดี”
“ข้าไม่ไป !” วิญญาณเด็กสาวตะโกนขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ยังยึดติดกับสิ่งใดอยู่หรือ”
“เสี่ยวอิงอย่าเสียมารยาท” วิญญาณหญิงชรากวักมือเรียกหลานสาวให้มานั่งอยู่ด้านข้าง “แม่นางอย่าได้โกรธเคืองเสี่ยวอิงเลย เมื่อห้าปีก่อนข้าพานางมาตามหาแม่ ลูกสาวของข้าเอง แต่ปีนั้นเกิดภัยหนาวรุนแรง ทำให้มานอนหนาวตายอยู่หน้าเรือนหลังนี้ จากนั้นวิญญาณของเราสองยายหลาน ก็ติดอยู่ที่นี่ไปไหนไม่ได้อีกเลย”
“เพราะมีสิ่งยิดติดปล่อยวางไม่ได้ พวกเจ้าจึงไม่อาจไปผุดไปเกิดได้ อยากให้ข้าส่งวิญญาณไปปรโลกหรือไม่”
“แม่นางข้าขอร้องท่านช่วยตามหาลูกสาวของข้า แม่ของเสี่ยวอิงให้ได้หรือไม่ หากนางยังมีชีวิตอยู่แล้วไม่ลำบากอันใด ข้ากับเสี่ยวอิงคงจากไปอย่างสงบสุขได้ แต่เพราะเป็นห่วงที่นางหายตัวไป พวกเราจึงไม่อาจปล่อยวางได้จริง ๆ”
“ข้าไม่รับปากเรื่องนี้ ตอนนี้ข้าจะปิดเนตรทิพย์ไม่อาจมองเห็นพวกเจ้าได้อีก เอาไว้ยามข้าว่างข้าจะมารับฟังเรื่องของพวกเจ้าก็แล้วกัน”
ตอนนี้ข้าง่วงนอนเหลือเกิน หลินซือเยว่มองเห็นเผิงฉือเดินยิ้มออกมา นั่นย่อมเป็นเรื่องดี นางปิดเนตรทิพย์แล้วหันไปทางเผิงฉือที่เดินเข้ามาใกล้
“พวกเขาให้คนมาทำความสะอาดไว้แล้ว คุณหนูเข้าไปพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวข้ากับหลินอ้ายจะเข้าตลาดไปหาซื้อของมาไว้ทำอาหาร มีครัวอยู่แต่ไม่มีของกินเลย ช่างใจจืดใจดำกันนัก”
“ไปเถอะ” หลินซือเยว่ยิ้มบาง ๆ
ห้องที่ใหญ่ที่สุดย่อมเป็นของนาง เรือนหลังนี้มีขนาดค่อนข้างเล็ก เครื่องเรือนเก่าชำรุดอยู่หลายชิ้น แต่ก็ยังพออยู่อาศัยได้ หากเทียบกับอารามไท่ผิงกวนแล้ว สภาพไม่ได้แตกต่างกันเท่าใดนัก นางตรวจดูทุกจุดภายในเรือนไม่พบสิ่งผิดปกติใดอีก จึงล้มตัวนอนบนเตียงแล้วหลับตาลง
ครั้งหนึ่งนางเคยถาม
“อาจารย์ดวงชะตาข้าจะทำให้ตระกูลหลินตกต่ำจริงหรือไม่” นางเคยถามเจ้าอาวาสชุน ในวันที่ท่านได้เรียนรู้จากนางไปพอสมควร
“เจ้านักพรตนั่นมันโกหกแน่นอน” เจ้าอาวาสชุนตอบกลับมาอย่างมั่นใจ
“เช่นนั้นก็ช่างเถิด” เหตุที่ถามเพราะต้องให้ผู้อื่นดูดวงชะตาให้ เมื่อรู้แล้วกลับไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด นางคงชินชากับความรู้สึกถูกทอดทิ้งแล้วกระมัง