ตอนที่ 5 ร้อนเงิน (2)

1400 คำ
“ฟิวส์ ยัยนุ่นจะเข้ามาตอนนี้อยู่หลังมอ เราจะสั่งข้าวฟิวส์เอาอะไรไหม” “ไม่ ยังไม่หิว” พี่ฟิวส์ตอบแค่นั้นฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาทำหน้ายังไงเพราะแกล้งดูเอกสาร เดียวยัยรุ่นพี่นั่นหาว่าสนใจ “ให้น้องมันทำงานอะไรเหรอ ให้เมย์ทำก็ได้นะ” เธอไม่พูดเปล่าแต่ก้าวเท้าเข้ามายืนอยู่ข้างกายจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง “ไปทำงานของเธอเถอะ เด็กมันต้องทำงานให้ฉันอยู่แล้ว” พี่ฟิวส์หันมามองรุ่นพี่ที่ชื่อเมย์แล้วบอกเสียงเรียบ ไม่รู้ว่าเป็นนิสัย หรือเขาพยายามวางตัวในฐานะนายกสโมสรนักศึกษากันแน่ เวลาพูดฉันถึงได้รู้สึกได้ว่าเขาทำสีหน้าและน้ำเสียงนิ่งตลอด ยกเว้นคุยกับเพื่อนรุ่นพี่ที่เจอมาเมื่อคืนจะอีกแบบ “วันนี้เราไม่มีงานอะไรเลย เดี๋ยวช่วย…” “ไม่ต้องช่วย ฉันลงโทษเด็กมันอยู่” พี่ฟิวส์บอกแค่นั้นแล้วก็ไม่สนใจอีก เป็นอันว่าคุณพี่เมย์ไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ต่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉันรู้สึกสะใจเหลือเกิน ปกติไม่เคยมีความคิดด้านลบแบบนี้หรอกนะ แต่ยัยรุ่นพี่คนนี้ฉันรู้สึกได้ว่าหล่อนไม่ได้คิดดีกับฉันเลย แต่ทั้งหมดนี้น่าจะมีผลมาจากคนที่นั่งทำงานอยู่โต๊ะข้าง ๆ นี้ พี่เมย์นั่นชอบพี่ฟิวส์อยู่แน่นอน! ฉันฟันธง! “หนูกลับได้กี่โมงคะ” นั่งทำงานไปสักพักท้องก็เริ่มหิวเลยแกล้งถามพี่ฟิวส์ไป แล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นจากงาน มองฉันด้วยสีหน้ารำคาญ “ทำงานได้นิดหน่อย หาเรื่องจะกลับอีกแล้ว ขี้เกียจจังวะ” “ไม่ได้ขี้เกียจ แต่พี่ควรแจ้งเวลาหน่อยว่าหนูต้องทำงานถึงกี่โมง บางวันหนูก็ต้องไปทำงานร้านเหล้า ไม่ได้มาแบบนี้ทุกวัน” ฉันเถียง เมื่อถูกกล่าวหาอย่างนั้น ถ้าขี้เกียจไม่นั่งทำตั้งแต่บ่ายสามจนถึงหกโมงแบบนี้หรอก “แล้วก็ควรบอกด้วยว่าจะให้มาช่วยงานถึงเมื่อไหร่ หนึ่งเดือน สองเดือนหรือสามเดือนถึงจะพอที่ต้องจ่ายให้น่ะ” “…ทีอย่างนี้ล่ะเก่ง” พี่ฟิวส์หัวเราะเบา ๆ แล้วขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเอง “วันนี้เธอต้องทำให้เสร็จกองนั้น วันอื่นยังไม่ได้คิดเวลา” พูดจบเขาก็เดินหนีออกไปนอกห้อง ไม่รอให้ฉันโวยวายต่อ มันน่าโมโหนัก แล้วงานที่กองอยู่นั่นผ่านมาสามชั่วโมงแล้วยังไม่ถึงครึ่ง ถ้าทำงานโดยไม่มีเป้าหมายว่าจะใช้หนี้หมดตอนไหนขอไม่ทำดีกว่า ทว่าสุดท้ายฉันก็ต้องนั่งก้มหน้าทำงานต่อ วันนี้ไม่เคลียร์พรุ่งนี้ก็ต้องจัดการเองให้รู้แล้วรู้รอด พี่ฟิวส์กลับมาหลังจากที่เขาหายไปเกือบครึ่งชั่วโมง ในมือถือถุงใสที่มีข้าวกล่องอยู่สองกล่อง เขาหยิบมันขึ้นมา ตอนที่กำลังจะเดินผ่านโต๊ะของฉัน ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะทำงาน โดยที่ไม่พูดไรสักคำ แถมยังทำสีหน้าเรียบเฉยใส่ฉันอีกต่างหาก “ขอบคุณค่ะ ที่อุตส่าห์ซื้อมาให้” ฉันขอบคุณเป็นมารยาทก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบข้าวกล่อง กล่องนั้นขึ้นมา ถามว่าเขินมั้ยที่ต้องทานข้าวของเขา ตอบเลยว่าไม่เพราะตอนนี้ฉัน หิวจนแสบท้องหมดแล้ว อย่างน้อยเขาก็ใจดีที่อุตส่าห์ซื้อมันมาให้ หลังจากทานข้าวเสร็จฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อ ส่วนพี่ฟิวส์ก็ทำงานของตัวเอง ทั้งห้องมีเพียงเสียงเพลงที่พี่ฟิวส์เปิดเอาไว้เพราะทั้งฉันและเขาต่างทำงานของตัวเอง อีกอย่าง ก็ไม่รู้ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไร พอคุยกันเมื่อไหร่ก็เหมือนเราจะมีปากเสียงกันตลอด “ไอ้ฟิวส์ ยังไม่กลับเหรอ” “อืม ทำงาน” รุ่นพี่คนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา พอเห็นฉันเขาก็ทำสีหน้าแปลกใจเช่นเดียวกันกับรุ่นพี่คนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เขาถามแล้วมองเพื่อนตัวเองสลับกับมองฉันไปมาพอพี่ฟิวส์ตอบเขาก็พยักหน้ารับรู้ “กูเข้ามาเอาของพอดีเห็นเปิดไฟไว้ เลยเข้ามาดู งั้นกูไปก่อนนะ” “เออ เจอกัน” พอประตูห้องปิดลงฉันก็ก้มมองนาฬิกาของตัวเองที่อยู่บนข้อมือ ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มแล้ว งานที่กองอยู่บนโต๊ะก็ยังเหลืออีกนิดหน่อย คำนวณเวลาแล้วคงเกือบสี่ทุ่มกว่าจะได้กลับหอ คิดว่าวันนี้จะได้นอนพักยาวเพราะพรุ่งนี้ต้องไปร้าน สุดท้ายก็คงได้นอนดึกเหมือนเดิม “เหลือเยอะไหม” พี่ฟิวส์หยัดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเองก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่ แล้วเขาก็เอื้อมมือไปลากเก้าอี้อีกตัวหนึ่งมานั่งตรงข้ามกัน “อีกสิบโครงการค่ะ” ฉันตอบ แล้วดันเอกสารที่ยังไม่ได้ตรวจไปตรงกลางโต๊ะ ฉันลอบมองใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันเขากำลังหยิบเอกสารไปดู เพราะเห็นว่าตอนนี้มันดึกมากแล้วเขาคงอยากช่วยนั่นแหละ หรือเอกเหตุผลก็คือ เขาไม่อยากเฝ้าชั้นจนดึกดื่น อยากกลับไปนอนแล้วเหมือนกัน พี่ฟิวส์เป็นคนที่หน้าตาดีมาก ถ้าไม่ติดที่เขาชอบหาเรื่องทะเลาะล่ะก็ มั่นคงดูมีเสน่ห์กับฉันมากกว่านี้ ไม่แปลกใจหรอกที่ใคร ๆ แต่ก็ชอบและชื่นชมเขาทั้งหน้าตาดีมีความสามารถ ขนาดว่าเพื่อนสองคนของฉัน เห็นแล้วยังทำอย่างกับเห็นดารานักร้อง ส่วนฉันนั้นไม่ค่อยรู้จักใครหรอกเพราะมัวแต่สนใจเรื่องงานกับครอบครัวที่มีแต่เรื่องวุ่นวาย ถึงแม้จะได้ทุนเรียนฟรี แต่ แต่ผู้ใหญ่เขาก็รับผิดชอบเพียงแค่ค่าเทอมเท่านั้นส่วนค่ากิน ค่าใช้ทุกอย่างฉันกับยายต้องเป็นคนหายเอง เล่นตอนนี้ย้ายมาเดือดร้อนเรื่องของหน้า อีก ก็เหลือแต่ฉันที่ต้อง หาเงิน ให้ตัวเองและน้อง “มองอะไร” “เปล่า” ฉันรู้ตัวอีกทีว่าแอบมอง เขานานเกินไป ก็ตอนที่ถูกถาม จึงต้องรีบก้มหน้าดูงานของตัวเอง อย่างเนียน ๆ ก่อนที่จะนึกได้ว่า มีบางอย่างที่ต้องบอกพี่ฟิวส์ “พรุ่งนี้หนูต้องไปทำงานที่ร้านนะไม่ได้มาช่วย” “...”เขาเงียบไปพักนึง แล้วจึงเอ่ยปากถามเบา ๆ “วันไหนบ้าง” “ไม่แน่นอนค่ะ พอผู้จัดการร้านจะเป็นคนจัดวันให้ แต่อาทิตย์นี้มีวันจันทร์ พุธ ศุกร์เเล้วก็วันเสาร์” “คิดยังไงไปทำงานนั้น” คำถามของเขาฟังไม่ออกว่ายินดียินร้าย น้ำเสียงที่ดังออกมาไม่ได้แสดงอารมณ์ใด คงอยากรู้ไปอย่างนั้น “เพื่อนแนะนำมาค่ะ แล้วมันก็ได้เงินดีกว่า งานที่เคยทำมาด้วย” “ร้อนเงิน?” “ค่ะ ร้อนเงิน ร้อนมากด้วย พอจะมีให้ยืมสักสองสามพันไหม” ฉันตอกกลับไปเมื่อเจอคำถามของเขาที่ออกแนวดูถูก ไม่ได้โกรธเขาขนาดนั้นหรอกแต่คนเราเวลาได้ยินอะไรแบบนี้มันรู้สึกไม่ดีนัก ไม่แปลกที่เขาจะมองฉันแบบนั้นเพราะมหาวิทยาลัยแห่งนี้ค่าเทอมค่อนข้างสูง คนส่วนใหญ่ที่เข้าเรียนได้ไม่ใช่แค่เพราะเรียนเก่งอย่างเดียวแต่ต้องมีฐานะด้วย เขาอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ได้ว่าฉันจน แต่มีเด็กในมหาวิทยาลัยไม่กี่คนหรอกที่จะทุ่มเทเวลาหลังเลิกเรียนไปหาเงิน และคงมีไม่กี่คนเหมือนกันที่หาเงินมาจ่ายค่าห้องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ตอนที่สอบชิงทุนได้ฉันก็ดีใจรีบรับโอกาสดี ๆ นี้ไว้ แต่ลืมไปว่าแค่ทุนเรียนฟรีมันไม่ได้เป็นปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียว เงินที่ต้องใช้ในแต่ละวัน ไหนจะมีค่าหอพัก ค่าเดินทางอีก เวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัยไม่รู้ว่าฉันจะใช้มันครบหรือเปล่า
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม