ตอนที่ 1 คู่กรณี(2)

988 คำ
JIN JIN : รอบนี้ไปบ้านเด็กกำพร้า ฉันแอบถามพี่รหัสมาแล้ว ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ไปค่า ไม่พลาด ระริน ไม่ใช่ ละลิน : รักเด็ก อยากเลี้ยงเด็ก JIN JIN : เด็กแบบไหนคะ ระริน ไม่ใช่ ละลิน : เด็กทุกแบบค่ะ เด็กโตยิ่งดี JIN JIN : พักเรื่องผู้ชายก่อนนะคะมุง วันก่อนเมาหยั่งหมา ฉันแอบขำกับข้อความที่พวกนั้นคุยกันในกลุ่มแชตของพวกเราสามคน เพราะตอนนี้มือยังไม่ว่างจะตอบเลยได้แต่อ่านข้อความที่พวกมันคุยเล่นกัน JIN JIN : ไปไหมน้ำค้าง อ่านไม่ตอบ ระริน ไม่ใช่ ละลิน : ไม่ใช่แชตผู้ชาย เพื่อนดองก่อนค่ะ ! NAMKHANG : ทำขนมช่วยยายอยู่จ้า สาว ๆ อ่านแล้ว รับรู้แล้ว โอเคนะ ฉันใช้นิ้วที่ยังไม่เปื้อนน้ำตาลจิ้มลงไปบนหน้าจอมือถือรุ่นเก่า ๆ ของตัวเองแล้วกดส่งข้อความเสียง ลำพังมันก็จะพังมิพังอยู่แล้วเลยต้องจิ้มเบา ๆ หลายทีเพราะยังไม่มีเงินจะซื้อหรอก เครื่องนี้ยายซื้อให้ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่มอสี่แล้ว JIN JIN : อยากไปช่วย อยากไปเที่ยวบ้านน้ำค้างคนสวยจังเลยค่ะ ระริน ไม่ใช่ ละลิน : เห็นแก่กิน เรื่องช่วยอย่ามาพูด ฉันหัวเราะกับข้อความของพวกมันที่เถียงกันไปมา พลางทำไส้ขนมให้ยายไปด้วย ทำไส้แค่อย่างเดียวแต่ยายเอาไปทำขนมได้หลากหลายเลย ถ้าเป็นตลาดนัดตอนเช้าในช่วงวันหยุดรับรองว่าขายหมดทุกครั้งไม่เคยเหลือกลับบ้าน “ทำเสร็จแล้วเก็บให้ยายด้วยนะเดี๋ยวมดขึ้น แล้วก็มาเก็บใบตองให้ยายหน่อย” “ค่า~” ฉันขานรับแล้วทำงานของตัวเองให้เสร็จตามที่ยายสั่ง ช่วยยายเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว พอสามทุ่มก็เข้าห้องนอน แต่ยังไม่ได้นอนหรอกเพราะอยู่ ๆ ก็มีสายโทรเข้าจากใครบางคนโทรเข้ามาขัดจังหวะก่อนที่หัวจะถึงหมอนด้วยซ้ำ (...) “...ฮัลโหล ใครคะ” ฉันกดรับสายแล้วรอให้อีกฝ่ายพูดแต่ปลายสายกลับเงียบกริบจนต้องเอ่ยทักไปแทน ฉันเกือบจะกดวางสายเมื่ออีกฝ่ายยังคงเงียบ แต่อยู่ ๆ เขาก็พูดขึ้น เสียงเข้มนั้นทำให้ฉันต้องขมวดคิ้วเพราะเท่าที่จำได้ฉันไม่เคยให้เบอร์ตัวเองกับคนที่ไม่รู้จัก (“เธอ...”) “คะ คุณเป็นใคร” (“เจ้าของรถที่เธอต้องรับผิดชอบ”) พอได้ยินคำตอบฉันแทบอยากกดวางสายใจจะขาด แต่จิตใต้สำนึกที่มันมีความเป็นคนดีอยู่ห้ามเอาไว้ อีกอย่างเขามีข้อมูลของฉันทั้งหมดแถมยังยึดบัตรนักศึกษาของฉันไปอีก จริงอยู่ว่ามันสามารถไปขอทำใหม่ได้ แต่วันนั้นฉันพูดไปแล้วว่าถ้าตัวเองไม่รับผิดชอบให้ตามมาจากที่อยู่นั้นได้เลย ซึ่งข้อมูลบนบัตรนั้นมันก็เป็นข้อมูลจริงทุกอย่าง เผลอ ๆ จะทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย โดยเฉพาะยาย “คะ...