7 : ข้าพิการนางปัญญาอ่อน
ตระกูลโจว
มีบุรุษรูปร่างผ่ายผอมทว่ายังมองเห็นเค้าโครงความหล่อเหลา กำลังนอนลืมตาอยู่บนเตียง ด้านข้างมีคนสนิทอย่างชุยเหลียง คอยรายงานข่าวคราวให้เขาฟัง
“เจ้าบอกว่าตระกูลหลินไม่ยอมรับนางเข้าจวนอย่างนั้นรึ”
“ขอรับคุณชายใหญ่ พวกเขาอ้างว่าดวงชะตาของนางไม่เป็นมงคล มีผลให้ตระกูลหลินตกต่ำหรือล่มจมลงได้ จึงให้นางพักอาศัยอยู่นอกจวน ห่างจากจวนใหญ่ไปหลายตรอกอยู่เหมือนกัน”
“นางคงเหมือนกับข้าสินะ เมื่อไร้ค่าก็หมดประโยชน์”
“ตระกูลหลินทำไม่ถูก เหตุใดถึงได้มอบสตรีปัญญาอ่อนผู้นั้นมาแต่งงานแทน หากท่านไม่ให้ข้าไปตามสืบก็คงไม่รู้ ว่าตอนเด็กนางได้รับอุบัติเหตุจนมีอาการปัญญาอ่อนขึ้น” ชุยเหลียงกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ นี่มันหยามหน้ากันเกินไปแล้ว
“ข้าพิการนางปัญญาอ่อน เหตุใดจะไม่เหมาะสมกันเล่า”
“คุณชายใหญ่ !”
“งานแต่งจะยังเกิดขึ้นหรือไม่ก็ไม่มีผู้ใดบอกได้ ชุยเหลียงเจ้าอย่าได้กังวลไปนักเลย ไม่ใช่ว่าวันนี้ท่านหมอเจินต้องเข้ามาดูอาการของข้าหรือ”
“ขอรับ สักพักคงมาถึงแล้ว คุณชายใหญ่ต้องการย้ายไปอยู่ที่ตั่งนอกเรือนหรือไม่”
“ไม่ต้อง อยู่ในห้องนี่แหละ สะดวกแก่ทุกคนดี”
“ขอรับ”
ชุยเหลียงเดินออกจากห้องนอนของโจวจื่อถงไป เขาก้มหน้าลงดวงตาแดงก่ำ รู้สึกสงสารผู้เป็นนายเหลือเกิน หากไม่ได้รับบาดเจ็บจนต้องป่วยหนักเช่นนี้ มีหรือคุณชายใหญ่ของเขาจะต้องได้รับความอยุติธรรม กระทั่งภรรยายังไม่สามารถหาที่คู่ควรได้
หลังจากท่านหมอเจินได้เข้ามาดูอาการของโจวจื่อถงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาต้องนำเรื่องเข้าไปรายงานแก่จางฮูหยิน ผู้เป็นมารดาของโจวจื่อถงทุกครั้ง
สตรีในวัยสี่สิบห้าปี ใบหน้าของนางแลดูแก่ชราเกินกว่าวัย นับตั้งแต่ที่บุตรชายของนางต้องนอนเป็นคนป่วย ท่อนล่างไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ สามีของนางโจวหลี่จวินก็หมดหวังในตัวของบุตรชายคนโต หันไปสนับสนุนคนบ้านรองแทน กระทั่งมาหานางที่เรือนยังนับครั้งได้ นานวันเข้าก็แทบจะลืมเลือนกันไป
“อาการของคุณชายใหญ่ยังคงเหมือนเดิมขอรับฮูหยิน ข้านั้นไร้ความสามารถยิ่งนัก รักษามาสองปีกว่าแล้วยังไม่อาจช่วยคุณชายใหญ่ได้” ท่านหมอเจินถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “ได้โปรดฮูหยินหาหมอท่านอื่นมารักษาคุณชายใหญ่ด้วยเถิด” ท่านหมอเจินไม่อาจเหนี่ยวรั้งการรักษานี้ได้อีกต่อไป
“ท่านจะให้ข้าไปหาหมอที่มากความสามารถมาจากไหนกัน” จางฮูหยินแค่นขำเบา ๆ กระทั่งหมอหลวงที่สามีของนางไปขอร้องฮ่องเต้ให้ช่วยเมตตา พวกเขาก็ไม่อาจรักษาอาการป่วยของโจวจื่อถงได้ อีกทั้งยังบอกว่าเขาไม่อาจมีชีวิตรอดได้เกินสามเดือน มีเพียงท่านหมอเจินผู้นี้ ที่ยังรั้งชีวิตของโจวจื่อถงมาได้ถึงสองปีกว่า
ท่านหมอเจินเองก็จนใจ เขานั้นพยายามเสาะแสวงหาหมอเทวดาในใต้หล้ามารักษา สุดท้ายก็เจอเพียงพวกหลอกลวงไปวัน ๆ หามีความสามารถแท้จริงไม่
“เทียบยาของท่านยังใช้ได้อยู่ ขอเพียงประคองอาการของถงเอ๋อร์ต่อไปได้...” จางฮูหยินลูบถ้วยชาแผ่วเบา
แม่นมอีเห็นนางไม่อยากเอ่ยสิ่งใดอีกต่อไป จึงหันไปทางท่านหมอเจิน “เชิญท่านหมอทางนี้เจ้าค่ะ”
แม่นมอีมอบค่ารักษาให้ พร้อมกับส่งเขาที่ประตูทางเข้าจวน ระหว่างทางก็เห็นฮูหยินรองฮู๋ซื่อเหมี่ยว กำลังเดินหน้าเชิดไปที่เรือนของแม่ทัพโจว มีสาวใช้สี่คนเดินตามหลังไปด้วย หากคนไม่รู้คงคิดว่านางเป็นฮูหยินใหญ่ของจวนไปเสียแล้ว แม่นมอีได้แต่กำหมัดใต้แขนเสื้อจนแน่น หากไม่เกิดเรื่องกับคุณชายใหญ่ของตน มีหรือฮูหยินรองจะได้มีโอกาสเชิดหน้าชูตาเช่นนี้
ถนนหยางฮัวใจกลางเมืองหลวง
หลินซือเยว่แต่งตัวในชุดผ้าป่านสีขาวเรียบง่าย มวยผมเป็นก้อนปล่อยยาวสยายด้านหลัง ปักปิ่นไม้เพียงหนึ่งอัน มีเผิงฉือกับหลินอ้ายเดินตามหลังมาติด ๆ
“ตรงนี้เป็นถนนหยางฮัวขอรับคุณหนูรอง ที่นี่เป็นแหล่งค้าขายอันดับต้น ๆ ของเมืองหลวง มีตรอกแยกย่อยเข้าไป ร้านค้าชื่อดังต่างก็อยู่ภายในตรอกเหล่านั้น ไม่ทราบว่าคุณหนูรองต้องการไปที่ใด ถามข้าได้นะขอรับ” หลินอ้ายแนะนำด้วยความหวังดี
หลินซือเยว่ “เดินดูไปก่อน”
นางสำรวจพื้นที่บริเวณถนนหยางฮัวด้วยความสนใจ หากนางต้องการลงทุนทำการค้าขาย คงต้องเป็นสถานที่แห่งนี้ ผู้คนมากหน้าหลายตา ช่างคึกคักดีเหลือเกิน
“หลินอ้ายเหตุใดตรอกนี้เงียบเหงานัก” เผิงฉือถามยามเดินผ่านตรอกที่มีชื่อลี่เซียน
หลินอ้ายเกาศีรษะเล็กน้อย ตอนตอบก็มีท่าทีเอียงอายราวหนุ่มน้อย “ตรอกนี้เป็นแหล่งรวมของหอนางโลมท่านป้าเผิง ตอนกลางวันก็เงียบเหงาเช่นนี้แหละ”
เผิงฉือกลอกตาใส่เขาหลังได้ยิน
หลินอ้ายรีบเอ่ย “ตรอกข้างหน้านั่นเป็นแหล่งรวมภัตตาคารชื่อดัง ถัดไปอีกตรอกก็เป็นร้านจำหน่ายเสื้อผ้ากับเครื่องประดับ ตรงนั้นเป็นหอโอสถกับโรงหมอขอรับ”
หลินซือเยว่เลือกภัตตาคารชื่อดังแห่งหนึ่ง นางเลือกโต๊ะนั่งติดหน้าต่าง ที่สามารถมองดูผู้คนบนท้องถนนใหญ่ได้อย่างถนัดตา นางนั่งโต๊ะคนเดียวเพราะต้องการใช้ความคิดในบางเรื่อง เผิงฉือจึงชวนหลินอ้ายไปนั่งอีกโต๊ะ
“ท่านป้าเผิงข้าไปรอข้างนอกก็ได้”
“เหลวไหล มาด้วยกันก็ต้องกินด้วยกัน เจ้านั่งลงกับข้านี่แหละ คุณหนูไม่ชอบให้ใครขัดใจนาง” เผิงฉือคุ้นชินกับนิสัยของหลินซือเยว่ดี นางมองมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้เท่าเทียมกัน แต่หากอยู่ต่อหน้าผู้อื่น ก็ต้องทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ
ขณะที่ทั้งสามกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ เสียงพูดคุยของบุรุษกลุ่มหนึ่งก็ดังขึ้น
“ฉีหมิงข้าได้ยินมาว่าคุณหนูหลินหมั้นหมายอยู่กับพี่ชายของเจ้า เหตุใดถึงได้ชวนนางไปเที่ยวงานชมบุปผาที่จะถึงนี้ได้ล่ะ”
“พวกเจ้าตกข่าวแล้วล่ะ สตรีดี ๆ ที่ไหนจะยอมแต่งงานกับคนพิการเช่นนั้นได้” โจวฉีหมิงกอดอกยิ้มเจ้าเล่ห์
“หืม ท่านพ่อของเจ้าจัดการเช่นไร” เสียงกระตือรือร้นของสหายผู้หนึ่งดังขึ้น
“ท่านพ่อข้าไม่ได้จัดการหรอก ตระกูลหลินต่างหากที่เป็นคนเปลี่ยนตัวเจ้าสาว”
“เปลี่ยนตัวเจ้าสาว ?”
โจวฉีหมิงพยักหน้าลง “ใช่”
“แล้วเจ้าสาวคนนั้นเขายอมได้อย่างไร ต้องแต่งกับคนพิการท่อนล่างขยับไม่ได้ ทำเรื่องอย่างว่าก็ไม่ได้ ไอหยา ! ข้าไม่อยากจะคิดเลย นางต้องทนทุกข์ทรมานไปชั่วชีวิตแน่”
“มันก็ไม่แน่หรอก ท่านแม่ของข้าให้คนไปสืบเรื่องของนางแล้ว พวกเจ้ารู้ไหมว่าพบเจอเรื่องอันใดเข้า”
“รีบเล่า ๆ”
“ตอนเด็กนางเกิดอุบัติเหตุทำให้กลายเป็นเด็กปัญญาอ่อน ถูกส่งออกไปอยู่ข้างนอกน่ะสิ”
“ไอหยา ! นี่ไม่เท่ากับว่าคนพิการแต่งงานกับคนปัญญาอ่อนหรอกรึ พวกเขารังแกแม่นางปัญญาอ่อนผู้นั้นเกินไปหรือเปล่า”
“ใครว่ารังแก ตระกูลหลินเสนอมาเองเช่นนี้ ท่านพ่อไม่รู้จึงตอบตกลงไป มารู้ภายหลังแล้วอย่างไร แก้ไขอันใดไม่ได้อีก เพราะตระกูลหลินไม่ยอมให้ยกเลิก บอกว่าเป็นสัญญาหมั้นหมายของสองตระกูล หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ทำผิดต่ออีกฝ่าย เช่นนั้นงานแต่งก็ยกเลิกไม่ได้เด็ดขาด !” แน่นอนว่าย่อมเป็นการย้อนคำของตระกูลโจวกลับคืนมา ทำให้น้ำท่วมปากเอ่ยออกไปก็ไม่ได้
เสียงหลอกล้อของบุรุษโต๊ะด้านหลังยังดังขึ้นไม่ยอมหยุด หลินซือเยว่ฟังจนจบคิ้วนางก็ขมวดเข้าหากันแน่น
แม่นางปัญญาอ่อนผู้นั้น ไม่ใช่หมายถึงข้าหรอกรึ
เรื่องราวเป็นเช่นนี้นี่เอง
ยามลุกออกจากภัตตาคารไป หลินซือเยว่ได้สำรวจใบหน้าของโจวฉีหมิง เป็นดวงเคราะห์ดอกท้อของจริง ชีวิตจะตกต่ำลงด้วยเรื่องของสตรี นางยิ้มเยาะเล็กน้อย สมน้ำหน้า !
หลินซือเยว่กลับมาถึงเรือนเฟยเฟิ่งในยามเย็น นางสามารถเปิดร้านทำนายดวงชะตาให้ผู้คนได้ ส่วนเรื่องรักษานั้นนางคงทำได้เพียงแค่เขียนเทียบยาให้ เพราะไม่ได้มีหอโอสถเป็นของตัวเอง แต่บางอย่างกลับกวนใจนางเหลือเกิน ราวกับว่ากำลังมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับผู้คนรอบตัวของนาง
ตกดึกหิมะตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ นางนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง ที่แง้มเอาไว้เพียงเล็กน้อย ไออุ่นภายในห้องปะทะกับความหนาวเย็นที่ผ่านซอกหน้าต่างเข้ามา นางเริ่มทำนายดวงชะตาของตระกูลหลิน
นี่ไม่ใช่เรื่องดี ตระกูลหลินกำลังเจอเคราะห์หนัก
วันรุ่งขึ้นหลินซือเยว่เดินทางไปยังจวนตระกูลหลิน ขอเข้าพบบิดามารดาของนาง แต่คนเฝ้าประตูกลับปฏิเสธบอกว่าเป็นคำสั่งของพ่อบ้านหม่า ห้ามไม่ให้คุณหนูรองเข้าไปในจวน
“คุณหนูมีเรื่องอันใดสำคัญหรือไม่” เผิงฉือยังไม่เข้าใจการกระทำของหลินซือเยว่
“ไม่รู้สิ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันป้าเผิง หากข้าเข้าไปได้อาจจะมองปัญหาเรื่องนี้ออก แต่ช่างเถิดวาสนาของพวกเขานั้นไม่มี ไม่อาจฝืนลิขิตฟ้าไปได้”
นางเอ่ยเท่านั้นก็หมุนตัวกลับ เผิงฉือเดินตามหลังนางไปติด ๆ หลินอ้ายได้รับคำสั่งให้บังคับรถม้ากลับไปยังเรือนเฟยเฟิ่ง
“คุณหนูเจ้าคะ”
“ชะตาพวกเขากับข้าผูกไว้ด้วยกัน เคราะห์คราวนี้ข้าเองคงหนีไม่พ้น”
“คุณหนู !” เผิงฉือรู้ดีว่าคำทำนายของหลินซือเยว่แม่นยำเพียงใด หากหาหนทางแก้ไขไม่ได้ มีเพียงต้องยอมรับมันเอาไว้