ตอนที่5 เต้าอาบยาพิษ
ห้องหับในสำนักโคมเขียวอันมีไว้เพื่อจุดประสงค์ในการเสพสมเป็นห้องไม่เล็กไม่ใหญ่นัก แบ่งสัดส่วนตามประเภทของนางโลมซึ่งนางโลมผู้ขายเรือนร่างจัดว่าเป็นนางโลมอันดับต่ำสุดในสำนักโคมเขียว ภายในห้องตกแต่งเรียบง่ายด้วยผ้าม่านเนื้อเลวมีกระถ่างธูปปักก้านธูปเพื่อดับกลิ่นอับส่งกลิ่นหอมฟุ้ง
“นายท่านยังอยากนั่งดื่มสุราต่อหรือไม่เจ้าคะ”
ปิดห้องเรียบร้อยนางโลมจูจีเดินไปนั่งไขว่ห้างบนเตียง ท่อนขาขาวอวบวางทับกันสะท้อนกับแสงตะเกียงชวนให้บุรุษผู้กระหายราคะเลือดในกายเดือดพล่าน
“ข้าไม่ต้องการสุราในยามนี้ ข้าต้องการเจ้า”
เตียวหุยกล่าวเสียงแหบ มันเดินเข้าไปหาหญิงสาวแล้วดึงร่างของนางเข้ามาสวมกอด ซุกไซ้ปลายจมูกลงไปบนใบหน้าลำคอระหงเสียงดังฟืดฟาด กลิ่นกายของนางโลมผู้นี้ช่างหอมไม่ต่างจากเกสรดอกไม้ อันว่าเพศชายหญิงสร้างมาให้แตกต่างเพื่อเติมเต็มซึ่งกันและกันคงไม่ผิดนัก ยิ่งใกล้ชิดสนิทแนบราคะยิ่งกำเริบมากขึ้น ขุนศึกผู้ห่างจากรสชาติของสตรีมาช้านานย่อมมีความปรารถนาอันแรงกล้า
“อุ๊ย นายท่านตะกละเสียจริง”
จูจีแสดงท่าทางตกใจหากในใจนางกลับต่างออกไป นางแสร้งยกมือขึ้นปัดป้องพอเป็นพิธีเล็กน้อยแต่ยอมให้เตียวหุยโลมเล้าเรือนกายของนางจนมันพอใจ
“หน้าอกของเจ้าอวบใหญ่เหมาะจะแม่พันธุ์นัก” เตียวหุยกล่าวพลางบีบคลึงทรวงอกของหญิงสาว จูจีหัวเราะคิกคัก นางเบี่ยงกายหลบยืนขึ้นต่อหน้าของมันแล้วประคองร่างกำยำให้นั่งบนเตียง
“ท่านอยากจะเห็นเรือนร่างของข้าแบบเต็มตาหรือไม่”
เตียวหุยพยักหน้าดวงตาดำใหญ่บัดนี้ฉ่ำปรือไปด้วยเปลวไฟแห่งตัณหาลุกโชน
จูจีบรรจงเปลื้องอาภรณ์ที่นางสวมใส่ออกเชื่องช้า ผ้าทุกชิ้นที่หลุดออกเผยให้เห็นเรือนกายขาวผุดผาดแม้ว่านางจะไม่ใช่หญิงงาม หากก็เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อันร้ายกาจพออาภรณ์ชิ้นทุกท้ายถูกถอดออกนางก็เดินไปยืนเบื้องหน้าของเตียวหุย อีกฝ่ายตะลึงงันกับภาพภูเขาหิมะเบียดชิดสองลูก ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กหากเทียบกับศีรษะของมันยอดเขาประดับด้วยทับทิมเม็ดใหญ่สีเข้ม
ด้านบนของนางเป็นภูเขาหิมะลูกใหญ่หากเบื้องล่างกลางเรือนกายเป็นเนินทุ่งหญ้าผืนใหญ่รกครึ้มไปด้วยเถาวัลย์สีดำ มีรอยแยกของแผ่นดินผ่ากลาง รอยแยกนั้นอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การหว่านไถพืชพันธ์ และเหมือนว่าคันไถของเตียวหุยก็พร้อมจะตะกุยรอยแยกอันสมบูรณ์นั้น
“นายท่านอยากสัมผัสข้าหรือไม่เจ้าคะ” จูจีไม่ได้พูดเปล่านางจับฝ่ามือหยาบกร้านของอีกฝ่ายไปสัมผัสกับความอวบอิ่มของสรีเพศ
“เจ้าทำให้ข้าแทบแตกสลายแล้วแม่นาง”
เตียวหุยไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด เสน่ห์ยวนเย้าจากเรือนกายของจูจีและความตื่นเต้นทำให้ความเป็นชายชาตรีของเขาเจิ่งนองจนแทบระงับการแตกซ่านอาไว้ไม่อยู่ มันรวบดึงเอวหนาของนางเข้ามาในระยะใกล้แล้วก้มหน้าลงไปซุกไซ้ดูดเลียส่วนยอดปลายภูเขาหิมะของหญิงสาวเสียงดัง ไม่ต่างกับกำลังซดน้ำแกงร้อนอันโอชะ
จูจีขบขันกับท่าทางไร้เดียงสาเรื่องสตรีเพศของเตียวหุย แวบแรกที่นางเห็นเขาเตียวหุยผู้นี้ช่างดูดุดันน่าเกรงขาม ยิ่งได้รู้ข้อมูลว่าเขาเป็นถึงขุนศึกผู้กล้าข้างกายของแม่ทัพใหญ่ทำให้นางรู้สึกหวั่นใจเกรงว่าจะหาทางจัดการกับเขาได้ยากเย็น
แต่ดูตอนนี้สิ เขาไม่ต่างจากทารกน้อยที่กำลังหิวนมมารดา
“เหตใดรสชาติของเจ้าเฝื่อนลิ้นเช่นนี้” มันเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวคิ้วเข้มขมวดมุ่น
“อาจเพราะสุราชั้นเลวที่ท่านดื่มเข้าไปเมื่อครู่ อย่าได้กังวลไปเลยเชิญดื่มด่ำกับร่างกายข้าเถอะนายท่าน รสชาติเลอเลิศชนิดใดกันจะน่าภิรมย์เท่ากับรสชาติของสตรี”
“ข้อนั้นนับว่าเป็นความจริง”
เตียวหุยผู้กำลังหน้ามืดตามัวคล้อยตามคำพูดของนาง มันก้มหน้าลงหาความสำราญกับเนินเนื้ออวบหยุ่นโดยไร้ความระแวดระวังภัยอันใด ขณะที่ปากกับจมูกของมันซุกไซ้ฟอนเฟ้นทรวงถันของหญิงสาวมือข้างหนึ่งก็ลูบคลำต่ำลงไปยังเนินเนื้อผืนใหญ่ด้านล่าง
“อ่า”
จูจีสะดุ้งเมื่อปลายนิ้วของมันลูบคลำอวัยวะซึ่งไวต่อสัมผัสของนาง ไม่เพียงลูบคลำเท่านั้นเตียวหุยยังสอดปลายนิ้วแทรกเข้าไปในรอยแยกของเนินเนื้อ ก่อให้เกิดความกระสันซาบซ่านแก่หญิงสาว นางกัดริมฝีปากแน่นหากไม่อาจระงับความกระสันวาบหวามเอาไว้ได้ นางจึงเปล่งเสียงครางออกมาโดยสัญชาติญาณแห่งธรรมชาติ
“นะ… นายท่าน…”
หญิงสาวโอบรัดศีรษะของมันเอาไว้แน่นกดใบหน้าของเตียวหุยให้จมลงไปกับเนินเนื้อทรวงถันอวบอิ่มของนาง นานครู่หนึ่งปากที่ดูดดุนยอดปลายยอดถันก็คายออก มือใหญ่แต่เดิมที่โอบรัดบีบสะโพกของนางข้างหนึ่งสอดใส่เข้าออกในร่างกายนางข้างหนึ่งก็ทิ้งลงข้างกาย
มันหมดสติไปเสียแล้ว!
“นายท่าน”
จูจีลองเขย่าร่างปลุกมันอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่ามันหลับสนิทนางก็ผลักร่างกำยำใหญ่โตให้นอนลง แล้วฉวยอาภรณ์มาสวมใส่
“ว่าไปแล้วท่านก็เป็นบุรุษไม่เลวผู้หนึ่ง น่าเสียดายที่ข้าต้องทำตามคำสั่งของนายหญิง มิเช่นนั้น…”
นางมองเตียวหุยด้วยสายตาของหญิงสาวผู้เพิ่งจะถูกโลมเล้าจากชายหนุ่มจนเลือดในกายร้อนผ่าว จูจีถอนใจนางหมุนตัวเดินไปยังประตูหน้าห้องซึ่งบัดนี้ปรากฏร่างของชายชุดดำสองคน
“เอาตัวไปได้”