บทที่ 12
คู่หมั้น
"กลับกันเลยไหม" ลุคที่ยืนรออยู่ด้านนอกเอ่ยปากถามเมื่อเห็นว่าปิ่นกำลังเดินออกมา พร้อมกันนั้นร่างสูงที่เขาเห็นหน้าค่าตาตามงานสังคมอยู่บ่อยครั้งก็รีบจับไหล่มนของหญิงสาวให้อยู่ห่างมากที่สุด
"เอ่อ...ลุค ขอบคุณมากนะที่มาส่งที่นี่น่ะ"
"เธอจะกลับกับเขาเหรอ" ลุคตามอย่างตรงไปตรงมา เขาไม่รู้หรอกว่าอิฐเป็นอะไรกับเธอ แต่อย่างน้อยให้ตัวเขาเป็นคนไปส่งเธอก็ยังดี
"แล้วมีปัญหาอะไร" อิฐตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ หงุดหงิดตั้งแต่ขับรถมาที่สถานีตำรวจแล้วเห็นไอ้ลูกเพื่อนพ่อเสนอหน้าอยู่ที่นี่แล้ว แต่สมองก็สั่งการให้เขาจัดการกับพี่สาวใจมารของเธอเสียก่อน
"พี่อิฐเป็นแฟนปิ่นเหรอ"
"ปะ...เปล่านะ ไม่ใช่ คือ...เอ่อคือเราเป็นน้องสาว เอ่อ...น้องข้างบ้านน่ะ" ปิ่นส่ายหน้าหวือและยกคำโกหกที่อิฐเคยบอกกล่าวกับเพื่อนของเขาขึ้นมาแทน
ไม่รู้ว่าจะบอกยังไงเหมือนกันว่าเธอและเขาเป็นอะไรกัน เด็กสาวผู้น่าสงสารกับผู้มีพระคุณอย่างนั้นเหรอ?
หากบอกออกไปแบบนั้นก็ยิ่งไม่มีใครเชื่อเข้าไปใหญ่
"ไปกันได้แล้ว" อิฐเดินนำไปยังรถยนต์ของตัวเองโดยไม่คิดสนใจเด็กเมื่อวานซืนอย่างลุคเลยแม้แต่น้อย อย่างไรแล้วเขารู้ดีว่าปิ่นก็ต้องเลือกไปกับเขาแทนที่จะกลับกับเพื่อนร่วมคณะที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน
แม้ไม่ได้สนิทสนมกับหญิงสาวมากนักแต่เขาก็รู้ว่านิสัยของเธอนั้นเป็นอย่างไร เธอไม่ใช่คนที่จะไว้ใจใครได้ง่าย ๆ ยิ่งเพื่อนกวนตีนที่รู้จักกันไม่กี่วันก็ยิ่งแล้วใหญ่ เขาเลยเป็นคนเดียวที่อยู่ในตัวเลือกของเธอ
"ขอบคุณอีกครั้งนะลุค ฉันไปก่อนนะ" ปิ่นโค้งศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะรีบจ้ำอ้าวตามคนตัวโตไปอย่างรวดเร็ว
เธอขึ้นนั่งประจำที่ฝั่งข้างคนขับจนกระทั่งตัวรถยนต์ขับเคลื่อนออกไปตามทาง โดยมีเสียงเพลงเบา ๆ ที่เปิดกล่อมคลอไปด้วย สายตาหวานเหลือบมองคนข้างกายเล็กน้อย เห็นเขาเงียบเธอจึงเปิดประโยคขึ้นด้วยการขอบคุณสำหรับการแก้แค้น ที่เธอไม่เคยต้องการมันก็ตาม
"ขอบคุณพี่อิฐนะคะ เรื่องที่สถานีตำรวจ" เสียงเล็กเอ่ยแผ่วเบาขณะที่สายตาก็กดลงมองด้านล่างเพราะไม่กล้าเชยมอง
"ทำไมถึงไม่เอาค่าทำขวัญ อย่างน้อยเธอก็จะได้มีเงินเก็บ ไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้"
"งาน...โอ๊ะ! จริงสิ ปิ่นลืมไปเลยว่าปิ่นต้องไปทำงานที่ร้านกาแฟ! พี่อิฐช่วยจอดตรงป้ายข้างหน้าให้หน่อยได้ไหมคะ" แววตาหวานเบิกกว้างเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ หลังเลิกเรียนเธอตั้งใจจะรีบนั่งวินไปที่ทำงาน แต่ก็ได้รับสายตากเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียก่อน พอเคลียร์เรื่องจบเธอก็ลืมหน้าที่ของตัวเองไปโดยปริยาย แถมยังไม่ได้โทรบอกกล่าวกับเจ้าของร้านอีกด้วย
มือเล็กหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรเข้าหาเจ้าของร้านด้วยความร้อนรน สายตาก็จดจ้องมองข้างทางหวังให้อิฐช่วยจอดที่ป้ายรถเมล์ เพื่อที่เธอจะได้สะดวกกับการต่อรถกลับไปทำงาน
"ฮัลโหลพี่แยมคะ ปิ่นเองนะคะ"
(ปิ่นเหรอ ปิ่นเป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้ปิ่นต้องเข้างานไม่ใช่เหรอ)
"ปิ่นขอโทษค่ะพี่แยมที่ปิ่นไม่ได้บอก คือปิ่นมีเรื่องนิดหน่อยเลยต้องไปที่สถานีตำรวจ แต่ตอนนี้เคลียร์ทุกอย่างแล้วค่ะ ปิ่นจะรีบกลับเข้าไปที่ร้านนะคะ"
(สถานีตำรวจเหรอ!? งั้นเอางี้นะปิ่น วันนี้พี่ให้ลาไปเลย ปิ่นไม่ต้องมาทำงานหรอกจ้ะ)
"แต่ว่า..."
(เอาเถอะ ถือซะว่าพักบ้างแล้วกันเนอะ พี่ไม่ได้โกรธอะไรหรอก พี่รู้ว่าปิ่นมีความรับผิดชอบ แล้วพี่ก็รู้ว่าที่ปิ่นไม่มาทำงานก็คงต้องมีเรื่องด่วนแน่ ๆ)
"ขอบคุณนะคะพี่แยม ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้กับมะรืนปิ่นจะทำงานชดเชยให้นะคะ ขอโทษพี่แยมด้วยนะคะที่ปิ่นไม่ได้โทรมาแจ้งก่อน"
(โอ๊ย ไม่เป็นไร ๆ วันนี้ลูกค้าน้อย นี่แทบจะนั่งหลับกันอยู่แล้ว ปิ่นไม่ต้องห่วง วันนี้พักผ่อนให้เต็มที่ล่ะ)
"ค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะพี่แยม" ปิ่นกล่าวขอบคุณกับเจ้าของร้านอีกครั้งก่อนที่เธอจะวางสายไป
พอหันไปมองคนข้างกายก็เห็นว่าเขายังคงทำหน้าขรึม ทั้งยังเหยียบคันเร่งตรงไปตามหนทางโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
"แหะ...คือปิ่นไม่ต้องไปทำงานแล้วล่ะค่ะพี่อิฐ"
"จะทำอะไรนัก เดือดร้อนขนาดนั้นเลยหรือไง" อิฐเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกว่าชีวิตของเธอจะวนเวียนกับการทำงานพาร์ทไทม์มากกว่าชีวิตนักศึกษาเสียอีก
"ก็ถ้าไม่ทำงานปิ่นก็ไม่มีเงิน" เสียงเล็กตอบเบา ๆ
"ก็ฉันเคยบอกแล้วไงว่าจะให้เงินรายเดือน เด็กอย่างเธอตั้งใจเรียนไปก็พอ"
"ทำไมพี่อิฐต้องให้เงินปิ่นด้วยล่ะคะ แค่ให้ที่อยู่อาศัยก็มากเกินไปแล้ว ปิ่นเกรงใจ" เธอหันมองอิฐด้วยความแปลกใจ หากเธอแบมือขอเงินจากเขาก็เท่ากับว่าเธอกำลังเกาะเขากิน
"เธอนี่มัน...!"
"เย็นนี้ปิ่นจะทำสปาเกตตี พี่อิฐมาทานด้วยกันไหมคะ" หญิงสาวฉีกยิ้มเมื่อเห็นว่าอิฐกำลังโกรธ เธอเลยเลือกยกเมนูมื้อเย็นขึ้นมาเบี่ยงประเด็นแทนที่จะมีปากเสียงกันในเรื่องการทำงานพิเศษของเธอ
"ทำเป็นหรือไง"
"เป็นสิคะ ขนาดสเต๊กครั้งนั้นปิ่นยังทำให้พี่อิฐทานได้เลย" ได้ทีก็รีบยอตัวเองใหญ่ เธอทำอาหารได้หลากหลายเพราะชอบเข้าครัวกับแม่อยู่บ่อย ๆ บางครั้งก็ดูสูตรตามอินเทอร์เน็ตมาบ้าง มันไม่ได้ยากเกินความสามารถของเธอเลยสักนิด
"ฮึ เรียนจบแล้วไปเป็นเชฟแทนนักบัญชีเถอะ"
"เป็นเชฟทำอาหารให้พี่อิฐทานก็พอค่ะ ทำให้คนอื่นปิ่นกลัวโดนด่าอะ" หญิงสาวส่ายหน้าพร้อมด้วยเสียงหัวเราะร่า รสชาติของอาหารฝีมือเธอไม่ได้จัดว่าดีเลิศถึงขั้นต้องเปิดร้าน เธอเพียงทำกินภายในบ้านและไม่คิดจะตั้งตัวเป็นเชฟทำอาหารขายให้กับใครด้วย
"จะถือว่าพิเศษแล้วกัน" อิฐยกยิ้มบาง ๆ พลางส่ายหัว รถยนต์ขับตรงไปยังคอนโดฯ ที่เขายกให้เธออยู่ แถมยังเรียกได้ว่าเป็นร้านอาหารขนาดย่อมที่เขามักจะมาฝากท้องกับที่นี่อยู่เป็นประจำ
และเชฟมือดีก็คือยัยเด็กสาวตาแป๋วคนนี้นี่แหละที่โชว์ฝีมือควงตะหลิวรังสรรค์อาหารน่าทานมาให้อยู่ตลอด
เมื่อกลับมาถึงห้องเชฟประจำตัวก็เข้าครัวทำอาหารในทันที ปิ่นจัดเตรียมเนื้อสัตว์และของอื่น ๆ ออกมาจากตู้เย็น หลังจากนั้นก็หันไปต้มเส้นก่อนเป็นอันดับแรกเพราะใช้เวลานานกว่าใครเพื่อน ส่วนอิฐก็นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงเคาน์เตอร์ เขาเท้าคางมองการกระทำของหญิงสาวราวกับหัวหน้าที่กำลังพิจารณาเชฟในร้านไม่มีผิด
"พี่อิฐจ้องปิ่นทำไมคะ"
"ก็จะดูไง"
"จ้องขนาดนี้ปิ่นไม่มีสมาธิค่ะ" เธอเอ่ยเสียงเข้ม อยู่ ๆ มาถูกจ้องแบบนี้ก็เกร็งเป็นเหมือนกัน
"อยากช่วย มีอะไรให้ช่วยไหม" อิฐอาสาเสนอตัว นั่งเฉย ๆ แล้วมันว่างเกินไป เห็นข้าวของที่เธอจัดเตรียมก็ออกมาเยอะพอสมควร หากลงมือช่วยก็คงจะทำให้เสร็จไวขึ้น
"อืม...หั่นหัวหอมก็ได้ค่ะ เสร็จแล้วก็สับมะเขือเทศ"
อิฐพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เขาเดินอ้อมมายังในครัว ยืนอยู่หน้าเขียงก่อนที่หัวหอมและมะเขือเทศจะวางหย่อนด้วยฝีมือของคนตัวเล็ก
"ทำเป็นไหมคะ เคยเข้าครัวหรือเปล่า"
"ไม่เคย"
"แล้วจะรอดไหมคะเนี่ย งั้นปิ่นทำเองดีกว่า พี่อิฐไปนั่งรอเหมือนเดิมเถอะค่ะ" หญิงสาวยู่หน้าใส่ ตอนแรกเธอนึกว่าเขาจะทำเป็น ที่ไหนได้ คุณชายไม่เคยจับมีดเข้าครัวเลยด้วยซ้ำ
"เอ้า ก็ฉันบอกว่าจะ..."
ครืด...ครืด...
เสียงโทรศัพท์ดังแทรกขึ้นทำให้อิฐต้องหยุดบทสนทนา โทรศัพท์ของเขาวางอยู่ที่เคาน์เตอร์ มันกำลังสั่นครืดไม่หยุดแถมหน้าจอก็ยังโชว์เบอร์ที่เขาไม่อยากกดรับสายเลยสักครั้ง
"ไม่รับสายเหรอคะ ปิ่นไปหยิบให้ไหม" หญิงสาวเอ่ยถาม เห็นว่าอิฐมองมันสักพักแต่ก็ไม่ได้หยิบขึ้นมารับสายเสียที
"อืม"
มือเล็กหยิบโทรศัพท์ส่งให้เขา แต่สายตาคมกลับบอกชัดว่าให้เธอกดรับสายและถือโทรศัพท์แนบที่หูของเขาให้ด้วย
ปิ่นทำตามที่เขาต้องการ เธอกดรับสายและแนบมันไว้กับหูของอิฐ เธอแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่รับเอง แต่พอเห็นเจ้าตัวกำลังหยิบหัวหอมมาหั่นก็เลยเข้าใจว่าเขาคงจะรับสายและช่วยเหลือเธอไปด้วย
"ฮัลโหล"
(พี่อิฐอยู่ไหนคะ)
เสียงหวาน ๆ ดังเล็ดลอดออกมาแม้ว่าเธอจะไม่ได้ตั้งใจแอบฟังก็ตาม ปิ่นที่อยู่ในท่ายกมือถือโทรศัพท์ให้กับเขาถึงกับเบี่ยงสายตาออกไปอีกทาง ตอนนี้เธอเหมือนจิ้งจกที่กำลังเสียมารยาทแอบเขายังไงไม่รู้
"มีอะไรหรือเปล่าครับ"
(ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่คิดถึง วันนี้เราไปดินเนอร์กันนะคะ)
"แต่พี่..."
(ห้ามปฏิเสธนะคะคุณหมั้น พี่อิฐปฏิเสธแววมาหลายครั้งแล้ว)
ทว่า...คำว่า 'คู่หมั้น' ที่ดังออกมาทำให้ปิ่นถึงกับเบิกตากว้างและรีบหันมองคนตัวโตในทันที
อิฐจึงรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาจากมือของปิ่นก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปเพื่อคุยกับปลายสายลำพัง เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำคำนี้ออกมาเหมือนกัน อยู่ ๆ ก็รู้สึกวูบไหวขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
"พี่ว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะแวว" อิฐกดเสียงต่ำที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินออกมาไกลจากปิ่นพอสมควร เพราะไม่อยากให้เธอได้ยินอะไรไปมากกว่านี้
(ทำไมล่ะคะ ก็พ่อของพี่อิฐ...)
"แววจะให้พี่ไปหาที่ไหนบอกมา"
(แบบนี้ค่อยน่ารักหน่อย...มาเจอกันที่ร้าน S ค่ะ แววจะรอ)
อิฐกดวางสายด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ก่อนที่เขาจะเดินกลับไปหาคนตัวเล็กที่กำลังบรรจงหั่นผักอยู่เงียบ ๆ
เขาคงต้องขอตัวเพราะมีเรื่องที่ต้องจัดการให้เข้าใจตรงกันเสียที
"พอดีว่าฉันมีธุระ มื้อนี้ฉันคงไม่..."
"ค่ะพี่อิฐ" ปิ่นเงยหน้าขึ้นและส่งยิ้มบาง ๆ เธอรู้อยู่แล้วว่าเขาคงจะต้องไปหากับคนปลายสายที่โทรเข้ามา ส่วนมื้อนี้เธอเองก็คงต้องลิ้มรสมันเพียงคนเดียว
"ไว้ครั้งหน้าฉันจะมาฝากท้องด้วยนะ" อิฐบอกทั้งที่สายตายังคงจ้องมองใบหน้าไม่ห่าง
เขารู้สึกเหมือนคนกำลังทำผิดอะไรบางอย่าง แต่เห็นหญิงสาวตรงหน้าไม่แสดงอาการอะไรกลับยิ่งทำให้ร้อนรนเป็นเท่าตัว
"ค่ะ ขับรถดี ๆ นะคะ" ปิ่นบอกกับเขาแค่นั้นก่อนจะหันไปสนใจกับเส้นสปาเกตตีที่กำลังต้มอยู่ในหม้อ
อิฐมองแผ่นหลังบางอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินออกจากห้องไป โดยไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา พลันเมื่อทุกอย่างตกอยู่ภายใต้ความเงียบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กักเก็บไว้นั้นก็พรั่งพรูออกมา
แววตาหวานทอดมองไปตามประตูที่เขาเพิ่งเดินจากไป ส่วนหัวใจดวงน้อยก็เต้นระส่ำหวั่นไหว และเสียใจขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
"คู่หมั้นอย่างนั้นเหรอ..." เสียงพึมพำเบา ๆ ยังคงสะท้อนก้องอยู่ในหัว
ทำไมกันนะ ทำไมเธอถึงเจ็บปวดขึ้นมา...
__________________________
อ้าวว ยังไงซิ ยังไงๆๆๆๆๆๆ