"แม่จ๋า แม่...” คีตาภัทรวิ่งเข้ามาพร้อมกับมือถือในมือ
“มีอะไร ทำไมต้องเอะอะโวยวายด้วยฮึ” แม่ตะโกนกลับไป
“แม่... แม่ หนูได้โคว้ตา แถมพ่วงด้วยทุนการศึกษาของมหาวิทยาลัยX แล้ว แม่... หนูดีใจที่สุดเลย”
แม่แก้วใจถึงกับทิ้งฟองน้ำ แล้วเช็ดไม้เช็ดมือ ลุกขึ้น แล้วหันไปหาลูกสาวทันที ใบหน้าของคุณแม่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“จริงหรือ ไหน ๆ เอามาให้แม่ดูหน่อยสิ”
คีตาภัทรน้ำตาไหลออกมาเป็นทางแล้ว ความพยายามของเธอไม่สูญเปล่า
“นี่จ้ะแม่” เธอยื่นมือถือให้กับแม่ เป็นอีเมลการตอบรับจากทางมหาวิทยาลัยจริง ๆ
แม่แก้วใจถึงกับปล่อยโฮ ร้องไห้น้ำตาไหลพราก ๆ
“ดีแล้วลูก หนูน่ะมีบุญเยอะนะเนี่ย ฮือ... สุดท้ายสวรรค์ก็ตอบเราเสียที สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านได้ช่วยพวกเราเอาไว้แล้ว”
“แม่ หนูจะโทรไปบอกพ่อ”
“เอาสิ ๆ พ่อจะต้องดีใจมาก ๆ แน่”
คีตาภัทรรีบกดโทรเข้าไปหาพ่อ ทันทีที่พ่อรู้เรื่อง เพื่อนที่อยู่ด้วยกันก็เฮลั่น ต่างเอ่ยแสดงความยินดีกับสมชัย
หลายวันต่อมา ในซอยกิ่งทองถึงกับปิดซอยเลี้ยง ทุกคนในซอยต่างนำทั้งอาหารและเครื่องดื่มมาที่บ้านของคีตาภัทร เพราะตอนนี้บริเวณหน้าบ้านเต็มไปด้วยโต๊ะเก้าอี้ และเริ่มล้อมวงกันเพื่อเฉลิมฉลองแสดงความดีใจกับคีตาภัทร
ลุงคิง “ใช่ว่าใครจะได้ทุนกันง่าย ๆ นะ คีมันเก่ง”
ป้าแหวว “นั่นนะสิ มันเก่งเหมือนใครน่า”
พ่อ “เก่งเหมือนพ่อ”
แม่ “เหมือนแม่” สองคนแย่งกันรับ
คีตาภัทร “นี่แม่จ๋า พ่อจ๋า ไม่ต้องแย่งกันหรอก หนูเก่งเหมือนทั้งพ่อทั้งแม่แหละจ้า”
ป้าแหววยกมือ “ไอ้วิชาที่เรียนนี่ จบมาทำอะไรหรือ”
คีตาภัทร “ทำงานโรงแรมหรือเกี่ยวกับการท่องเที่ยวก็ได้ป้า”
ลุงคิง “อื้อ ดี ๆ ถ้าเรียนจบก็ได้กลับมาทำงานแถวบ้านเราได้”
แม่ “ใช่จ้า จังหวัดไหนก็ไม่มีโรงแรมมากมายเท่ากับภูเก็ตอีกแล้ว”
ป้าแหวว “เฮ้อ... ถ้าได้ทำงานในตำแหน่งดี ๆ ตำแหน่งสูง เป็นระดับหัวหน้านี่ ก็คงจะได้เงินเยอะนะ แบบนี้พวกแกก็จะได้ไปซื้อบ้านอยู่ข้างนอกได้ จะได้ย้ายออกไปจากซอยบ้านเราได้เสียที ที่ที่เราอยู่ตรงนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมาขับไล่วันไหน”
ลุงคิง “ใช่ ๆ ได้ข่าวมาแว่ว ๆ ว่าที่ดินของเราจับจองกันตรงนี้มีเจ้าของ เขากำลังไล่ฟ้องปรปักษ์มาเรื่อย ๆ นะ”
พ่อ “หื้อ! โคมลอยทั้งนั้น คงไม่ใช่เรื่องจริงหรอกมั้ง”
ป้าแหวว “ไว้ถ้าฉันเจอกับผู้ใหญ่โอ๋ ฉันจะเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามให้”
คีตาภัทรยกเอาอาหารทะเลเผา ไม่ว่าจะเป็น กุ้ง หอย ปู ปลา ออกมาเสิร์ฟ
“ไม่ต้องพูดเรื่องเครียดแล้ว หนูว่าพวกเรากินกันดีกว่าค่ะ”
จากนั้นทุกคนก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยกันเรื่องอื่น ๆ
คุณภาดาหัวฟัดหัวเหวี่ยงเดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน
“เป็นอะไรนะคุณ” คุณโยฮันถามภรรยา
“ก็ดูสิ ลูก้าไม่ยอมไปเรียนต่อเมืองนอก บอกว่าจะต่อมหาวิทยาลัยที่นี่ ฉันจนปัญญาแล้วนะคุณ คุณจัดการลูกชายของคุณเอาเองเถอะ”
คุณโยฮันเดินเข้าไปกอดภรรยา “ผมว่าคุณนั่นแหละที่ต้องหยุดเครียด ถ้าลูก้าไม่ไป ก็ไม่จำเป็นต้องไปบังคับนี่คุณ”
“ฉันอยากให้แกไปเจอสังคมอะไรที่มันดีกว่านี้”
“แล้วที่ประเทศไทยสังคมมันไม่ดีตรงไหน” คุณโยฮันก็ไม่เข้าใจภรรยาของเขาเหมือนกัน
“คุณต้องคิดถึงตอนที่คุณไปอยู่กับผมที่สวิสเซอร์แลนด์สิ เป็นคุณเองใช่ไหมที่บ่นวันละสิบรอบว่าอยากจะกลับมาอยู่ที่เมืองไทย จนสุดท้ายผมต้องขายโรงแรมที่โน้น แล้วมาทำโรงแรมที่นี่ แล้วอย่างนี้คุณจะผลักไสลูกให้ไปอีกเหรอ”
“แต่...”
“ไม่ต้องมีแต่อะไรทั้งนั้นแหละ แล้วลูกบอกหรือยังว่าจะเรียนอะไร”
“มหาวิทยาลัยX ค่ะ”
“คณะอะไร”
“อุตาสาหกรรมการท่องเที่ยวและการโรงแรม”
“นั่นปะไร เห็นไหมลูก้าคิดเป็น คุณไม่เชื่อบุคคลากรการศึกษาของไทยหรืออย่างไร ครูในประเทศไทยเก่งนะ บางทีหากจะเป็นเรื่องการโรงแรมและการท่องเที่ยวผมว่าที่ประเทศไทยนี่แหละน่าจะเก่งกว่าที่อื่น ๆ เชื่อผมสิ ลูก้าจะไม่ทำให้เราทั้งสองคนผิดหวัง”
คุณภาดายังนั่งหน้าบึ้ง
“นี่คุณไปดูยายอลิสของคุณดีกว่า เห็นพิรุณบ่นว่า ไม่ยอมกินข้าวอยู่นะ ลูกสาวของคุณเพิ่งมอสอง จะเอาความผอมไปถึงไหน ไปจัดการให้อลิสกินข้าวดีกว่าไป ส่วนเรื่องของลูก้า ผมจะจัดการเอง”
“ก็ได้ค่ะ” คุณภาดาเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างเสียอารมณ์ ตรงไปที่ห้องนอนของลูกสาวคนเล็ก เพื่อจัดการให้นางกินข้าว
คุณโยฮันจับมือถือขึ้นมา แล้วกดส่งข้อความหาลูกชาย
(ไม่ยอมไปเรียนที่ต่างประเทศจริง ๆ หรือ)
(ครับคุณพ่อ ผมขอเรียนที่นี่)
(แล้วมหาวิทยาลัยX ของลูกนี่อยู่ที่จังหวัดไหน)
(เชียงใหม่ครับ)
(โอเค แล้วลูกมีอะไรให้พ่อช่วยไหม)
(ไม่ต้องครับพ่อ ผมจัดการตัวเองได้)
(โอเค ลูกของพ่อเก่งที่สุดอยู่แล้ว)
ลูก้าส่งสติกเกอร์ขอบคุณมาให้
(ขอบคุณครับที่คุณพ่อเข้าใจ ผมรักพ่อที่สุดในโลก)
(พ่อก็รักลูก)
++++
ฝากพี่ ๆ นักอ่าน ถ้ามาเจอะมาเจอกันเรื่องนี้ ช่วยดันด้วยนะคะ เขียนคอมเมนต์ให้ด้วยค่ะ จะลงอ่านฟรีจนกว่าจะจบ