บทที่ 11
แก้แค้น
"สรุปว่าพี่อิฐไปมีเรื่องกับใครมาคะ" ปิ่นเอ่ยถามขณะที่มือเล็กก็ค่อย ๆ ทำแผลให้กับอิฐแผ่วเบา
หลังจากที่มาถึงคอนโดฯ หญิงสาวก็จัดเตรียมอุปกรณ์พยาบาลที่มีติดห้องมาทำแผลให้กับอิฐ ซึ่งแน่นอนว่าเธอสงสัยแผลนี้มาตั้งแต่ต้นแล้วว่าเขาต้องไปมีเรื่องกับใครมาเป็นแน่ แต่อิฐบอกเพียงว่า 'มีเรื่องกับหมา' แถมยังเฉไฉเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่นอีก
"ก็บอกแล้วไงว่า..."
"หมามันต่อยคนไม่ได้หรอกค่ะ" ปิ่นขมวดคิ้วยุ่งและเอ่ยแทรกออกไปเมื่อรู้ว่าเขาจะตอบคำเดิม
"แต่ตัวนี้มันต่อยได้ไง"
"โอเคค่ะ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก" ปิ่นยอมแต่โดยดี เธอบรรจงและพยายามกดน้ำหนักมือให้เบาที่สุด กลัวว่าใบหน้าหล่อ ๆ ของเขาจะระคายเคืองหรือบวมช้ำมากกว่าเดิม
ความเงียบเข้าปกคลุมไม่มีคำใดเอ่ยออกมาจากปากของสองคน อิฐเบือนสายตาไปอีกทาง แต่อยู่ ๆ ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกที่ใบหน้าหวาน ๆ ของปิ่นกำลังขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที
"แล้วหน้าเธอล่ะ โดนตบมาเหมือนกันนี่" อิฐทำลายความเงียบเมื่อเห็นรอยแดงบนแก้มของเธอ
เขาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างชัดเจน เธอถูกตบจนร่างกายทรุดลงกับพื้น แถมยังถูกด่าเหยียดต่อหน้าลูกค้าภายในร้าน ซึ่งคนคนนั้นคือพี่สาวใจยักษ์ที่เคยวางยาทำให้เขาและเธอมีความสัมพันธ์ที่เกินเลยต่อกัน
เขาไม่คิดเลยว่าเด็กสาวตัวเล็ก ๆ จะต้องมาพบเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้...
"คนนั้นคือพี่มะเหมี่ยวค่ะ สวยใช่ไหมล่ะ" ปิ่นตอบยิ้ม ๆ แต่สายตาก็ยังจดจ้องกับการทำแผลตรงหน้า
"ไม่เห็นจะสวย นิสัยก็แย่" อิฐรีบส่ายหน้าหวือ แค่เห็นการกระทำชั่วช้าเหล่านั้นเขาก็แทบไม่อยากจะมองหน้าผู้หญิงคนนั้นแล้ว ต่อให้สวยระดับนางงาม แต่ถ้านิสัยเป็นแบบนั้นเขาก็เห็นว่าเป็นคนไร้ค่าคนหนึ่ง
"ใคร ๆ ก็บอกว่าพี่สาวของปิ่นสองคน พี่มะเหมี่ยวแล้วก็พี่มัดหมี่สวยเหมือนนางฟ้า ส่วนลูกเมียน้อยอย่างปิ่นเหมือนลูกคนใช้ หน้าตาน่าเกลียด"
"ถ้านางฟ้านิสัยเลวแบบนั้นก็อย่ามีมันเลยสวรรค์อะ ให้นางฟ้าสองตนนั้นไปคุมนรกเถอะแม่คุณ" อิฐค่อนขอดอย่างเปิดเผย ตากระตุกยิบ ๆ ว่าใครเขาช่างเปรียบเทียบกันนัก
นางฟ้ากับลูกคนใช้งั้นเหรอ?
เหอะ...ลูกคนใช้ที่เขาเห็นออกจะน่ารัก!
