แป้งร่ำรู้สึกตัวขึ้นอีกทีก็ตอนเย็นแล้ว เพราะด้านนอกมีเสียงผู้คนมากมาย เธอจึงลุกขึ้นนั่งเพื่อทบทวนสติ และความทรงจำบางอย่างที่เพิ่งได้รับมาอย่างตกใจ ตอนนี้เธอไม่ใช่แป้งร่ำหญิงวัยกลางคนเหมือนเดิมแล้ว เธอคือเฉินเฟิ่นอี้สาวน้อยที่อยู่ในครอบครัวเฉินยุค 70
โชคดีที่บ้านเฉินมีแต่คนขยันจึงสามารถส่งหลานๆ เข้าเรียนในตำบลได้ ร่างของสาวน้อยที่เธออยู่ในตอนนี้มีอาการอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่แต่ก่อนมีร่างกายที่แข็งแรงมาก แต่ก็ไม่ค่อยแปลกใจเพราะช่วงหลังๆ มานี้ เฉินเฟิ่นอี้เหมือนจะจับได้ว่าคนรักของหล่อนเปลี่ยนไป จึงไม่ค่อยรับประทานอาหาร
ซึ่งสาวน้อยคนนี้ก็น่าสงสารมากเพราะถูกคนรักและเพื่อนสนิทที่เป็นญาติผู้พี่หักหลัง ยังดีที่บ้านเฉินรักหลานอย่างเท่าเทียมกัน ไม่อย่างนั้นหล่อนคงถูกตีตาย
‘ชีวิตของฉันไม่มีอะไรให้ห่วง ต่อจากนี้ฉันขอให้เธอไปสู่สุคตินะเฉินเฟิ่นอี้ ฉันสัญญาว่าจะดูแลครอบครัวของเธอให้ดี’ แป้งร่ำในร่างของเฉินเฟิ่นอี้คิดในใจ ต่อจากนี้เธอคือเฉินเฟิ่นอี้ ไม่ใช่แป้งร่ำอีกแล้ว
ถ้าถามว่าทำไมเธอถึงทำใจได้เร็วขนาดนี้ คงเป็นเพราะชีวิตของแป้งร่ำมีแต่การทำงาน แม้แต่การรับประทานอาหารตอนเช้าก็ยังไม่ทันได้แตะ พอได้ลาออกมาพักผ่อนมันก็รู้สึกดี แต่อย่าลืมว่าเธอทำงานมาทั้งชีวิตแล้ว พอรู้ตัวว่าตายจากโลกเดิมและมายังอดีตของคนๆ หนึ่งที่หมดอายุขัยไปแล้ว ก็รู้สึกสงสารและการที่เธอมาที่นี่คงไม่ใช่ความบังเอิญ
เฉินเฟิ่นอี้ตั้งสติก่อนลุกขึ้นเพื่อเดินออกมาดูด้านนอก จากความทรงจำของร่างเดิม ตอนนี้คงเป็นตอนเย็นเพราะหลังเลิกงานทุกคนจะเข้าบ้านมาพูดคุยกันก่อนแยกย้ายไปทำงานบ้าน จริงๆ ก็นั่งพักนั่นแหละ ซึ่งห้องนี้เล็กมาก เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าประตูแล้ว
“เฟิ่นอี้!” สะใภ้สี่ที่เห็นประตูห้องนอนของลูกสาวคนโตเปิดก็รีบลุกมาดูอาการของลูกสาวทันที วันนี้เป็นวันที่ห้าที่หล่อนหมดสติไป หากหล่อนไม่ฟื้นสะใภ้สี่คงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
เพราะเห็นว่าหลานสาวจากบ้านเดิมไม่มีเพื่อน สะใภ้สี่จึงเป็นคนบอกให้หล่อนเข้าหาญาติผู้น้องอย่างเฉินเฟิ่นอี้ แต่ใครจะรู้ว่าหล่อนเป็นงูพิษ แย่งแม้กระทั่งคู่หมั้นของน้องสาวตนเองได้
“คะ…คุณแม่” เฉินเฟิ่นอี้มีสีหน้าตกใจก่อนจะมีน้ำตาไหลออกจากดวงตางดงาม แม่ของเฉินเฟิ่นอี้มีใบหน้าที่เหมือนกับแม่ของเธอที่เสียชีวิตไปแล้วไม่มีผิด
“เฟิ่นอี้ของแม่”
ท่ามกลางความเงียบทุกคนหันมามองสองแม่ลูก ผู้หญิงในบ้านที่เฝ้าหลานสาวต่างพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก เฉินเฟิ่นอี้ฟื้นแล้ว พรุ่งนี้ทุกคนจะได้ไปทำงานสักที
“ดีๆ หลานสาวสามฟื้นแล้ว” เฉินอี้หรือก็คือลุงใหญ่ของบ้านเฉินเอ่ย
“ต่อไปนี้สะใภ้สี่ก็ห่างๆ กับบ้านเดิมด้วยก็แล้วกัน ตาเฒ่าอี้กับยายแก่อี้เข้าข้างหลานสาวของพวกเขา เหยียบย่ำหลานสาวอีกคน คนแบบนี้ไม่สมควรเป็นตาเป็นยายใคร!”
ปู่เฉินโพล่งขึ้นมาอย่างโมโห ไม่ได้โมโหลูกสะใภ้แต่โมโหบ้านอี้ต่างหาก จริงอยู่ที่หลานสายในกับหลานสายนอกมันต่างกัน แต่อย่าลืมสิว่าทั้งสองคนก็เป็นหลานเหมือนกัน เพราะความอยากได้โดยไม่สนถูกผิดสนับสนุนหลานสาวแย่งคู่หมั้นคนอื่น
“ค่ะ ฉันรู้แล้ว” สะใภ้สี่ตอบพ่อสามีพร้อมพยุงตัวลูกสาวนั่งลงบนพื้นที่มีโต๊ะรับประทานอาหารอยู่ด้านหน้า
“พี่สาวฟื้นแล้ว! ฉันอยากให้พี่สอนวิชานี้ให้มากๆ เลยค่ะ!” เฉินเหม่ยเย่น้องสาวสี่หรือก็คือหลานสาวคนเล็กของบ้าน ที่มีพ่อแม่คนเดียวกันกับเฉินเฟิ่นอี้รีบบอก
เฉินเฟิ่นอี้เป็นเด็กผู้หญิงที่เรียนเก่งมาก เรียกได้ว่าเธออยู่ในอันดับต้นๆ ของชั้นปีเลยก็ว่าได้ แต่น่าเสียดายที่ล้มป่วยกลางคันซะก่อน ไม่อย่างนั้นคงขึ้นชั้นมัธยมปลายแล้ว ตอนแรกเฉินเฟิ่นอี้ไม่ยอมลาออกจากโรงเรียนเพราะเธอเรียนมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว แต่เพราะยิ่งเรียนอาการยิ่งหนักและเป็นช่วงที่ลุงสามของบ้านกลับมาพอดี เขาจึงยื่นคำขาดว่า หากอยากเรียนเขาจะพาไปที่กองทัพด้วย เฉินเฟิ่นอี้ที่ได้ยินว่ากองทัพก็รีบตกลงลาออกทันที
“เหม่ยเย่จ๊ะ หลานต้องรอพี่สาวสามหายดีก่อนนะ” สะใภ้รองกล่าวยิ้มๆ อย่างเอ็นดูหลานสาว
รุ่นปัจจุบันของบ้านเฉินมีทั้งหมด 9 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 5 คนผู้หญิง 4 คน ซึ่งตอนนี้เฉินจงพี่ชายใหญ่ของบ้านตามผู้เป็นอาไปทำงานในกองทัพทหาร พี่สาวใหญ่เฉินเจียอี๋แต่งงานไปเมื่อสองปีก่อนกับคนในตำบล ตอนนี้มีลูกสาวชื่อเหรินอี้อายุหนึ่งปีแล้ว พี่สาวรองเฉินเยี่ยนฉิงเพิ่งแต่งงานไปปีก่อนกับคนในหมู่บ้านข้างๆ ปัจจุบันยังไม่มีลูก
ส่วนคนที่เหลือในบ้านก็ยังเรียนอยู่ยกเว้นเฉินเฟิ่นอี้พี่สาวสามที่ลาออกจากโรงเรียนไปแล้ว เฉินไห่หลิวน้องชายรองและเฉินตงน้องชายสามตอนนี้กำลังเรียนในระดับมัธยมต้น เฉินเหม่ยเย่น้องสาวสี่และเฉินจางน้องชายสี่ตอนนี้เรียนระดับประถม ส่วนน้องชายคนเล็กของบ้านอย่างเฉินชิงชิงน้องชายห้าเพิ่งสองขวบปี จึงอยู่ในความดูแลของสะใภ้สี่ผู้เป็นแม่ และย่าเฉินที่หลงหลานชายคนเล็ก
“ไม่เป็นไรค่ะป้าสะใภ้รอง ฉันหายดีแล้ว” เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้าทั้งๆ ที่ใบหน้าของเธอยังซีดเซียวอยู่
“หายดีอะไรกัน! ไปๆ สะใภ้ใหญ่พาเหล่าน้องสะใภ้ไปทำอาหาร” ย่าเฉินว่าหลานสาว ก่อนจะบอกลูกสะใภ้ให้ไปทำอาหารมื้อเย็นของวันนี้ได้แล้ว
“ค่ะ”
เฉินเฟิ่นอี้ได้โอกาสเหลือบมองทุกคนอย่างละเอียด ทุกคนไม่ได้ผอมเหมือนชาวบ้านคนอื่นแต่ก็ไม่ได้อวบอ้วน ง่ายๆ ก็คือได้รับสารอาหารครบถ้วน และเหมือนว่าในแต่ละวันทุกคนจะได้รับประทานไข่ไก่ต้มคนละครึ่งลูก
ประตูในบ้านเยอะมาก บางประตูติดกันก็มี ในความทรงจำก็คือทุกคนมีห้องแยกเป็นของตนเอง แต่มันเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่พอนอนได้เท่านั้น สมาชิกทั้งหมดมีถึงสิบแปดคน แน่นอนว่าบ้านหลังแค่นี้มันไม่พอ ด้านนอกยังมีการต่อเติมยื่นออกไปจากตัวบ้านอีก
“เหม่ยเย่จ๊ะ พาพี่ชายน้องชายหลานไปเก็บผักหลังบ้านให้ที” สะใภ้รองที่ตามพี่สะใภ้ออกไปไม่นานกลับเข้ามาบอกหลานสาว
“ได้ค่ะ”
เฉินเหม่ยเย่พยักหน้า รีบเก็บการบ้านที่กำลังทำใส่กระเป๋า เมื่อถึงเวลาทำงานบ้าน ต่อให้เป็นการบ้านที่สำคัญหล่อนก็ต้องทำงานบ้านก่อน พอลุกขึ้นหล่อนก็ชะงักเล็กน้อยเพราะถูกกระตุกแขนเสื้อ
“คะ?” เฉินเหม่ยเย่เอียงศีรษะมองพี่สาวอย่างไม่เข้าใจ
“พี่ไปด้วย”
“ได้ค่ะ”
เฉินเฟิ่นอี้มองบรรดาน้องชายน้องสาวที่ช่วยกันเก็บผักในสวนผักหลังบ้าน เธอได้รับอนุญาตให้ตามมาด้วยแต่ไม่ให้ช่วยน้องๆ เก็บเพราะเพิ่งฟื้น มือเล็กยกขึ้นไพล่หลังมองบ้านเฉินที่หลังไม่เล็ก คงเป็นเพราะมีการต่อเติมตลอด จากบ้านหลังเล็กจึงดูใหญ่เมื่อเทียบกับบ้านใกล้ๆ
บ้านเฉินมีเนื้อที่ทั้งหมดสามหมู่ แบ่งเป็นตัวบ้านสองหมู่ และการทำสวนผักรวมถึงเลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด และเลี้ยงหมู่อีกหนึ่งหมู่ ซึ่งมากกว่าหลายบ้านด้วยซ้ำ ส่วนมากจะมีแค่หนึ่งถึงสองหมู่ เท่านั้น ที่สำคัญยังเป็นบ้านดินผสมฟางอีก
ปี 1970 ยังมีการจำกัดจำนวนการเลี้ยงไก่คนสองคน สามารถเลี้ยงไก่ได้หนึ่งตัว ที่บ้านมีทั้งหมดสิบแปดคน จึงเลี้ยงไก่ได้ทั้งหมดเก้าตัว และพวกมันก็ออกไข่ทุกวัน บ้านหลังอื่นจะนำไข่ไปขายแต่ไม่ใช่บ้านเฉินที่เก็บไว้ให้ทุกคนในบ้านรับประทาน
ติ้ง!
[ระบบเชื่อมต่อสำเร็จแล้ว ผู้เชื่อมต่อโปรดกดตกลง]
เฉินเฟิ่นอี้รีบมองไปยังสวนผักที่น้องๆ กำลังเก็บอยู่ ทุกคนไม่ได้หันมามองทางนี้ และด้านหน้าของเธอก็ปรากฏแผ่นใสๆ บางอย่างที่มีตัวหนังสือ มุมซ้ายล่างมีคำว่ายกเลิก ส่วนมุมขวาล่างมีคำว่าตกลง
“นี่คืออะไร” เฉินเฟิ่นอี้พึมพำและไม่มีท่าทีว่าจะกดเลย ไม่มีคำอธิบายใดๆ เธอจะกดทำไม
‘นายหญิงรีบๆ กดตกลงนะ! ข้าต้องทำงานต่อ’
อยู่ๆ ก็มีเสียงที่ดังขึ้นมาภายในหัว เฉินเฟิ่นอี้ตกใจจนเดินถอยหลัง แต่ยิ่งเดินเจ้ากระดานใสก็ลอยตามมา เหมือนกับว่ามันติดตัวเธออยู่ จนกระทั่งมาหยุดในที่ไม่มีคน เฉินเฟิ่นอี้จึงตัดสินใจถามเสียงในหัว
“ตกลงจะไม่บอกใช่ไหมว่าคืออะไร” เฉินเฟิ่นอี้กระตุกยิ้ม นี่คงเป็นสุดยอดการโกงเหมือนกับนิยายที่เธออ่านล่าสุดสินะ เธอโชคดีจริงๆ อย่างน้อยก็คงไม่ลำบาก
‘ข้าคือระบบสุดแกร่งที่มาเพื่อช่วยนายหญิงยังไงล่ะ’
น้ำเสียงยียวนทำให้เฉินเฟิ่นอี้ขมวดคิ้ว นี่คือระบบของเธออย่างนั้นเหรอ! ไม่เอาแล้วได้ไหม ท่าทางจะไม่ถูกชะตากับเธอเลย แต่เหมือนมันจะรู้ทันจึงบอกวิธีใช้ตัวมันเอง
‘ก็ได้ๆ ข้าเป็นระบบที่มีภารกิจให้นายหญิงทำ หากทำภารกิจสำเร็จก็จะได้รับรางวัลตอบแทน แน่นอนว่านายหญิงไม่มีทางรู้ว่ารางวัลคืออะไร ในหนึ่งวันจะได้รับหนึ่งภารกิจ ครบหนึ่งร้อยภารกิจนายหญิงจะได้วันละสองภารกิจ อีกอย่างคือภารกิจแต่ละอย่างก็มีแต้มสะสมแล้วแต่ความยากง่าย มันสามารถนำมาเแลกกับของในระบบได้หลายอย่าง ซึ่งระบบแลกแต้มของนายหญิงที่สามารถเปิดได้ก็ต่อเมื่อมีคะแนนถึงหนึ่งพันแต้ม’
เฉินเฟิ่นอี้ประมวลคำอธิบายอยู่ครู่หนึ่ง จึงสามารถเข้าใจได้ หมายความว่าหากเธอทำภารกิจทุกวันจนครบหนึ่งร้อยภารกิจ เธอจะสามารถเพิ่มภารกิจในแต่ละวันได้ และยังสามารถแลกแต้มสะสมได้อีก นี่มันโชคหล่นทับชัดๆ
“แล้วแต่ละภารกิจจะได้กี่แต้ม”
‘ภารกิจระดับต่ำ หนึ่งถึงสิบแต้ม’
“หะ หาาา”
เธอต้องทำภารกิจอีกกี่ชาติกันถึงจะเปิดระบบแลกของได้! สิบแต้มคูณหนึ่งร้อยวันก็ได้หนึ่งพันแต้มพอดี แต่อย่าลืมสิว่าภารกิจไม่ได้สิบแต้มตลอด
‘รีบๆ กดปุ่มเร็ว ใกล้หมดเวลาแล้ว”
เร็วเท่าความคิด มือขวาส่งไปกดปุ่มตกลงทันที แผ่นกระดานใสที่ลอยอยู่ตรงหน้ากระพริบหลายครั้งจนมีข้อความบางอย่างขึ้นมา ซึ่งมันเป็นภารกิจแรกที่ทำให้เธอต้องท้อ
[ภารกิจที่ 1 : ช่วยน้องชายน้องสาวเก็บผักเพื่อรับ 1 แต้ม]
ภารกิจแรกก็หนึ่งแต้มเลยเหรอ! นี่คือระบบที่มาช่วยเธอหรือมาแกล้งเธอกันแน่ ทุกคนยังไม่ยอมให้เธอทำงาน แต่ระบบสั่งให้เธอไปช่วยเก็บผักที่เด็กๆ เก็บกันใกล้เสร็จแล้ว แต่ยังไงก็เก็บไม่นานหรอกหรอกมั้ง
เฉินเฟิ่นอี้ชั่งใจก่อนจะเดินไปหาเด็กๆ ในสวนผัก เอาล่ะ ถึงภารกิจจะสะสมเพียงหนึ่งแต้ม แต่มันยังมีรางวัลพิเศษให้อยู่ ซึ่งเธอหวังว่ามันจะเป็นของดี