คุณ เจ้าของรถวันนั้น” (“อืม”) “หนูต้องชดใช้ให้เท่าไรคะ แต่บอกก่อนว่าหนูยังเรียนอยู่ ถ้ามันมากมายหนูคงไม่มีปัญญาจ่าย ถ้าสองสามพันไหวอยู่” (สองสามพัน ?) น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจากปลายสายมันบ่งบอกอารมณ์ได้หลายอย่าง ทั้งตกใจ ทึ่ง หรืออาจกำลังโมโหอยู่ด้วย วินาทีนั้นฉันรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มันคงไม่จบง่าย ๆ แน่ ทั้ง ๆ ที่เกือบจะลืมไปแล้วเพราะเขาไม่ติดต่อมาเลยตั้งสามวัน “ค่ะ ตอนนี้หนูมีเงินแค่นี้ บ้านหนูจน” (“เธอทำคนอื่นเดือดร้อนแล้วจะปัดความรับผิดชอบเหรอ”) “ไม่ใช่ไม่รับผิดชอบ แต่หนูบอกว่ามีแค่นี้ ถ้ามากกว่านี้จ่ายไม่ไหว” จะทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อฉันไม่มีจริง ๆ ไม่อยากบอกเรื่องนี้กับยายด้วย เพราะฉันไม่อยากให้ยายต้องคิดมากและมาลำบากเพราะตัวเอง แค่เรื่องน้าอิฐก็น่าปวดหัวพอแล้ว (“ฉันไม่ได้อยากฟังปัญหาชีวิตใคร แต่เธอต้องมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เธอทำให้รถฉันพัง”) “คุณก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่คะ รถก็แค่ถลอกไม่ใช่เหรอ” ฉันเดาว่าอย่างนั้น เพราะวันนั้นเขาพุ่งไปหาพงหญ้าเท่านั้นเอง (“เธอรู้ไหมว่ารถมันราคาเท่าไร ค่าซ่อมห้าหมื่นฉันจะเก็บกับเธอแค่สองหมื่น เธอต้องหามาจ่ายไม่อย่างนั้นเธอเดือดร้อนแน่”) “สองหมื่นเลยเหรอ...” (“อืม วันจันทร์ตอนเช้าฉันจะไปหาเธอที่คณะ หาเงินมารับผิดชอบด้วย”) “...” (“ถ้าเธอตุกติก บอกเลยว่าเธอไม่รอด”) “อย่ามาข่มขู่นะ บอกก่อนว่าหนูไม่มีให้คุณหรอก ถ้าจะให้จ่ายก็ต้องรอ หนูต้องทำงานพาร์ตไทม์มาจ่ายให้” (“บอกพ่อแม่เธอดิวะ อย่ามาโกหกว่าไม่มี หรือไม่ได้ ฉันเป็นคนเสียหายให้เธอจ่ายไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ”) “หนูไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีเงินสองหมื่นที่คุณอยากได้ อีกอย่างค่าซ่อมมันเท่าไรหนูยังไม่ได้เห็นเลย คุณมาหลอกเอาเงินหรือเปล่า” (“กูมาเจอกับคนแบบไหนวะเนี่ย”) เขาสบถแล้วบ่นกับใครสักคนที่อยู่ด้วยกันนั้นก่อนจะกรอกเสียงผ่านปลายสายเข้ามาต่อว่า (“วันจันทร์มาเจอกันหน่อย จะเอายังไงค่อยว่า แต่ฉัน ต้อง ได้ เงิน”) ฉันกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอเมื่อเขาย้ำคำพูดนั้นแล้วก็ตัดสายไป คำพูดของเขาแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ขู่แน่ ๆ ถึงแม้ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครแต่ฉันสัมผัสได้ถึงความมีอำนาจบางอย่าง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม