บทที่ 6
อดีตคนรัก
คาบแรกของวันอังคารปิ่นมีเรียนเวลาสิบโมงเช้า หญิงสาวเดินเข้าไปยังตึกเรียนโดยมีกระเป๋าผ้าสีหวานคู่ใจคล้องอยู่ที่ไหล่ ขาเล็กก้าวฉับตรงไปยังลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องเรียนที่อยู่ชั้นห้า พอมาถึงจุดหมายก็ไม่รอช้าที่จะเข้าไปนั่งรอในห้องก่อนถึงเวลาเรียน
สายตาหวานกวาดมองหาที่นั่ง จนกระทั่งเธอตัดสินใจหย่อนกายนั่งที่เก้าอี้ด้านหลังสุด ซึ่งมันเป็นที่นั่งมุมเดิม ๆ เนื่องจากปิ่นไม่มีเพื่อนสนิทที่ไหน อาจจะมีบ้างประปรายที่เธอพูดคุยกัน แต่ก็ไม่ถึงกับจับกลุ่มสนิทสนม
ปิ่นทำงานมาตั้งแต่เข้าเรียนปีหนึ่ง เธอไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย ไม่ได้มีส่วนร่วมกับกลุ่มเพื่อน นั่นเลยทำให้เธอไม่ได้มีเพื่อนหรือใครให้ปรึกษามากนัก โชคดีที่งานแต่ละวิชาไม่ได้เบนเข็มให้ทำแบบกลุ่ม มันเลยทำให้เธอสบายใจที่จะได้รับผิดชอบงานกับตัวเองโดยไม่ต้องสุงสิงกับใคร
แต่ทว่า...
พรึ่บ!
"ตรงนี้มีใครนั่งป้ะ" เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งใบหน้าที่เรียบนิ่งกำลังมองมายังหญิงสาวที่ตอนนี้แสดงท่าทีตกใจอย่างเห็นได้ชัด
"เอ่อ...ไม่มี" ปิ่นตอบเสียงแผ่ว แต่ในใจก็พูดพึมพำว่าเขานั่งลงก่อนที่จะเอ่ยปากถามเธอเสียอีก
"บ่นอะไรน่ะ ฉันรู้นะ"
"ฮะ!? ปะ...เปล่า เรายังไม่ได้พูดอะไรเลย" ใบหน้าหวานแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจจนทำให้คนข้างกายถึงกับหัวเราะออกมาอย่างคนลืมตัว
แค่แหย่เล่นนิดเดียว คนอย่างเธอก็ตื่นตระหนกตกใจเสียแล้ว...แบบนี้น่าแกล้งชะมัด
"ทำไมนั่งคนเดียวอะ ไม่มีใครคบเหรอ"
"..." ปิ่นเลือกที่จะไม่ตอบ เธอหันหน้ากลับมาดังเดิมก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นไปพลาง ๆ ระหว่างที่รออาจารย์เข้ามา
เธอไม่ชอบคำถามของเขา แล้วก็ไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายด้วย
ภาพลักษณ์ของปิ่นกลายเป็นคนเก็บตัวและไม่มีสังคมสำหรับคนอื่น และเธอเองก็รู้ตัวดีว่าเธอนั้นมีข้อเสียอยู่ที่จุดนี้
"เอ้า ทำไมไม่ตอบอะ ไม่มีเพื่อนเลยเหรอ"
"..." ปิ่นยังเลือกที่จะนิ่งอยู่เช่นเคย รู้สึกว่าคนคนนี้ไม่มีมารยาทเป็นที่สุด
"หยิ่งจังวะ" ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อไม่ได้รับคำตอบ เขาจึงฟุบใบหน้าลงที่โต๊ะและหลับตาลงอย่างไม่คิดสนใจอีกต่อไป
หญิงสาวเหลือบตามองเล็กน้อย อยากย้ายที่นั่งใจจะขาด แต่จังหวะนั้นอาจารย์ก็เดินเข้ามาในห้องพอดีเลยทำให้เธอเลือกที่จะปล่อยไปเลยตามเลย
ปิ่นสนใจกับเนื้อหาเรียนตรงหน้า หยิบกระดาษและชีทเรียนมาจดยิก ๆ ตามสิ่งที่อาจารย์สอน พอเริ่มเบื่อก็หยิบโทรศัพท์มาเล่นสลับกันไป แต่ชายหนุ่มข้างกายกลับนอนนิ่งเป็นนิ่งไม่ขยับมาตั้งแต่ต้น
ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่เธอเห็นว่าเขานอนนิ่ง ๆ แบบนี้มานานหลายชั่วโมงแล้ว อย่างน้อย ๆ ก็ขยับพลิกตัวไปทางซ้ายทางขวาบ้างก็ยังดี
"มองไร"
ทว่า...เสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นทำให้ปิ่นถึงกับสะดุ้งโหยง เธอไม่คิดว่าเขาจะรู้ว่าเธอกำลังมองทั้งที่เขาหลับตาแน่นอยู่แบบนั้น
"นะ...นายเห็นเหรอ!?"
"ก็ตั้งใจเรียนไปดิ จะมามองทำไม ฉันยังไม่ตาย แค่ง่วงเฉย ๆ"
ราวกับล่วงรู้ว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไร ที่เธอมองเขาก็เพราะแปลกใจไม่เห็นขยับเขยื้อนมาหลายชั่วโมง แต่เขาก็ไม่ได้คิดมากเท่าไหร่เพราะรู้ตัวดีว่าตัวเองน่ะนอนนิ่งไม่ไหวติงนานแล้วจริง ๆ
ใครมองก็คงคิดว่าตาย!
"กะ...ก็..."
"หันกลับไป"
ประโยคนั้นทำเอาปิ่นถึงกับเม้มปากแน่น เธอหันกลับไปจริง ๆ แล้วก็ไม่คิดจะเอ่ยคำใดออกมาอีก
สามชั่วโมงในห้องเรียนนี้จบลงพร้อมกับนักศึกษาคนอื่น ๆ ที่ต่างก็บิดขี้เกียจไปมาด้วยความเมื่อยล้า
อาจารย์สาวถึงกับอมยิ้มแต่ก็ไม่ได้เอ็ดว่าอะไร เขาเอ่ยผ่านไมค์เพื่อเน้นย้ำถึงเนื้อหาเรียนในสัปดาห์ถัดไปที่จะเกิดขึ้น
"สัปดาห์หน้าอย่าลืมนะคะว่าเรามีนัดกัน อาจารย์ไม่เช็กชื่อแต่อยากให้มากันทุกคนนะคะ เพราะอาจารย์ได้เชิญนักธุรกิจมาให้ความรู้ในคลาส แล้วอาจารย์ก็จะให้นักศึกษาทุกคนไปสรุปใจความส่งด้วย เพราะฉะนั้น...ถ้าไม่ส่งงานก็ไปลุ้นคะแนนสอบล้วน ๆ เลยนะคะ อาจารย์ถือว่าช่วยแล้วนะ"
"ค่าาาา / คร้าบบบ"
นักศึกษาภายในห้องต่างตอบรับด้วยน้ำเสียงยานครางที่บ่งบอกถึงอารมณ์ได้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับปิ่นที่ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา เธอตั้งใจว่าจะโดดวิชานี้แล้วหาเพิ่มงานในตารางอีกวันเสียหน่อย แต่ในเมื่ออาจารย์ออกปากแบบนี้เธอก็คงจะทำอย่างที่ตั้งใจไม่ได้
"เธอจะมาหรือเปล่า" ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและหันมองหญิงสาวด้วยความเรียบนิ่ง เขาถามแค่นั้นเลยทำให้ปิ่นแปลกใจ แต่ไม่นานก็เข้าใจว่าเขาคงถามถึงคลาสสัปดาห์หน้า
"มาสิ ใครบ้างจะไม่มา"
"เธอชื่ออะไร"
"ฮะ?" ปิ่นเบิกตากว้าง อยู่ ๆ เขาก็ถามถึงชื่อทั้งที่เมื่อครู่ยังเป็นคำถามเกี่ยวกับวิชาที่เรียนอยู่เลย
"ฉันชื่อลุค แล้วเธอล่ะชื่ออะไร"
ปิ่นมองคนตรงหน้าด้วยความสับสน แต่ก็ไม่ได้คิดใส่ใจเพราะมันเป็นแค่การบอกชื่อเท่านั้น
"ชื่อปิ่น"
"ชื่อเชยชะมัด"
"นี่!"
"ไปละ" ลุคยกยิ้มที่มุมปากด้วยความชอบใจที่เห็นหญิงสาวออกอาการ เขาลุกขึ้นหลังจากนั้นก็หยิบกระเป๋าและเดินออกไปในทันที โดยไม่สนใจแววตาหวาน ๆ ที่ตอนนี้กำลังเบิกโพลงมองเขาอย่างไม่พอใจอยู่เต็มอก
ครืด...ครืด...
แรงสั่นของโทรศัพท์ทำให้ปิ่นต้องสงบสติอารมณ์จากความคุกรุ่น หญิงสาวหยิบมันออกมา จากท่าทางโกรธกลับเปลี่ยนเป็นความตกใจ เมื่อเห็นหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นว่าคนที่โทรเข้ามานั้นคือ 'อิฐ'
ปิ่นกดรับสายแทบจะในทันที นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโทรเข้ามาหาเธอ ใจจริงก็แปลกใจที่อยู่ ๆ เขาโทรมา แต่ในเมื่อเขาขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีพระคุณเป็นต้องรีบรับสายเพราะเผื่อว่าเขาจะมีอะไรเรียกใช้
"สวัสดีค่ะพี่อิฐ" เสียงหวานเอ่ยขณะที่เธอกำลังเดินออกมาจากห้องเรียน
(ทำอะไรอยู่ สะดวกคุยหรือเปล่า)
"สะดวกคุยค่ะ ปิ่นเพิ่งเลิกเรียน พี่อิฐมีอะไรเหรอคะ"
(ฉันมีเรื่องจะรบกวนให้ช่วยหน่อย เธออยู่ไหนเดี๋ยวฉันไปรับ)
"อ้อ ได้เลยค่ะ เรียกใช้ปิ่นได้เลย แต่ว่าปิ่นไปหาพี่อิฐเองดีกว่าค่ะ ตอนนี้ปิ่นอยู่มหา'ลัย พี่อิฐคง..."
(ฉันจะไปรับ แค่บอกมาว่าให้ไปรับที่ไหน)
หญิงสาวเงียบไปชั่วครู่เมื่อได้ยินคำสั่งเรียบ ๆ แต่ทรงพลังของอิฐ เธอถอนหายใจออกมาก่อนจะบอกที่หมายกับปลายสาย
"หน้ามอก็ได้ค่ะ"
สิ้นประโยคอิฐก็วางสายไปและย้ำชัดว่าเขาจะมารับเธอที่หน้ามหาวิทยาลัยตามที่เอ่ยบอก
แม้ว่าจะเป็นน้ำเสียงราบเรียบแต่เธอรู้ดีว่ามันเป็นคำสั่งกึ่งเผด็จการอยู่ในตัว แค่นึกถึงแววตาดุ ๆ คมเข้มของเขาแล้วก็นึกหวั่นขึ้นมา ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเจอในมุมที่เขาแปลงร่างโมโหเธอจะทำเช่นไร
เพียงสิบนาทีอิฐก็มาถึงจุดหมาย เขามารับปิ่นที่หน้ามหาวิทยาลัยก่อนจะขับรถยนต์คันหรูตรงไปยังห้างสรรพสินค้า โดยไม่ได้เอ่ยปากบอกหรืออธิบายให้กับคนตัวเล็กรับรู้เลยแม้แต่น้อย
ขายาวก้าวฉับด้วยความมั่นใจตรงไปยังร้านเสื้อผ้าผู้ชาย โดยมีหญิงสาวตัวน้อยในชุดนักศึกษาตามต้อย ๆ ด้วยท่าทางหืดหอบเพราะก้าวตามเขาไม่ทัน
แต่พอเข้ามาในร้านแววตาหวาน ๆ ที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยก็เบิกโพลงเป็นไข่ห่าน เห็นเสื้อผ้าหรูหราราคาแพงก็ทำให้ตกตะลึงจนเก็บอาการไม่อยู่
"นี่ เดินมานี่" อิฐหันมองปิ่นที่ตอนนี้หยุดชะงักแต่สายตายังคงจดจ้องกับเสื้อผ้าที่แขวนอยู่บนราวด้วยความตื่นตา แต่พอได้ยินเสียงเรียกเข้ม ๆ ก็ทำให้เธอรีบวิ่งกรูเข้ามาหาเขาในทันที
"พี่อิฐมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ แล้วให้ปิ่นมาด้วยทำไม"
"จะให้มาช่วยเลือกของ แต่ไม่ใช่ที่นี่หรอก พอดีเดินผ่านก็เลยขอแวะร้านนี้ก่อน" อิฐเอ่ยบอกขณะที่มือก็หยิบชุดสูทมาลองทาบกับร่างกายไปพลาง ๆ
"อ้อ...ค่ะ ได้เลยค่ะ" หญิงสาวพยักหน้าหงึก ๆ ก่อนจะหย่อนกายนั่งลงที่โซฟาภายในร้าน
สายตาหวานกวาดมองรอบ ๆ ขณะที่อิฐเองก็หยิบชุดตัวนั้นตัวนี้มาดู คนที่อยู่กับชิ้นผ้าและการตัดเย็บมาตั้งแต่เด็กอย่างปิ่นย่อมรู้สึกอยากมีส่วนร่วมกับการเลือกการลองของเขาเป็นธรรมดา
หญิงสาวลุกขึ้น เดินไปหยิบชุดสูทที่แขวนอยู่อีกราวส่งให้กับอิฐที่ตอนนี้กำลังมองด้วยความแปลกใจ เธอยกยิ้มน้อย ๆ และถือวิสาสะทาบชุดกับตัวเขาพลางมองอย่างพิจารณาว่ามันเหมาะกับเขาหรือไม่
"สีนี้น่าจะเหมาะกับพี่อิฐนะคะ"
"นี่เธอ..."
"พี่อิฐผิวขาว ไหล่กว้าง สูทแบรนด์นี้ออกแบบมารองรับกับร่างกายของผู้ชายได้เป็นอย่างดี การตัดเย็บก็เนี้ยบมาก ส่วนเรื่องสีปิ่นว่าคนอย่างพี่อิฐน่าจะชอบสีเข้ม ๆ แบบนี้มากกว่า" ปิ่นอธิบายเสียงนุ่มพลางมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาที่ตะลึงตกใจกับการกระทำของเธอ
"รู้ด้วยเหรอ" อิฐมองแบรนด์จากชุดในมือของหญิงสาวก็รีบเอ่ยถาม แบรนด์นี้เขาใส่ประจำเพราะมันเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของวงการสูท แต่ที่เขาลองหยิบแบรนด์อื่นมาลองทาบก็เพราะอยากเปลี่ยนแบบใหม่ ๆ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ถูกใจเลยสักตัว พอได้ยินคำแนะนำของเธอก็ทำให้ตกใจอยู่ไม่น้อย คนอย่างเธอไม่น่ารู้จักแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชายมากนัก
"รู้ค่ะ แม่ปิ่นเคยทำงานที่ร้านเสื้อผ้าหรู ๆ แถมแบรนด์นี้เรื่องความเนี้ยบความเป๊ะก็ต้องยกให้เขาเลย แม่ปิ่นบอกประจำว่านอกจากสวยและการตัดเย็บดีแล้ว มันยังราคาแพงมาก ๆ ด้วย"
หญิงสาวยิ้มบาง ๆ เมื่อนึกถึงคำที่แม่บอก แม่ของปิ่นทำงานที่ร้านเช่าชุดซึ่งจะมีแบรนด์เสื้อผ้าหลากหลายให้เห็นอยู่เสมอ ตอนเด็ก ๆ เธอมักจะเห็นแม่งุ่นง่วนกับการปรับแต่งเย็บชุดให้เข้าทรง อยู่หน้าเครื่องเย็บผ้าอยู่ตลอด เนื่องจากร้านเช่าชุดมักจะมีลูกค้ามากหน้าหลายตาแวะเวียนมาไม่ขาดสาย และแม่เธอก็อยู่เบื้องหลังของชุดสวย ๆ เหล่านั้น
"แล้วทำไมถึงรู้เรื่องสีด้วยล่ะ แถมยังรู้อีกว่าอย่างฉันเหมาะกับสีไหน"
"ปิ่นชอบเรื่องแบบนี้อยู่แล้วค่ะ อยู่กับแม่ได้เห็นเสื้อผ้าสวย ๆ มาเยอะ เรียนรู้วิธีการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกสีให้เขากับคนที่ใส่ หรือใส่แบบไหนที่จะส่งให้ตัวตนของคนคนนั้นเด่นออกมา ที่จริงปิ่นตั้งใจจะเรียนแฟชั่นดีไซน์ด้วยนะคะ แต่ก็อย่างที่รู้ว่ามันต้องมีทั้งค่าอุปกรณ์และค่าใช้จ่ายอย่างอื่นอีกเยอะ ปิ่นเลยเลือกที่จะเรียนอย่างอื่นแทน"
ประโยคสุดท้ายอิฐจับได้ถึงกระแสของน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอยังคงยกยิ้มอย่างสวยงาม แต่แววตาเศร้าสร้อยกลับทำให้เขาล่วงรู้ว่าเธอกำลังเสียใจที่ไม่ได้เดินตามความฝันของตัวเอง
"แล้วตอนนี้เธอเรียนคณะอะไรล่ะ"
"ปิ่นเรียนบัญชีค่ะ พ่อบอกว่าอยากให้ปิ่นเรียนด้านนี้จะได้ไม่ตกงาน" ปิ่นหัวเราะขื่น ๆ ตอนนั้นอยากพูดออกไปมากว่าโลกสมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วต่างหาก
และมันก็เป็นเช่นเดียวกับอิฐ แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกแต่เขาก็รู้สึกได้ว่าเธอกำลังคิดอะไร เรียนบัญชีแล้วจะไม่ตกงานงั้นเหรอ สงสัยว่าคนรุ่นเก่า ๆ มักจะมองเห็นว่าโลกใบนี้มีเพียงไม่กี่อาชีพเท่านั้นแหละนะ หมอ พยาบาล คุณครู ข้าราชการ นักบัญชี ส่วนอาชีพอื่น ๆ นี้ล่ะทำไมถึงไม่ชายตามองว่ามันก็เป็นความหลากหลายที่สร้างเงินสร้างความมั่นคงได้เหมือนกัน
ระหว่างที่อิฐกำลังคิดเพลินสายตาของเขาก็หันไปพบกับคนคนหนึ่งเข้า อิฐเบิกตากว้างขณะที่หัวใจกระตุกวูบ
คนคนนั้นกำลังเดินเข้ามาหาเขา แต่อิฐอาศัยจังหวะที่ปิ่นเผลอดึงรั้งเอวบางเข้าหาตัว ก่อนจะกระซิบแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เธอตกใจ
"อย่าตกใจ ช่วยตามน้ำกับฉันทีนะปิ่น"
"คะ? พี่อิฐทำอะไรคะ..."
อิฐไม่ได้ตอบอะไรแต่เขากลับเคลื่อนสายตาละจากใบหน้าหวานก่อนจะกระชับเอวบางของเธอเอาไว้แน่น จนตอนนี้ร่างกายของเธอแนบชิดกับอกแกร่งเขา
"ใช่อิฐจริง ๆ ด้วยสินะ ออมเห็นไกล ๆ แต่ก็จำได้ว่าต้องเป็นอิฐแน่ ๆ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ" เสียงใส ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม อิฐจึงดึงรั้งให้ปิ่นมายืนเคียงข้าง ขณะที่มือก็ยังคงโอบเอวของเธอเอาไว้เพื่อเล่นละครตบตากับคนตรงหน้า
"มีอะไรหรือเปล่า"
ความเฉยชาของอิฐทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเสียหน้า แต่เธอก็ยังคงปั้นยิ้มแม้ว่าแววตาเชือดเฉือนนั่นจะสามารถส่งผ่านไปถึงหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ข้างกายของอิฐได้ก็ตาม
"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ออมแค่อยากมาทักทาย ออมคิดถึง"
คำว่า 'คิดถึง' ทำให้ปิ่นถึงกับหันมองหน้าอิฐในทันที
เขามีผู้หญิงมาบอกคิดถึงทั้ง ๆ ที่เขามีแฟนอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ?
"เก็บความคิดถึงของเธอไว้ให้กับคนอื่นเถอะ ฉันได้ยินแล้วรู้สึกขยะแขยงยังไงก็ไม่รู้" อิฐบอกนิ่ง ๆ แต่สายตาของเขากลับเดือดดาลไม่แพ้กัน
"อิฐ! นี่แฟนใหม่อิฐหรือไง เหอะ! จืดชืด ไปเก็บมาจากที่ไหนล่ะ เดี๋ยวนี้รสนิยมต่ำขนาดนี้เลยเหรอ"
ปิ่นที่ยืนมองเหตุการณ์ก็ถึงกับเลือดขึ้นหน้า เธอไม่รับรู้เรื่องราวของสองคนมาก่อน แต่การที่ถูกคนตรงหน้าดูถูกก็ทำให้เธอโมโหและพร้อมสวนกลับได้เหมือนกัน
"รสนิยมฉันต่ำตั้งแต่เคยรักเธอแล้วล่ะออม มันไม่มีอะไรแย่ไปกว่านั้นแล้ว!"
"อิฐ!" หญิงสาวกรีดร้องด้วยความโมโหที่ได้ยินคำพูดเจ็บแสบของอดีตคนรักอย่างอิฐที่กล้าต่อว่ากลางห้างแบบนี้
แต่ไม่ทันที่เธอจะได้โวยวายอะไรต่อ ประโยคถัดมาของอิฐก็ทำให้เธอนิ่งชา ราวกับถูกตบกลางสี่แยกจนชะงักงันในทันที
"เธอน่ะ...คือจุดต่ำสุดของชีวิตฉันแล้ว รู้เอาไว้ด้วย!"