สามเดือนก่อน
เวลา 8.00 น.
“อยุธยาเมืองเก่าของเราแต่ก่อน จิตใจอาวรณ์มาเล่าสู่กันฟัง อยุธยาแต่ก่อนนี้ยัง เป็นดังเมืองทองของพี่น้องเผ่าพงศ์ไทย....”
เพลงที่กระจายเสียงดังไปทั้งบ้านอยู่นั้นคือเพลงชาติประจำบ้านใหญ่หลังนี้ บ้านคนอื่นอาจจะเป็นเพลงชาติไทย แต่สำหรับที่นี่เพลงอยุธยาเมืองเก่า ถือเป็นเพลงชาติที่ต้องเปิดในเวลาแปดโมงเช้าทุกวันสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่น จนถึงวันนี้ก็ยังเปิดอยู่
คร่ำครึกันจริง ๆ!!
“วันนี้คุณดาวโชว์ฝีมือทำแกงรัญจวนเหรอคะ”
“ใช่ค่ะพี่แวว”
“หม่อมต้องดีใจแน่ ๆ เลยค่ะ เพราะฝีมือของคุณดาวอร่อยที่สุด”
ฉันกำลังยืนจัดจานบนโต๊ะอาหาร ตื่นตั้งแต่ฟ้ามืดเพื่อมาทำอาหารเช้าเหมือนเช่นเคย ฝีมือทำอาหารของฉันไม่เป็นรองใคร เพราะหม่อมย่าสอนมาเองกับมือ การทำอาหารทำให้ฉันมีความสุขที่สุด ลืมเรื่องทุกข์ได้เป็นปลิดทิ้ง
“อ้าว! ยัยทัดดาวหล่อนกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ผู้หญิงวัยสี่สิบปลาย ๆ แต่งชุดเดรสกระโปรงสั้นสีน้ำเงิน ประดับด้วยเครื่องเพชรทั้งต่างหู สร้อยคอ กำไลข้อมือ ผมสีดำขลับสยายยาวถึงกลางหลัง ไว้ผมหน้าม้าบาง ๆ เดินลงมาเป็นคนแรก เธอชื่อคุณครองขวัญ เป็นป้าสะใภ้ของฉันเอง
“กลับมาได้สองวันแล้วค่ะคุณขวัญ”
เธอไม่ได้สนใจคำตอบของฉันหรอก เดินไปนั่งเก้าอี้ตัวริมด้านซ้ายมือเป็นที่ประจำของคุณเธอ พร้อมกับยกโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ขึ้นอ่านข่าวบันเทิง เพราะสำหรับเธอแล้วความคืบหน้าของเหล่าเซเลบเป็นสิ่งสำคัญในวงไฮโซ
“หล่อนเอาน้ำส้มคั้นสด ๆ มาให้ฉันด้วยนะ”
เธอสั่งในขณะที่สายตายังคงก้มมองโทรศัพท์ในมือตัวเอง
“ได้ค่ะคุณขวัญ”
ขวับ!
จู่ ๆ เธอก็หันขวับมาหาฉันด้วยสายตาเบิกโพลง
“ฉันบอกหล่อนกี่ครั้งแล้วยะ ให้เรียกฉันว่าครองขวัญ ชื่อพยางค์เดียวเฉย ๆ แบบนั้นอย่าให้ฉันได้ยินอีก”
“ขอโทษค่ะ ดาวลืมไป”
“หัดจำใส่สมองกลวง ๆ ของหล่อนไว้ด้วย”
“....”
ป้าครองขวัญด่าจบ ก็ก้มไปดูหน้าจอต่อ เฮ้อ~ฉันโดนป้าด่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วล่ะ วันไหนเจอหน้าแล้วไม่โดนด่านี่สิ ถึงจะเรียกว่าแปลก
“เสียงเอะอะอะไรกันแต่เช้า” เสียงทุ้มต่ำเดินเข้ามาใหม่ เขาชื่อลุงเพชรภูมิ อายุสี่สิบปลาย ๆ เป็นลุงแท้ ๆ ของฉัน เป็นสามีป้าครองขวัญคนที่ด่าฉันเมื่อตะกี้ เขาแต่งตัวภูมิฐานด้วยเสื้อเชิ้ตสีอ่อน กับกางเกงสแล็คสีดำ นิสัยเรียบร้อย ไม่ค่อยพูด ใจดีเป็นมิตร ต่างจากภรรยาของเขาราวฟ้ากับเหว
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่ป้าครองขวัญสั่งน้ำส้มกับดาวก็เท่านั้น”
“ก็ดีแล้ว เอากาแฟเข้ม ๆ ให้ลุงด้วยล่ะ”
ลุงเพชรภูมิเดินมาพร้อมกับโยกศีรษะฉันเบา ๆ แล้วเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวริมด้านขวามือที่ประจำของเขา
“ได้ค่ะลุงเพชร” ฉันส่งยิ้มให้ลุงตามมารยาท ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาต เมื่อหันไปมอง จึงได้รู้ว่าป้าครองขวัญกำลังถมึงทึงใส่ฉันอยู่ เอาสะหลบสายตาไม่ทันกันเลยทีเดียว ไม่รู้จะหึงอะไร ฉันเป็นหลานแท้ ๆ ของคุณลุง ไม่คิดเป็นอย่างอื่นอยู่แล้ว
“เฮ้อ~เพลงบ้านี่อีกแล้ว ไอโด้นไลท์มิวสิคนี้จริง ๆ” หญิงสาววัยขบเผาะ พูดไทยคำฝรั่งคำ ถึงสำเนียงจะเชยบ้าง ไม่ตรงไวยากรณ์บ้าง แต่เธอก็ยังมั่นใจตัวเอง เลือกเรียนคณะมนุษยศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ เธอเป็นลูกพี่ลูกน้องแก่กว่าฉันสองปี หน้าตาสะสวย หุ่นดี ร่าเริง มีเสน่ห์กับเพศตรงข้าม มั่นใจตัวเองสูง ชอบการแต่งตัว เพื่อนเยอะ ชอบความสนุกเฮฮาปาร์ตี้ ที่สำคัญชอบแบรน์เนมเป็นที่สุด ไม่ว่าจะเสื้อผ้า เครื่องสำอาง กระเป๋าสะพายราคาเหยียบหลักล้าน ตรงข้ามกับฉันทุกอย่าง
เธอเดินเกาศีรษะเข้ามาในห้องอาหาร ใบหน้าเบื่อหน่าย สวมใส่ชุดนอนกระโปรงสีเหลืองลายเป็ดน้อย ผมสีบลอนด์ทองรุงรังราวรังนก เพราะเธอเพิ่งจะตื่นนอน หลังจากที่เมื่อคืนไปแฮงค์เอ้าท์กับเพื่อนเก่าสมัยมัธยม
“ปวดเฮดจริง ๆ ยัยด๋อยขอน้ำเย็น ๆ แก้เมาหน่อยดิ๊” เธอเอ่ยพลางเดินไปนั่งข้างป้าครองขวัญ ‘ด๋อย’ เป็นฉายาที่เธอตั้งให้ฉัน และมีแต่เธอเท่านั้นที่เรียกชื่อนั้น คนอื่นไม่ห้ามปราม เธอเลยเรียกฉันมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนถึงป่านนี้แล้วก็ยังไม่เลิกเรียกสักที
“ค่ะพี่น้ำ”
“โน!! ฉันบอกแก่กี่ครั้งแล้ว ชื่อฉันคือเอวา..ยูโน๊ว..เอ..วี...เอ ยูโน๊ว”
“ค่ะ ๆ พี่เอวา”
ไม่ต้องบอกว่าเธอลูกใครใช่ไหม...เพราะนิสัยได้แม่มาเต็ม ๆ ยิ่งนั่งติดกัน แยกไม่ออกเลยล่ะว่าใครเป็นใคร
“แฮร่!! พี่ดาว”
เด็กน้อยวัยสิบสี่ใส่ชุดนักเรียนจี้เอวฉันจากทางด้านหลัง ฉันไม่ได้ตกใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนเดียวที่ทำแบบนี้ได้คือ น้องเทพ ลูกชายคนเล็กของพวกลุงเพชรกับป้าครองขวัญ
“ยังไม่ปิดเทอมเหรอ” ฉันเอ่ยพร้อมกับย่อตัวให้สูงเท่ากับน้องเทพ โยกศีรษะเขาด้วยความเอ็นดู
“จะปิดได้ไง ผมต้องไปเรียนพิเศษ” เขาปัดมือฉันออก เดินไปนั่งติดกับลุงเพชร
ทุกคนมากันพร้อมหน้า ยกเว้นคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ทุกคนต่างไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อ ต่างคนต่างนั่งก้มงุดมองจอโทรศัพท์มือถือของใครของมัน ส่วนฉันเหรอ ยืนหลบมุมใกล้ ๆ กับพวกพี่สาวใช้
รอไม่นาน ผู้หญิงวัยหกสิบปลาย ๆ ย่างเข้าเจ็ดสิบ เดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยท่าทางเชิดหยิ่ง เธอสวมใส่ชุดผ้าไหมสีเลือดหมู ผมสีขาวทั้งศีรษะ ด้านหน้าถูกยกตีกระบังสูง ใบหน้านิ่งเฉยขับให้ดวงตาดูดุน่ากลัวขึ้น นั่นคือหม่อมย่าของฉันเอง สืบเชื้อสายวงศ์ตระกูลมาจากในรั้วในวัง นามสกุลลงท้ายด้วย ณ แน่นอนว่าทุกคนต่างรู้จักกันดี รวมถึงนิสัยเจ้าระเบียบด้วย บังคับให้ทุกคนต้องอยู่ในกรอบ พูดตรงพูดแรง ไม่พอใจก็จะแสดงออก เป็นเจ้าของบ้านใหญ่หลังนี้
“หม่อมแม่มาแล้ว” ป้าครองขวัญลุกขึ้นยืน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มส่งไปให้หม่อมย่าที่กำลังเดินมานั่งหัวโต๊ะ
“ยิ้มหน้าบานมีเรื่องอะไรอีกล่ะแม่ขวัญ อย่าบอกนะว่าจะมาขอเบิกเงินบริษัทอีก”
บริษัทที่เอ่ยถึงก็เป็นกิจการเกี่ยวกับผลิตและจำหน่ายแคปซูลเปล่าชนิดแข็ง สำหรับบรรจุยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร โดยมีหม่อมย่าเป็นเจ้าของบริษัท ส่วนลุงเพชรทำหน้าที่เป็นผู้บริหาร รายได้ส่วนใหญ่ของครอบครัวก็มาจากบริษัทนี้แหละ ส่วนรายได้รองก็มาจากที่ดินมากมายที่ตกทอดกันมา หม่อมย่ามีหัวการค้าจึงปล่อยให้เช่า บ้างก็ทำตลาดนัด บ้างก็สร้างตึกห้องแถว บ้างก็ให้ทำการเกษตร รายรับทั้งหมดหม่อมย่าเป็นคนจัดการ
“หม่อมแม่อย่าพูดแบบนั้นสิคะ พรุ่งนี้จะมีงานการกุศล ครองขวัญต้องขอเบิกเงินไปซื้อชุดสักหน่อย ใส่ชุดเก่าไปมีหวังอายคนอื่นแย่”
“เสื้อผ้าในห้องนอนหล่อน ใส่หมดแล้วเหรอ”
“ใส่หมดแล้วค่ะ”
“งั้นก็เอาพวกนั้นไปขายต่อสิ เอาเงินที่ได้ไปซื้อเสื้อใหม่ รู้จักหมุนเวียนเงินบ้าง ไม่ใช่เป็นขอทานไปวัน ๆ”
“หม่อมแม๊!” ป้าครองขวัญเถียงไม่ออก นั่งเม้มปากทำหน้าแง่งอน
“หม่อมย่าพูดกับคุณแม่แรงไปนะคะ” พี่เอวาเอ่ยแทรก มองแม่ตัวเองแล้วหันไปมองหม่อมย่า
“ที่ฉันพูดไม่ใช่เรื่องจริงเหรอ ไหนหล่อนลองพูดเรื่องจริงมาให้ฉันฟังสิ”
“เอวาคิดว่าหม่อมย่าลำเอียงค่ะ”
“ใครคือเอวา”
“หนูไงคะ หนูชื่อเอวา”
“ไม่ยักรู้ว่าหล่อนเปลี่ยนชื่อจากน้ำ เป็นเอวาแล้ว เป็นคนไทยแท้ ๆ ยังจะเอาชื่อฝรั่งมาตั้งอีก ไม่อายต้นตระกูลบ้างหรือไง” คนรุ่นเก่าอย่างหม่อมย่า ไม่ชอบอยู่แล้วกับภาษาอังกฤษ
“ชื่อเชย ๆ แบบนั้น เอวาไม่อยากใช้หรอกค่ะ”
“นามสกุลของฉันก็เชย หล่อนก็น่าจะเปลี่ยนด้วย แล้วย้ายออกไปพ้น ๆ จากบ้านนี้สะ ฉันจะได้ไม่ต้องอายที่มีหลานอย่างหล่อน”
“หม่อมย่า!!” พี่เอวาลุกขึ้นยืนพรวดพราด จ้องหม่อมย่าด้วยความโกรธ แต่หม่อมย่ากลับทำหน้านิ่ง ไม่รู้ร้อนรู้หนาวในกิริยาท่าทางไร้มารยาทของพี่เอวา
“ใช่สิคะ...ใครจะไปเรียบร้อยเหมือนหลานรักหม่อมย่าล่ะ” คำเสียดสีเอ่ยพร้อมกับเหลือบมามองฉัน
“หล่อนก็หัดเรียบร้อยเหมือนทัดดาวสะสิ”
“โนเวย์!! ไอไม่มีทางเป็นเหมือนมันหรอก ไอมีแฟมิลี่ มันก็แค่เด็กกำพร้า หม่อมย่าอย่าเอาคนชั้นต่ำมาเทียบกับไอ ไอไม่ชอบ ไอไม่โอเค” พี่เอวาตะโกนเสียงดัง แล้วกระแทกเท้าเดินมาชนไหล่ฉัน ก่อนจะเดินออกไปทางประตู
“ไม่มีความเป็นกุลสตรีเลยสักนิด ถ้ารู้ว่าโตมาแล้วเป็นแบบนี้ ฉันคงเอาขี้เถ้ายัดปากหล่อนตั้งแต่เกิดไปแล้ว” หม่อมย่าเอ่ยพร้อมกับส่ายศีรษะ ถอดถอนหายใจเสียงยาว
เมื่อไหร่ที่สามสาวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ก็มักจะถกเถียงแบบนี้ตลอด ฉันชินแล้วล่ะ
“หม่อมแม่อย่าถือโทษเอวาเลยนะคะ แกยังเด็ก ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก”
“หึ! อายุยี่สิบเอ็ดแล้ว ยังเรียกว่าเด็กเหรอ หล่อนน่ะเลี้ยงลูกตามใจเกินไป ไร้มารยาทไม่มีความเคารพ เถียงผู้ใหญ่ฉอด ๆ สักวันเถอะพวกหล่อนจะน้ำตาเช็ดหัวเข่าเพราะลูกสาวตัวดีของหล่อน”
“ขอโทษค่ะหม่อมแม่” ป้าครองขวัญก้มหน้างุดสำนึกผิด บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้านี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด ฉันจึงเลือกที่จะตักข้าวให้กับทุกคนแทน
“หล่อนก็นั่งกินข้าวด้วยกันสิทัดดาว” หม่อมย่าเอ่ยขึ้น ในขณะที่เชิดปลายคางไปยังที่นั่งของพี่เอวาที่เพิ่งลุกไปเมื่อครู่
“ไม่เป็นไรค่ะหม่อมย่า ดาวยังไม่หิว เดี๋ยวดาวค่อยไปกินในครัวก็ได้”
หือ...สายตาที่ป้าครองขวัญมองฉันราวกับยักษ์มาร ใครจะกล้าไปนั่งใกล้ ๆ ได้ล่ะ รีบปฏิเสธไปทันที
“คำสั่งฉัน หรือหล่อนจะกล้าขัด”
ฉันเถียงไม่ออกจริง ๆ ในใจไม่อยากนั่งกิน แต่ขัดหม่อมย่าไม่ได้ จึงนั่งลงข้าง ๆ ป้าครองขวัญ รสชาติอาหารเป็นยังไงเหรอ ไม่รู้สิ...เพราะฉันมัวแต่ระแวดระวังคนข้าง ๆ เอาแต่งุดหน้าห่อไหล่ ไม่กล้าแม้กระทั่งจะตักข้าวในปาก
“หล่อนเป็นคนทำแกงรัญจวนเหรอ”
“หา...คะ...ใช่ค่ะหม่อมย่า”
ไม่มีแม้แต่คำชม หรือคำเอ่ยต่อ แต่ที่แน่ ๆ ในชามของหม่อมย่ากินแกงรัญจวนหมดเกลี้ยง แค่นั้นก็ทำให้ฉันดีใจแล้ว
เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จ ฉันกับคนรับใช้อีกสองคนต่างช่วยกันเก็บจานข้าว ส่วนคนอื่น ๆ ก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงานของตนเอง ทว่าเมื่อฉันเดินถือจานกระเบื้องลายเบญจรงค์เข้ามาเก็บในครัว
ตุบ!
ฉันถูกกระแทกเข้าที่ไหล่อย่างแรงโดยไม่ทันตั้งตัว
เพล้ง!
จานในมือร่วงตกแตกกระจาย ก่อนที่ตัวฉันจะล้มลงไปทับเศษกระเบื้องพวกนั้น พลันให้ฝ่ามือถูกบาดเต็ม ๆ
“คุณดาว!!” สาวใช้สองคนที่เดินตามหลังมา ต่างร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากมือฉัน
“ระวังหน่อยสิยะยัยดาว ดีนะที่ชุดฉันไม่เป็นไร หากเปื้อนขึ้นมา น้ำหน้าอย่างหล่อนไม่มีทางจ่ายไหวหรอก” เสียงแดกดันเป็นของคนที่เจตนาชนฉันเมื่อกี้ เธอคือป้าครองขวัญ คงจะมาระบายอารมณ์ที่ถูกหม่อมย่าด่าไป พูดจบก็เชิดหน้าใส่ แล้วเดินจากไป
“คุณดาวเป็นยังไงบ้างคะ ละ...เลือดเยอะมาก” สองสาวใช้เข้ามาดูฝ่ามือฉัน แต่เศษกระเบื้องที่ทิ่มอยู่ในฝ่ามือมันลึกเกินไป พวกเธอทำอะไรไม่ถูก ต่างพากันปากสั่น หน้าซีดด้วยความกลัว
“เดี๋ยวดาวจะดึงเศษกระเบื้องออกเอง พี่ออยใช้ผ้ากดห้ามเลือดไว้นะคะ ส่วนพี่แววไปบอกลุงสมานเตรียมรถให้หน่อย แผลลึกขนาดนี้ดาวคงต้องไปโรงพยาบาล”
“ได้ค่ะคุณดาว”
สองสาวเตรียมพร้อมอย่างที่ฉันบอก ฉันใช้มืออีกข้างจับชายเสื้อตัวเองไว้ เพื่อรองมือไม่ให้โดนบาดในขณะดึงเศษกระเบื้องออก จึก!! ถึงจะเจ็บจะแสบทรมานจนมือชาทั้งแขน แต่ฉันกลับไม่ร้องออกมาสักนิด พี่ออยรีบใช้ผ้าที่เตรียมไว้กดห้ามเลือดด้วยใบหน้าหวาดเสียวกล้า ๆ กลัว ๆ กับเลือดที่ยังไหลออกมาไม่หยุด จากนั้นฉันก็รีบให้ลุงสมานขับรถ พามาส่งโรงพยาบาลในตัวเมือง
‘เอาจริง ไม่ใช่ว่าฉันไม่กลัว...ไม่ใช่ว่าฉันไม่เจ็บ...เพียงแต่ฉันไม่มีใครคอยประคบประหงมต่างหาก ฉันไม่เคยร้องไห้หลังจากที่พ่อแม่ตายจากไปด้วยอุบัติเหตุตอนฉันห้าขวบ ฉันไม่มีคนที่รัก ไม่เข้าใจคำว่าครอบครัว แต่ละวันทำได้เพียงอยู่ไปวัน ๆ ทำตามคำสั่งหม่อมย่า ถึงแม้จะถูกเกลียดถูกรังแก แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่ฉันจะฟ้องให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต เพราะรู้อยู่เต็มอกว่ามันเปล่าประโยชน์ สู้ให้ฉันเป็นคนเงียบ ๆ อยู่อย่างเจียมตัวในเงาสะยังจะดีกว่า’