สายตาคมเคลื่อนมองที่แววตาหวาน ดวงตากลมโตของเธอเปล่งประกาย ยิ่งอยู่บนใบหน้าหวาน ๆ ก็ยิ่งทำให้ผู้หญิงคนนี้สวยงามเข้าไปใหญ่ เขาล่ะอยากจะเห็นหน้าใครคนช่างเปรียบเทียบเสียจริงว่านางฟ้าที่ว่าน่ะคือนางฟ้าจอมปลอมที่ย้อมแมวมาจากขุมนรกหรือเปล่า
"เสร็จแล้วค่ะ พรุ่งนี้ก็คงหล่อเหมือนเดิม" หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อจัดการทำแผลให้กับคนตัวโตเสร็จ เธอนั่งลงบนพื้นพรม จัดการเก็บข้าวของใส่กล่องอย่างเป็นระเบียบ โดยที่การกระทำเหล่านั้นอยู่ในสายตาของอิฐตลอด
"แล้วเธอล่ะ ไม่ทายาสักหน่อยเหรอ"
"ไม่ค่ะ ปิ่นหนังหนา โดนตบมาจนชินแล้ว" ปิ่นยิ้มพลางหัวเราะให้กับโชคชะตา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอโดนตบโดยฝีมือของผู้เป็นพี่ เรียกได้ว่านับไม่ถ้วนที่เธอเป็นคนรองมือรองเท้าให้กับคนในบ้านหลังนั้น
"อยากแก้แค้นหรือเปล่า"
"หืม แก้แค้นอะไรคะ"
"ก็แก้แค้นกับคนที่ตบเธอไง" อิฐมองหญิงสาวอย่างเอาคำตอบ ลึก ๆ ก็หวังอยากให้เด็กคนนี้ตอบโต้กลับไปบ้าง ซึ่งตัวเขาเองนี่แหละที่จะจัดการให้เธอเอง
"ไม่เอาหรอกค่ะ ปิ่นสู้พวกเขาไม่ได้หรอก ปิ่นอยากอยู่เงียบ ๆ ดีกว่า"
"ก็ไม่ได้บอกว่าจะให้เธอสู้คนเดียวสักหน่อย ลืมไปแล้วหรือไงว่าฉันก็อยู่ทั้งคน"
ประโยคนั้นทำเอาปิ่นถึงเงียบไปในทันที แววตาหวานกระตุกวูบ ก่อนที่เธอจะปรับให้มันเป็นปกติและเชยใบหน้าขึ้นมองเขาด้วยความรู้สึกบางอย่าง
"ไม่ดีกว่าค่ะ แค่นี้ปิ่นก็รบกวนพี่อิฐมากแล้ว นี่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนยังไงแล้วค่ะ"
"อยากจะตอบแทนอะไรนัก ที่ช่วยก็เพราะอยากช่วย ไม่ได้อยากให้ใครมาตอบแทน" อิฐขมวดคิ้วมองคนตัวเล็กด้วยสายตาดุ หากสนิทสนมกันมากกว่านี้เขาคงได้จับเธอมาตีสั่งสอน พูดถึงแต่คำว่าตอบแทน ทำเหมือนกับว่าตัวเขาช่วยเหลือเพราะหวังผลอะไรแบบนั้น
"ก็ปิ่น..."
"ฉันจะกลับแล้ว ล็อกห้องดี ๆ ด้วยล่ะ" อิฐหยัดกายขึ้นและเดินตรงไปยังประตู โดยที่ไม่ได้หันมามองคนตัวเล็กเลยสักนิด
ตอนนี้เขากำลังหงุดหงิด ไม่ควรแสดงอารมณ์ออกไปให้เธอกลัว เพราะเวลาที่เขาโกรธมันน่ากลัวกว่าตอนนี้หลายร้อยเท่า
"ค่ะ ขับรถกลับดี ๆ นะคะ" ปิ่นเดินตามมายังประตูและมองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังเดินออกไป
เจ้าของห้องใจดีเดินจากไป ตามด้วยประตูห้องที่ปิดลงและเข้าสู่ห้วงรัตติกาลในที่สุด
วันถัดไป
ปิ่นเลิกเรียนในเวลาบ่ายสอง สถานที่ถัดไปจากมหาวิทยาลัยก็คงไม่พ้นร้านกาแฟที่ทำงานของเธอ หญิงสาวก้าวไปตามทางฟุตพาทเพื่อตรงไปยังวินมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ตึกเยื้องตรงข้าม
แต่พอจะข้ามถนนกลับมีรถมอเตอร์ไซค์ทรงสูงคันหนึ่งขับเข้ามาจอดปาดหน้า พานทำให้ขาเล็กต้องชะงักกึกด้วยความตกใจ
"จะไปไหน เดี๋ยวฉันไปส่ง" เสียงเข้มเอ่ยขณะที่ใบหน้ายังถูกปกปิดด้วยหมวกกันน็อกเต็มใบ
ปิ่นขมวดคิ้วมองเล็กน้อย แต่ไม่นานก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคนนั้นคือใคร
"ไม่เป็นไร ฉันไปเองได้"
"ก็จะไปส่งอะ" อีกฝ่ายยังย้ำชัดคำเดิม อีกทั้งตอนนี้ยังถอดหมวกกันน็อกออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังทำท่าฟึดฟัดไม่พอใจกับการถูกปฏิเสธ
"นี่ลุค นายจะไปส่งฉันทำไม ฉันจะ..."
"ก็อยากไปส่ง เธอเป็นเพื่อนฉัน ฉันเห็นเพื่อนเดือดร้อนฉันก็ต้องช่วยดิ"
"ฉันไม่ได้เดือดร้อนอะไร นายไปเถอะ ฉันจะนั่งวินไปทำงานแล้ว เดี๋ยวสาย" ปิ่นถอนหายใจหนัก ๆ อยากจะบอกออกไปมากว่าเธอไม่ใช่เพื่อนของเขาสักหน่อย พูดคุยกันแค่ไม่กี่คำกี่ประโยค จะให้เขาขับรถไปส่งมันก็แปลก ๆ ยังไงชอบกล
"ดื้อจังวะ ทำไมถึงดื้อนัก"
"นี่นาย...!"
ครืด...ครืด...
ก่อนที่ปิ่นจะได้เอ่ยคำใดออกไปแรงสั่นจากโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น มือเล็กหยิบมันออกมาก็พบว่าเป็นเบอร์แปลกที่ไม่ได้บันทึกเอาไว้ ก่อนจะรับสายก็ไม่วายส่งสายตาไม่พอใจให้กับคนตรงหน้าที่กอดอกมองไม่ยอมไปเสียที
"ฮัลโหล สวัสดีค่ะ"
(สวัสดีครับ ผมโทรมาจากสถานีตำรวจนะครับ...)
"คะ...ใครนะคะ ตำรวจเหรอคะ!?" ปิ่นเบิกตากว้างเมื่อได้ยินประโยคแรกจากปลายสาย
เธอสนทนาอยู่ชั่วครู่จนได้ความว่าเธอต้องไปที่สถานีตำรวจโดยด่วน เหตุเพราะมีอะไรเกิดขึ้นบางอย่างซึ่งตัวเธอเองก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นกัน
"อะไร มีอะไรหรือเปล่า" ลุคเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของปิ่นที่เปลี่ยนไป
"คือ...เมื่อกี้มีคนโทรมาอะ บอกว่าให้ฉันไปที่สถานีตำรวจด่วน"
"ฮะ? สถานีตำรวจเหรอ"
"อื้อ ไม่รู้ว่าเป็นพวกแก๊งคอลเซนเตอร์หรือเปล่า"
"ไม่น่านะ ถ้าเป็นพวกหลอกลวงมันก็คงไม่ให้เธอไปที่สถานีตำรวจหรอกมั้ง แต่เธอน่ะไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่า"
"ไม่มีนะ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย..." เสียงเล็กเอ่ยแผ่วเบาพลางนึกคิดถึงความผิดพลาดของตัวเอง แต่ไม่ว่าจะคิดเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรผิดถึงได้มีตำรวจโทรมาหาแบบนี้
"งั้นก็ขึ้นรถแล้วไปที่สถานีตำรวจกัน"
"ไม่ต้อง ๆ เดี๋ยวฉันไปเอง"
"เผื่อเธอโดนหลอกทำไงล่ะ ให้ฉันไปด้วยนี่แหละ สองหัวน่าจะดีกว่าหัวเดียวนะ" ลุคตบที่เบาะมอเตอร์ไซค์ของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าประโยคนั้นทำเอาปิ่นถึงกับคิดเปลี่ยนใจตอบตกลงเขาในทันที
"กะ...ก็ได้"
"ไม่มีหมวกของเธอนะ ปกติพกมาแค่ใบเดียว"
"อื้ม ไม่เป็นไร"
"เกาะดี ๆ ล่ะ ฉันจะซิ่งแล้ว"
ปิ่นขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังติดมากับคำพูดของเขา เธอไม่รู้ว่าเขาจะแกล้งอะไรหรือเปล่า แต่ก็ใช้ปลายนิ้วจับที่ชายเสื้อนักศึกษาของเขาเอาไว้ในระหว่างที่ตัวเองกำลังนั่งซ้อนท้าย
โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าการกระทำนั้นทำให้รอยยิ้มของเขาผลิบานอย่างไม่รู้ตัว…
ทั้งสองคนมาถึงที่หมายโดยใช้เวลาเพียงสิบนาที ปิ่นรีบลงจากรถและตรงปรี่เข้าไปด้านในด้วยความร้อนรน แต่สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกกลับทำให้เธอชะงักด้วยความตกใจ
"พี่เหมี่ยว..."
"อีปิ่น! นี่มึงกล้าแจ้งความจับกูเหรอ! อีน้องเวร อีน้องทรยศ!"
ทันทีที่ปิ่นเดินเข้าไปเธอก็ได้รับคำด่าทอกลับมาในทันที
ตอนนี้เธอยังจับจุดอะไรไม่ถูก แต่สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือมะเหมี่ยวที่กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตรงหน้าของนายตำรวจหนุ่ม ถัดไปข้าง ๆ ก็คือแม่เลี้ยงของเธอนั่นเอง
"นังปิ่น! แกทำแบบนี้กับพี่แกได้ยังไงฮะ!? แกใช้มารยาอะไรถึงได้ไปบอกตำรวจว่าเหมี่ยวทำร้ายร่างกายแก!"
"ทำร้ายร่างกายเหรอคะ แต่ปิ่นไม่..."
"ผมมีหลักฐานทุกอย่าง แล้วผมก็ส่งให้ตำรวจแล้วเรียบร้อยด้วย ถ้าคุณอยากเห็นผมก็ยินดีที่จะเปิดให้ดูตรงนี้"
ทว่า...ก่อนที่ปิ่นจะเอ่ยปฏิเสธกลับมีเสียงเข้มที่แทรกขึ้น พอหันกลับไปมองก็พบว่าเขาคนนั้นคืออิฐที่เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ที่ข้างกายของเธอ
"พะ...พี่อิฐ!"
"นี่แกเป็นใคร! เป็นผัวอีปิ่นมันเหรอ!?"
"มะ...ไม่ใช่นะคะแม่ เขาไม่ใช่..."
"เป็นอะไรมันก็ไม่สำคัญหรอก รู้แค่ว่าลูกสาวของคุณกำลังโดนข้อหาทำร้ายร่างกาย กรุณาเตรียมค่าปรับแล้วก็ค่าทำขวัญเอาไว้ด้วย!" อิฐเอ่ยเสียงเรียบแต่กลับเต็มไปด้วยความดุดันที่เปล่งออกไป
"พะ...พี่อิฐคะ แต่ปิ่นไม่อยากทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่"
"ไม่ได้ ยัยนี่จะได้รู้ซะบ้างว่าไม่ควรไปตบใครสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วฉันบอกไว้เลยนะนอกจากค่าทำขวัญแล้วยัยพี่ใจยักษ์ของเธอก็ต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับที่คลับด้วย"
"ไม่นะ! พวกแกมันหน้าเลือด ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันก็แค่สั่งสอนน้องสาวของฉันเท่านั้น!"
"เก็บคำแก้ตัวไว้แล้วก็ควักเงินออกมาดีกว่า อย่าพูดให้มากเลยมันน่ารำคาญ" อิฐกอดอกมองฝ่ายตรงข้ามที่พยายามหาข้อแก้ตัวได้อย่างหน้าด้าน ๆ
"พี่อิฐ นี่เหรอคะวิธีแก้แค้นที่พี่อิฐหมายถึง" มือเล็กกระตุกที่แขนเสื้อของคนตัวโตเมื่อนึกถึงคำพูดของเขาเมื่อคืนนี้
เธอไม่ได้ต้องการให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ เธออยากอยู่อย่างสงบโดยที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับใครโดยเฉพาะคนในบ้านหลังนั้นที่ไม่เคยเห็นว่าเธอเป็นคนในครอบครัว
"มันก็ต้องวิธีนี้แหละ อ้อ! แล้วก็ต้องขอโทษปิ่นด้วย นอกจากจะต้องจ่ายเงินแล้วเธอก็ต้องขอโทษน้องสาวของเธอด้วย" อิฐหันไปเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง วันนี้เขาต้องจัดการให้สิ้นซากเสียที หากตามมาราวีอีกก็คงได้จับเข้าตะรางสั่งสอนอีกแน่
"นี่แก! อีปิ่น อีน้องชั่ว แกทำกับฉันอย่างนี้ได้ยังไงฮะ อีบ้า!"
"อ้าว ด่าอีกเหรอ คุณตำรวจครับ เพิ่มข้อหาให้อีกได้ไหมครับ ขนาดอยู่ในสถานีตำรวจแบบนี้ยังไม่สลด"
"อีบ้า กรี๊ด!!! อีชั่ว อีน้องเวร แกทำอย่างนี้กับฉันได้ยังไง อีปิ่น!"
"ถ้าคุณยังโวยวายไม่หยุดแบบนี้ผมคงต้องให้คุณไปสงบสติอารมณ์ในห้องขังนะครับ!" เสียงเข้มของนายตำรวจหนุ่มตวาดขึ้นอย่างสุภาพแต่กลับมีความดุดันและหนักแน่น ที่ทำเอาภายในโรงพักถึงกับตกอยู่ในความเงียบ
ตอนนี้มะเหมี่ยวจำต้องเงียบลงเมื่อผู้เป็นแม่หยิกแขนจนเขียวช้ำหวังประคองสติให้เย็น หากเดือดดาลไปมากกว่านี้ก็คงต้องไปอยู่ในห้องขังสกปรกเป็นแน่
"ว่าไงครับ จ่ายเงินแล้วก็ขอโทษน้องสาวคุณซะ" อิฐย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคุมสติได้บ้างแล้ว
"ฉันไม่มีเงินหรอก เหอะ! บ้านจนขนาดนี้แล้วจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายยะ พ่ออีปิ่นมันเหลือแต่หนี้สินไว้ให้เนี่ย ทุเรศสิ้นดี!"
"ไม่จริง! แม่ต่างหากที่ใช้เงินฟุ่มเฟือย พ่อมีทั้งที่ดินแล้วก็เงินในธนาคาร แต่แม่ก็เอามาใช้จนหมด!"
"นี่แก! อีปิ่น อีเนรคุณ! ฉันเลี้ยงแกมานะ แกจะ...!"
"ผมจะขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะครับ! ถ้ายังโวยวายอีกครั้งผมจะให้คุณไปอยู่ในห้องขังหนึ่งคืน! ไปทั้งแม่ทั้งลูกเลยเป็นไง!" นายตำรวจตวาดกร้าวออกมาอีกครั้งด้วยความหนักแน่น คราวนี้ไม่มีท่าทีนุ่มนวลหรือว่าพูดเล่นเลยสักนิด
"ถ้าอยากรีบจบก็จ่ายมา แล้วก็ขอโทษปิ่นด้วย ถ้าไม่มีเงินก็ขายบ้านทิ้งซะ ไปอยู่ใต้สะพานลอยหรืออะไรก็ได้" อิฐตอบอย่างนึกรำคาญ เขาไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะมีเงินหรือเปล่า เขาเพียงต้องการทวงคืนความยุติธรรมและแก้แค้นให้กับเด็กสาวคนนี้เท่านั้น
"ไม่ต้องจ่ายค่าทำขวัญให้ปิ่นหรอกค่ะ ปิ่นไม่อยากได้ แต่ปิ่นขอแค่คำขอโทษก็ยังดี"
"นี่เธอ..."
"แค่นี้ก็พอแล้วล่ะค่ะพี่อิฐ" ปิ่นเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง ๆ มันมีความอ่อนโยนแต่ก็มีความเด็ดขาดอยู่ในตัว
เธอไม่ได้ต้องการเงินจากใครทั้งนั้น เธอขอเพียงแค่คำขอโทษดี ๆ ที่ออกมาจากปากคนหยิ่งยโสอย่างมะเหมี่ยวก็เพียงพอ
"เอ้า เร็วดิ ขอโทษสักที! ขอโทษให้มันจริงใจด้วยนะ!" อิฐถอนหายใจออกมาหนัก ๆ แต่ก็ต้องยอมรับกับการตัดสินใจของหญิงสาวที่ถึงแม้ว่าจะขัดใจเขาก็ตาม
"ยัยเหมี่ยว รีบขอโทษมันเร็ว ฉันจะได้รีบกลับ!"
"แม่!"
"เลือกเอาว่าแกจะขอโทษหรือจ่ายเงิน!"
คำพูดของผู้เป็นแม่ทำให้มะเหมี่ยวจำต้องเลือกขอโทษที่เป็นทางออกที่ดีที่สุด คนจนตรอกไม่มีอำนาจและไม่มีเงินทองอย่างพวกหล่อนจะต่อกรอะไรได้ แม้ว่าคำขอโทษจะทำให้รู้สึกเสียศักดิ์ศรี แต่มันก็ยังดีกว่าการต้องสูญเสียเงินที่ไม่เคยมีเก็บ
"ฉัน...ฉันขอโทษ! ขอโทษที่ทำร้ายแกอี...เอ่อขอโทษนะปิ่น" คำขอโทษออกมาจากปากของคนที่ปิ่นอยากได้ยินมากที่สุดทำให้เธอถึงกับผุดรอยยิ้มขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเธอยกโทษให้ทั้งหมด แต่เธอก็รู้สึกดีที่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังลดศักดิ์ศรียอมรับกับความผิดของตัวเอง
"ค่ะ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะคะ ปิ่นออกมาจจากชีวิตของพี่แล้ว ปิ่นรู้ว่าพี่กับแม่เกลียดปิ่น เพราะงั้นเราก็อย่ายุ่งเกี่ยวกันอีกเลยค่ะ"
ประโยคทิ้งท้ายทำให้แววตาหวานสั่นไหว เธอยังคงเจ็บปวดอยู่เสมอกับคำว่า 'เกลียด'
ปิ่นอยู่อาศัยในบ้านหลังนั้นด้วยความทุกข์ทรมานแต่ก็ใจไม่กล้าพอที่จะออกจากบ้านไปเผชิญหน้าเพียงลำพัง เธอจึงยอมก้มหน้ารับกรรมมานานนับปี
แต่ในเมื่อวันนี้เธอเป็นอิสระแล้วเธอก็ไม่คิดหันหลังกลับไปอีก เธอจะลืมเลือนคนในบ้านหลังนั้นให้หมด ลืมเลือนทุกอย่างที่เคยทำให้เธอเจ็บปวด แม้กระทั่งสถานะลูกเมียน้อยของตัวเองที่เธอจะลบมันออกจากห้วงความคิดไปตลอดชีวิต