ฉันอยากเปลี่ยนให้หมวยไปบริการโต๊ะนั้นแทน แต่ติดที่ยัยนั่นก็วุ่นวายอยู่กับโต๊ะอื่น สุดท้ายก็ต้องหอบเอาเครื่องดื่มไปเสิร์ฟที่โต๊ะของพวกรุ่นพี่ไปอย่างจำใจ
ที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้ แต่เพราะว่าเราเจอกันด้วยเรื่องไม่ดี ฉันถึงรู้สึกว่าเขาคงไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่ เลยไม่อยากเข้าใกล้ ไหนจะมีเรื่องที่ฉันเบี้ยวนัดคุยเมื่อเช้าอีก พี่ฟิวส์คนนั้นคงอยากกระทืบฉันเต็มทน ติดที่ฉันเป็นผู้หญิงนี่ล่ะ
“บิลค่ะ” ฉันยืนกระดาษแผ่นหนึ่งไปให้พี่คณะของตัวเองที่ชื่อว่า ไมเนอร์ ถึงแม้จะไม่สนิทแต่เขาก็เป็นคนที่เห็นหน้าบ่อยที่สุดในกลุ่มนี้
“ใครจ่ายก่อน กูจะโอนให้”
“ไม่ต้องจ่าย”
ทุกคนหันไปมองคนพูดรวมถึงฉัน แต่เขากลับทำหน้านิ่งตึงแล้วมองฉันตอบ ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเอ่ยปากแซว
“ท่านนายกจะเลี้ยงเหรอครับ”
“อืม กูเลี้ยง แต่เก็บกับน้องเขาเลย” พี่ฟิวส์พูดแล้วยิ้มร้าย เอื้อมมือไปเปิดขวดเครื่องดื่มของตัวเองมารินลงแก้วแล้วชง
“ไม่ควรเอาเรื่องส่วนตัวมาเดือดร้อนคนอื่นนะคะ เงินนั่นหนูจ่ายแน่แต่ไม่ใช่ตอนนี้” ฉันบอกเสียงเรียบ รุ่นพี่แล้วยังไง นายกสโมสรนักศึกษาแล้วยังไง ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็ต้องเจอกันสักตั้ง!
“คิดจะยื้อแล้วไม่จ่ายมากกว่ามั้ง”
“ก็บอกว่าจะจ่ายไง หนูไม่ได้รวยแบบพี่นะเว่ย ต้องทำงานหาเงินไปจ่าย!”
ฉันพูดออกไปด้วยความโมโห แต่มันก็ไม่ได้ดังมากนักจนทำให้ใครแตกตื่น นอกจากผู้ชายโต๊ะนี้ที่มองกันตาค้าง
“พอ ๆ มึงก็ไปแกล้งเขา บ้านมึงรวยขนาดนี้ไม่เอาก็ได้เงินนั่น” ผู้ชายที่ฉันจำได้แล้วว่าเคยเจอเขาตั้งแต่ตอนที่มีเรื่องกันเอ่ยแล้วกระทุ้งศอกใส่เพื่อนตัวเองที่นั่งจ้องหน้าฉันอยู่เหมือนอยากจะกินเลือดกินเนื้อ
“กี่บาทก็ต้องจ่าย”
“มึงขี้เหนียวตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยไอ้ฟิวส์” พี่ไมเนอร์ถามเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง “หรือตั้งแต่โดนเมียเก่าหลอกเอาเงิน”
“ไอ้ไม เดี๋ยวเถอะมึง เดี๋ยวได้กินตีนมันแทนเหล้า” เพื่อนเขาอีกคนหันหน้าไปเอาเรื่องพี่ไมเนอร์เพราะประโยคนั้นซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาพูดถึงอะไรกันแน่
“ขอบิล เดี๋ยวกูจ่ายก่อน “
แล้วผู้ชายคนที่เงียบที่สุดในกลุ่มก็พูดออกมา เขาหยิบเอากระดาษแผ่นนั้นไปดูก่อนจะควักเอาเงินในกระออกมายื่นให้ฉัน ถ้าไอ้นายกสโมฯนั่นได้นิสัยสักครึ่งหนึ่งของพี่เขาไปก็คงดี
หลังจากจัดการเก็บเงินทอนเงินให้โต๊ะนั้นเสร็จฉันก็ถอยออกมายืนให้ห่างที่สุด จะได้ไม่โดนเรียกไปอีก ร้านนี้ปิดเที่ยงคืนซึ่งฉันก็ได้แต่รอเวลา วันนี้ยังต้องไปคุยกับพี่สาเรื่องเวลาทำงานกว่าจะได้กลับก็คงตีหนึ่ง
“เป็นอะไรทำหน้าไม่ดีเลย”
“เปล่า”
หมวยขยับเข้ามาคุยด้วยตอนที่ไม่มีลูกค้าเรียก เพิ่งรู้ว่าหน้าฉันมันแสดงออกขนาดนั้นว่ากำลังเซ็งอยู่ เพราะอีตาบ้านั่นแหละ
“ทำหน้าสวย ๆ หน่อย หนุ่ม ๆ มองเยอะ ฮ่า” หมวยแซวแล้วก็รีบเดินไปหาลูกค้าที่กำลังยกมือเรียก ส่วนฉันก็เดินไปอีกโต๊ะ
ยิ่งดึกในร้านก็จะวุ่นวายขึ้นเพราะส่วนใหญ่ก็เมากันมากแล้ว โชคดีที่วันนี้ลูกค้าไม่เยอะเท่าวันศุกร์หรือเสาร์ ยังพอให้ได้พักหายใจบ้าง
ฉันเดินไปโต๊ะนั้นที โต๊ะนี้ที พยายามจะไม่มองไปที่โต๊ะห้าหนุ่มรุ่นพี่นั่น แต่สุดท้ายสายตาก็เหลือบไปเห็นจนได้ ว่ารุ่นพี่ไมเนอร์เรียก ก็เขาเล่นยกมือแล้วโบกไปมา จะทำเมินก็เห็นว่าพี่สา มองมาทางนี้อยู่พอดี
“เอาอะไรเพิ่มคะ”
“มีคนอยากรู้ว่าน้องชื่ออะไร”
“ใครคะ” ฉันถามไม่ใช่เพราะอยากรู้ว่าใครสนใจชื่อ แต่อยากรู้ว่าคนนั้นต้องไม่ใช่ไอ้พี่ฟิวส์
“พี่นี่แหละ ไม่ใช่ใครหรอก” พี่คณะของฉันพูดแล้วเหลือบมองไปทางพี่ฟิวส์ ที่นั่งทำหน้ามึนอยู่
“น้ำค้างค่ะ”
“ออ น้องน้ำค้าง...” พี่ไมเนอร์ลากเสียงสุดท้ายยาวเหยียดก่อนจะฉีกยิ้มขึ้นตรงมุมปากทั้งสองข้าง “อยู่คณะเดียวกันแต่พี่ไม่ค่อยเห็นเรา”
“คงเห็นอยู่หรอก ถ้ามึงหัดเข้าคณะตัวเองบ้าง”
“ก็กูไม่มีเรียนไงครับไอ้หมอ”
คำว่าหมอทำให้ฉันหันไปมองหน้าผู้ชายอีกคนอย่างพิจารณา ถ้าให้เดาเขาคงเป็นนักศึกษาแพทย์ ไม่น่าใช่หมอจริง ๆ แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นเด็กมหา’ลัยเรียกเพื่อนที่เรียนคณะแพทย์กันอย่างนี้ทั้งนั้น
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หนูขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”
“พี่มีอะไรจะบอก” พี่ไมเนอร์ยังยื้อฉันไว้ เท่าที่ดูเขาคงเจ้าเล่ห์และพูดมากที่สุดในกลุ่มแล้ว
“คะ”
“ถ้าน้องไม่มีเงินจ่ายจริง ๆ พี่เสนอให้เราไปทำงานช่วยพี่”
“งานอะไรคะ” ฉันลองถามดูถึงแม้ว่าเขาจะดูไม่น่าไว้ใจแต่ก็ยังอยากรู้ว่างานอะไร
“ช่วยงานสโมฯไง”
“มึงถามท่านนายกของเราก่อนไหมไอ้ไมน์” อีกคนเอ่ย แล้วหันไปมองพี่ฟิวส์ที่นั่งเงียบอยู่
“มึงว่าไงไอ้ฟิวส์ อย่างน้อยให้น้องเขาช่วยงานพวกเราก็จะมีเวลาอ่านหนังสือ”
“นี่กูหูตึงหรือหูฝาด” รุ่นพี่คนเดิมพูดพลางหลุดขำกับประโยคที่พี่ไมเนอร์เพิ่งพูดออกมา “อย่างมึงเนี่ยนะจะอ่านหนังสือ”
“เทอมสุดท้าย กูก็อยากเป็นคนดีที่พ่อภูมิใจ”
“พ่อสิ้นหวังในตัวมึงแล้วครับ ไม่ทันแล้ว”