1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน

1759 คำ
หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง คล้ายไม่เห็นว่าหลินซือเยว่เป็นนายของตน “เจ้าเอ่ยเช่นนี้กับคุณหนูผู้เป็นนายได้อย่างไร” เผิงฉือชี้นิ้วใส่ด้วยความไม่พอใจ “เฮอะ ใครเป็นนายใครก็ยังไม่รู้เลย เอาเถอะ ๆ อยากแวะก็แวะแต่ให้เวลาแค่ครึ่งชั่วยามพอ หากกลับถึงเมืองหลวงช้าเกินกำหนด พวกเจ้านั่นแหละที่จะเดือดร้อน” “เรียกใครว่าพวกเจ้า !” “ป้าเผิง” เสียงเรียกราบเรียบดั่งน้ำนิ่งไหลลึกเช่นนี้ เผิงฉือเข้าใจในทันทีว่าคือคำเตือนในนางสงบนิ่ง “เจ้าค่ะคุณหนู” เผิงฉือกลับมานั่งที่เดิม “ต้องได้เปลี่ยนรถม้าคันใหม่อยู่ดี” “จริงหรือเจ้าคะคุณหนู” หลินซือเยว่นับนิ้วพร้อมหลับตาลง “พรุ่งนี้อากาศจะเย็นลงอย่างฉับพลัน รถม้าคันนี้ไปไม่ถึงกลางทางแน่ คงต้องแวะทวงหนี้กันสักหน่อย” มุมปากนางกระตุกยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มสยองแบบบางเบา หลินอ้ายส่ายหน้าบ่นเบา ๆ กับตัวเอง “รถม้าข้ายังดี ๆ ช่างกล้าบอกว่าไปไม่ถึงกลางทาง เฮอะ !” สองเค่อต่อมารถม้าได้วิ่งเข้ามาในอำเภอฝู และล้อหักเพลาพังอยู่หน้าร้านขายยาพอดิบพอดี หลินอ้ายถึงกับด่ากราดไปทั่ว ไม่รู้จะทำอย่างไรในสถานการณ์ตอนนี้ เดินทำหน้าสิ้นหวังมาหาหลินซือเยว่ “รถม้าพังแล้วไปต่อไม่ได้” เพราะเจ้านั่นแหละมาแช่งรถม้าของข้า ! “เจ้าเป็นคนขับรถม้า เจ้าก็หาทางเอารถม้าไปซ่อมสิ” เผิงฉือไม่เข้าใจเหตุใดเขาถึงต้องทำตัวงุนงงเช่นนี้ด้วย คนขับรถม้ามีท่าทีกระอักกระอ่วนใจ ก่อนเอ่ยเสียงค่อยออกมา “ข้าได้เงินแค่ค่าอาหารกับที่พัก ไหนเลยจะมีเงินมาซ่อมรถม้า” “ตระกูลหลินยากจนเพียงนั้นรึ ถึงไม่ยอมให้เจ้าพกเงินมาเผื่อ” เผิงฉือใช้สายตาเชือดเฉือนหลินอ้าย “แล้วค่าใช้จ่ายของคุณหนูข้าล่ะ” นางอดขึ้นเสียงใส่ไม่ได้จริง ๆ หลินอ้ายทำท่าตกใจสุดขีด เขาส่ายหน้าไปมาอย่างคาดไม่ถึง กลายเป็นคนโง่ที่ลืมนึกถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร มารับคนกลับบ้าน ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เผิงฉือหันไปฟ้องผู้เป็นนายในทันที “คุณหนูเจ้าคะ ! คนตระกูลหลินไม่มีความจริงใจเลย พวกเรากลับไปที่อารามเถอะ ข้าไม่อยากให้คุณหนูไปแล้ว” หลินอ้ายรีบเอ่ย “ทำเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าได้รับคำสั่งมารับคุณหนูรอง หากไม่ได้คนกลับไปพ่อบ้านบอกว่าจะไล่ข้าออก” “มันใช่เรื่องของคุณหนูข้าไหม !” หลินซือเยว่ที่ยืนมองทั้งคู่โต้เถียงกัน อดที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่ได้ นางหันหน้าไปทางหลินอ้าย “เจ้ารออยู่ตรงนี้สักประเดี๋ยว ข้าจะไปหยิบยืมเงินจากคนรู้จัก จากนั้นเราจะได้หารถม้าคันใหม่กัน” “หยิบยืม ?” หลินอ้ายทำหน้าไม่ถูก แต่เขาเป็นบ่าวคงได้แค่รอตามคำสั่ง ก่อนหน้าเขาไม่ไว้หน้าคุณหนูรองผู้นี้ แต่ยามนี้เขาไม่มีทางเลือกจริง ๆ หากคุณหนูรองไม่หยิบยืมเงินผู้อื่น เขาจะพานางกลับตระกูลหลินไปได้อย่างไร
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม