“เช้านี้อากาศดี เหมาะแก่การชื่นชมดอกไม้จังเลยนะคะ”
ดอกกุหลาบหลากสีเบ่งบานเต็มสวนหลังคฤหาสน์อรัญรัตนา คุณนฤมล ภรรยาเจ้าของคฤหาสน์ตื่นเช้ามารับลมชมสวนตามกิจวัตร มีสกาวใจ แม่บ้านตาคมตามประกบทุกฝีก้าว คอยยื่นตะกร้ามาให้ทุกครั้งที่กรรไกรบรรจงตัดก้านกุหลาบ เตรียมนำไปจัดช่อดอกไม้มอบให้คนสำคัญ
“ความสุขของคนวัยฉัน แค่ได้ตื่นมาเห็นดอกไม้สวยๆ ก็มีความสุข” เพราะไม่มีหลานให้เลี้ยง จึงต้องเลี้ยงแมว ปลูกกุหลาบแก้เหงา
“ตัดเยอะนะคะ คุณนายจะจัดช่อดอกไม้ไปฝากใครเหรอคะ ให้ทาย คุณหนูพิมใช่ไหม เพราะจะว่าปักแจกันอย่างเดียวก็ไม่น่าจะใช่”
“สู่รู้นักนะแม่คุณ ยกเว้นรหัสตู้เซฟของฉันมั้งที่หล่อนไม่รู้”
“คุณนายพูดไปเรื่อย สกาวไม่อยากรู้หรอกค่ะ สกาวยังไม่อยากเก็บของออกจากบ้านไปหางานใหม่ อยู่ที่นี่สบายจะตาย นั่งๆ นอนๆ ดูซีรีส์ แทบไม่ได้ทำงาน ต่างประเทศหรูๆ ก็ได้ไป แค่คอยประจบคุณนายไปวันๆ ก็สบายไปทั้งชาติ”
“สักทีดีไหม” ยกมือขู่จะตี เพราะแสบซนอย่างนี้ไงถึงไม่มีแฟนกับเขาสักที อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ สามสิบกว่าปี
“อย่าค่ะ ผิวสกาวบอบบาง ตีนิดเดียวก็ชอกช้ำดำเขียว”
“น่าหมั่นไส้เกินหล่อนไม่มีแล้ว นิสัยซนเกินหญิง อย่างนี้จะหาสามีได้ไหม ตาสารัชอยากอุ้มหลาน ชาติไหนจะได้อุ้มจ๊ะแม่คุณ”
“จะมาเอาอะไรกับสกาว วันๆ อยู่แต่ในบ้านไม่ได้เจอใคร”
“คนสมัยนี้ไวไฟ เจอกันในเน็ตชอบพอกันสักพักตกลงปลงใจคบกันไปถึงแต่งงานมีออกเยอะแยะ ฉันแก่ปูนนี้ยังรู้เลย แม่สกาว เธออายุแค่นี้ทำไมจะหาแฟนไม่ได้ ที่ไม่มีเพราะไม่ยอมเปิดใจมากกว่า”
“สกาวไม่อยากคบคนในเน็ต อยู่แบบนี้ก็สบายดีนะคะ”
ไร้ผล คนไม่เคยมีแฟนไม่รู้สึกขาดและไม่กระตือรือร้นอยากมี
แสงอ่อนๆ ยามเช้ามาพร้อมสายลม สองสตรียืนเด่นท่ามกลางแปลงดอกไม้ มองพวกมันพลิ้วลู่ลมแววตาผ่อนคลาย ทว่าหากตั้งใจมองดีๆ จะสังเกตเห็นความกังวลภายในดวงตาหญิงวัยกลางคน
“แต่ฉันอยากให้เธอมีแฟน ฉันพูดจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น ถ้าเธอคบใคร จะชวนมาทำงานด้วยกันที่นี่ก็ได้ แต่คนนั้นจะต้องเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันไม่สบายใจทุกครั้งที่คนวัยเดียวกับเธอมีความคิดอยากครองตัวโสด ฉันกลัวหมดยุคฉัน แล้วพอพวกเธอแก่ตัว พวกเธอจะต้องใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง ตารันก็อีกคน ทั้งที่รู้ว่าตัวเองจะต้องสืบทอดธุรกิจ แต่กลับไม่มีความคิดที่จะแต่งงานมีลูกมาสืบสกุล อยากให้จบที่รุ่นตัวเองงั้นเหรอ”
“สกาวว่าคุณรันไม่ได้ตั้งใจจะครองตัวโสดหรอกค่ะ คุณรันแค่ไม่ชอบถูกบังคับแล้วก็ยังไม่เจอคนถูกใจ” สกาวใจรักท่านไม่ต่างจากมารดาแท้ๆ เข้าใจความหวังดีที่ท่านมีต่อตนเองและคุณรันทายาทของท่าน
“คนแบบไหนล่ะ ที่จะทำให้ลูกชายฉันจะปักใจรักไปจนถึงขั้นแต่งงานกันได้”
ไม่ใช่เรื่องเงินทองเสมอไปที่ท่านกังวล แต่ท่านกลัวว่าหากตายไป ลูกชายที่ท่านรักนักรักหนาจะต้องมีชีวิตอยู่คนเดียว ในภายภาคหน้าหากมีปัญหาทางธุรกิจหรือมีปัญหาชีวิต อย่างน้อยๆ จะได้มีภรรยามีลูกๆ เคียงบ่าเคียงไหล่ถือเป็นกำลังใจที่ดี
“ก่อนที่ตารันจะกลับถึงบ้าน หนูพิมโทรมาฟ้องฉันว่าถูกตารันด่าไม่ไว้หน้าบนเครื่องบิน เธออายคนจะแย่ พ้นจากคนนี้ ฉันมองไม่เห็นคนไหนอีกแล้วที่พอจะแนะนำให้ตารันทำความรู้จัก ฉันกล้าพูดได้เลยว่าผู้หญิงทุกคนที่ฉันแนะนำ ล้วนแล้วแต่เพอร์เฟกต์ต์ไม่มีที่ติ”
“ไม่ใช่เพราะคุณหนูพวกนั้นไม่ดีหรอกค่ะ แต่เป็นเพราะคุณรันต่อต้านคุณนายมากกว่า อุ๊ย ฟังก่อน” สาวใต้ตัวสูงหดตัวลงเหลือนิดเดียว ไม่กล้าสู้สายตาคมปานมีดของภรรยาเจ้าบ้าน
“คุณนายลองคิดย้อนกลับไปสิคะ ทำไมคุณรันถึงไม่ชอบผู้หญิงทุกคนที่คุณนายหาให้ ทั้งที่พวกเธอสวย เพอร์เฟกต์ต์ปานนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเธอไม่ดี แต่สกาวว่าเป็นเพราะคุณนายมีเจตนาบังคับเกินไป ไม่ยอมยกอิสระให้คุณรันได้ตัดสินใจเอง คุณนายลองปล่อยๆ คุณรันบ้าง แนะนำเหมือนไม่แนะนำ ให้เดตแต่ไม่ให้คุณรันรู้ตัวว่าออกเดต ถ้าคุณรันได้คุยกับผู้หญิงสักคนแบบเป็นตัวของตัวเอง ผลลัพธ์อาจจะออกมาดีกว่าเดิมก็ได้นะคะ”
ที่สกาวใจพูดมีเหตุผล อย่างเมื่อคืนท่านบอกปากเปียกปากแฉะไม่ให้ลูกชายโหมงานหนักมันไม่ฟัง แต่พอพ่อพูดคำเดียวกลับรับปาก หรือแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นที่ผู้หญิงพวกนั้นแต่เป็นเพราะท่าน ลูกคนนี้มันดื้อกับแม่คนเดียวงั้นเหรอ มันน่าฆ่าทิ้งนัก!
“เธอคิดว่าเป็นไปได้ไหม ที่ตารันอาจมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
“สกาวคิดว่าเป็นไปได้นะคะ แต่สกาวว่าคนที่คุณรันชอบไม่น่าจะอยู่ที่ไทยหรือที่ฮ่องกง เพราะไม่อย่างนั้น คุณนายกับท่านชานก็ต้องมีระแคะระคายกันบ้าง”
“มีอังกฤษอีกประเทศที่ช่วงนี้ตารันไปค่อนข้างบ่อย”
“หรือจะใช่คะ คุณรันชอบไปคนเดียว ทั้งที่ถ้าเรื่องงานต้องไปกับเลขาฯ”
“ว้าย! แม่สกาวใจ ทำไมเธอถึงผู้หญิงที่สวยและฉลาดอย่างนี้” ไม่ตัดมันแล้ว คุณนายวางกรรไกรในตะกร้าจูงแขนสกาวใจมานั่ง
“สัญญามาก่อนว่าจะไม่เอาเล่าต่อให้ตารันฟัง สัญญามาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นฉันจะมองเธอด้วยสายตาแบบนี้ทั้งวัน”
“เหงื่อไหลถึงกลีบ อุ๊ย! สัญญาค่ะคุณนาย”
“ขยับมาใกล้ๆ เร็วเข้าสิ”
สกาวใจอยากรู้อยากเห็นเป็นทุนเดิมอยู่แล้วรีบขยับเข้ามาใกล้คุณนายอย่างว่องไว คุณนายกระซิบข้างหูสองสามคำเท่านั้นสกาวใจก็ยกมือทาบอก “อ๋อ เพราะอย่างนี้คุณนายถึงตัดดอกกุหลาบเยอะ จะจัดช่อดอกไม้ไปให้คุณหนูพิมและถือโอกาสล้วงความลับจากเธอ”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย ล้วงความลับอะไรกัน เรียกว่าแลกเปลี่ยนความคิดดีกว่า จะได้รู้รูปลักษณ์เด็กคนนั้น”
“คุณนายของสกาวฉลาดแล้วก็เจ้าเล่ห์ที่สุดในโลกเลยค่ะ” คุณนฤมลเคลิ้มปรบมือตาม ก่อนจะหยุดปรบมือเมื่อคิดได้ว่ามันทะแม่งชอบกล ตกลงว่ายายสกาวใจชมหรือหลอกด่าท่านกันแน่
“คุยอะไรกันเหรอถึงมีกระซิบกระซาบกัน” ประมุขของบ้านเพิ่งออกมาสนามหญ้า
“ความลับค่ะคุณผู้ชาย” สกาวใจยังไม่หยุดหัวเราะ ลืมตัวพูดสอด ได้รับสายตาอาฆาตจากคุณนายรีบปิดปากสนิทก่อนถอยออกจากโต๊ะสนาม ให้ท่านทั้งสองได้รับลมตอนเช้าพลางชื่นชมสวนดอกกุหลาบ “ขอโทษค่ะ คุณนายกับคุณผู้ชายจะรับอะไรไหมคะ”
“ได้น้ำขิงร้อนๆ สักแก้วก็ดีเหมือนกัน ขอบใจมากนะ”
“ของฉันขอน้ำอุ่น แล้วก็อุปกรณ์จัดดอกไม้เอามาให้หมด”
คุณเขมราชเข้าใกล้ภรรยา หยิบดอกกุหลาบสวยสดราวกับตัดมาจากแปลงบ้านสวนเมืองนนท์มาชื่นชมภายหลังสกาวใจเข้าไปในบ้าน “แปลงที่บ้านสวนก็น่าจะออกดอกเยอะแล้วมั้ง คุณว่าไหม”
“ออกดอกเต็มแปลงแล้วค่ะ พี่นาทเพิ่งส่งรูปมาให้มลดู”
“อยากให้ถึงวันเกิดคุณแม่เร็วๆ ผมอยากไปเที่ยวบ้านสวน”
“ปีนี้พี่นาทพี่พันเตรียมลานร้องคาราโอเกะไว้ให้คุณเขม คนคีย์เพลงก็พร้อม รับรองว่าต้องสนุกมากกว่าปีก่อนๆ แน่นอน”
“ชอบพูดให้ผมตื่นเต้นอยู่เรื่อย” นักธุรกิจรุ่นใหญ่หัวเราะมีความสุข น้อยคนนักที่จะรู้ว่าท่านชอบร้องเพลง ไปเที่ยวบ้านเกิดภรรยาที่บ้านสวนในจังหวัดนนทบุรีทีไรก็มักจะร้องเพลงกับพันตรีคู่เขย
“มลอยากให้ลูกไปด้วย ปีที่แล้วไม่ยอมไปท่าเดียว”
“สงสัยตารันจะขี้เกียจฟังผมกับพี่พันร้องเพลง คุณลองชวนน้องเพชรกับหนูพราวสิ ถ้ามีเพื่อน ตารันอาจจะยอมไปก็ได้”
“น้องเพชรบอกว่าติดธุระ จะเข้าไปกราบคุณยายก่อนวันเกิด ไว้ใกล้ถึงวันมลจะลองชวนหนูพราว เผื่อหลานอยากไปกับน้าเขา”
“พูดถึงหลานแล้วคิดถึง วันนี้เราไปหาหลานดีไหม”
“ดีค่ะ มลขอจัดดอกไม้ก่อนแล้วจะโทรไปหาน้องเพชร”
“ดีครับ มา ผมช่วยจัดดีกว่าจะได้เสร็จเร็วๆ”
“คุณน่ะ น่ารักที่สุด” หยิกแก้มสามีหยอกล้อกันปานหนุ่มสาว
“คุณนาย คุณผู้ชาย อาหารเช้าพร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ”
สกาวใจเข้าครัวช่วยแม่ทำอาหารค่อนข้างนาน เข้ามารายงานท่านทั้งสองที่เพิ่งจะช่วยกันจัดช่อดอกไม้ออกมาสวยสดงดงามไร้ที่ติ
“กำลังหิวพอดี ทำอะไรให้ฉันกับคุณเขมกินเหรอจ๊ะ”
“อย่าให้ตอบเลยค่ะ กลัวคุณนายจะฉีกอกสกาวเปล่าๆ”
“ข้าวต้มหมูสับใส่ไข่ ไส้กรอก ไข่ดาว ปิดท้ายด้วยชาหรือกาแฟ”
“ถูกต้องค่ะ คุณนายของสกาวฉลาดที่สุดในโลก”
“ย่ะ” กระแทกเสียงใส่แม่บ้านดีเด่น ทำงานมากว่าสิบปีไม่มีพัฒนาการในทางที่ดี ยายบุหงาแม่สกาวใจไม่ต่างกัน ทำอาหารไม่เป็น ถนัดสั่งจากร้านอาหารหน้าปากซอยมาตั้งโต๊ะให้พวกท่าน
“ไปดูลูกชายฉันซิ ตื่นหรือยัง ไม่เห็นลงมาข้างล่าง”
“คุณรันตื่นหรือยังคะ คุณนายให้มาเชิญไปรับอาหารเช้า”
ก๊อก ก๊อก! ไม่มีเสียงตอบกลับ ถอดใจจะกลับไปรายงาน บังเอิญได้ยินเสียงของหนักตกกระแทกพื้น ถือวิสาสะหมุนลูกบิดพุ่งตัวเข้าไปภายใน
“ว้าย! คุณรัน!” สกาวใจวิ่งเร็วเข้าไปคว้าตัวเจ้านายที่คว่ำหน้านอนบนพื้น วางมือแตะบนหน้าผากและซอกคอสัมผัสได้ถึงความร้อน
“ไหวไหมคะ รอก่อน สกาวจะไปตามคุณนาย”
“ไม่เป็นไร แค่เวียนหัว ไม่ต้องบอกคุณแม่”
วางฝ่ามือบนพื้นราบพยุงตัวขึ้นนั่ง ห้ามได้ทันก่อนสกาวใจจะเดินออกไป หลับตา สะบัดศีรษะรุนแรงไล่อาการมึนงงก่อนยกตัวขึ้นนั่งบนเตียง
“น่าจะบอกคุณนาย ท่านรู้ทีหลังโกรธแย่เลยนะคะ คุณรันอย่าทำงานหนัก อย่าเดินทางไปต่างประเทศบ่อยนักสิคะ มันกระทบการกิน การนอน ร่างกายจะพังเอาได้ง่ายๆ นะคะ”
“ขอบใจ วันนี้ทำงานไม่กี่ที่ช่วงบ่ายจะรีบกลับมานอนพัก”
“พักสักวันไม่น่าจะเป็นอะไร ยกงานให้คนอื่นทำบ้างก็ได้ เห็นคุณรันเป็นแบบนี้ สกาวใจเป็นห่วง อยากให้คุณรันแยกเวลางานกับเวลาพักผ่อนออกจากกัน ถ้าคุณรันแต่งงาน อาจจะแบ่งเวลาง่ายขึ้น”
“เป็นไปกับคุณแม่อีกคนแล้วเหรอ อาจแย่ลงกว่าเดิมก็ได้ บ้างาน เมียทนไม่ไหวขอหย่า”
“ไม่มีทางค่ะ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะคุณรันรักภรรยามาก”
“นี่ ฉันยังไม่รู้เลยว่าภรรยาของฉันเป็นใคร” ศรันย์ช้อนตาขึ้นมามองแม่คนรู้มาก ตัวเขายังไม่รู้เลย สกาวใจจะมารู้ก่อนได้อย่างไร
“สกาวไม่รู้หรอกค่ะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร มาจากไหน รู้แค่ถ้าคุณรันไม่รักเธอมากที่สุด คุณรันจะไม่มีวันแต่งงานกับเธอ” แววตาที่สกาวใจมองตอบกลับเต็มไปด้วยความมั่นใจ ศรันย์พยักหน้าเห็นดีเห็นงาม
“ถุงสีขาวตรงนั้นถือลงไปด้วย ของฝากสกาว ลุงสารัช แล้วก็ป้าบุหงา อ้อ! แล้วอย่าบอกคุณแม่ล่ะ”
“เรื่องของฝากเหรอคะ”
“ใช่ที่ไหน หมายถึงเรื่องที่ฉันเวียนหัวล้มไม่เป็นท่าต่างหาก”
“ได้ค่ะ แต่คุณรันต้องสัญญาว่าไปหาหมอ แล้วก็พักผ่อน”
“รู้แล้ว เสร็จงานจะแวะไปตรวจในโรงพยาบาลพี่เพชร”
“สกาวขอเอาของไปอวดคุณนายก่อนนะคะ อ้อ คุณนายให้มาเชิญคุณรันไปรับประทานอาหารเช้า จะรับพร้อมท่านไหมคะ”
“ไม่ล่ะ ยังไม่หิว บอกคุณพ่อคุณแม่ให้กินข้าวก่อนได้เลย”
เสียงแจ้งเตือนในไลน์ดังขึ้นครั้งแรกในรอบวัน ไม่บอกก็รู้ว่าถูกส่งมาจากอรรถพลด้วยข้อความเดียว แต่พิมพ์มายาวเหยียดด้วยจำนวนคำเต็มหนึ่งหน้ากระดาษเอสี่ เขาย้ายไปนั่งทางหัวเตียงถอดสายชาร์จออกจากโทรศัพท์มากวาดตามอง มันยาวมาก ไม่จำเป็นต้องใช้สมองคิดปลายนิ้วเขากดปุ่มโทรออกกรอกเสียงเอื่อยให้เลขาฯ รายงานใหม่ทั้งหมด
‘คุณรัน ฟังอยู่ไหมครับ’ อรรถพลทวงถามเจ้านายที่เงียบกริบ ไม่หือ ไม่อือ ตอบรับตารางงานแน่นเอี๊ยดแม้แต่คำเดียว
“ฟัง แต่รู้สึกไม่โอเคยังไงไม่รู้ แขนขาไม่ค่อยมีแรง”
‘ให้ผมยกเลิกตารางงานวันนี้ แล้วนัดหมอให้ไหมครับ’
“ไม่ต้อง เสียเวลา นายมาขับรถให้ที ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้าน”
‘ได้ครับ แต่แค่ช่วงเช้าเท่านั้น ผมจะโทรนัดหมอให้ตอนบ่าย’
“อืม เอาตามนั้นก็ได้ ขอบใจมาก” วางสายจากเลขานุการคนสนิทมาบีบนวดแขนขาให้มีเรี่ยวแรง เขาทำงานเจ็ดวันต่อสัปดาห์ไม่มีวันหยุดเป็นของตัวเองเนื่องจากเป็นทายาทคนเดียวของตระกูล ต้องช่วยงานบริษัทชานของคุณปู่ แกรนด์อรัญของคุณพ่อ และอารานี ธุรกิจแฟชั่นของคุณแม่ สุขภาพคุณแม่ไม่ค่อยดี ช่วงหลังศรันย์เข้าไปช่วยงานท่านค่อนข้างบ่อย ทำไปพลางๆ ระหว่างรอท่านมองหาคนที่ใช่เข้ามาเป็นซีอีโอ ศรันย์บีบนวดขมับและศีรษะหนัก เขาฝืนสังขารลุกขึ้นมาอาบน้ำทั้งที่ยังคงเวียนหัว แต่งตัว พรมน้ำหอม เซตผมหล่อเนี้ยบตามสไตล์ ลงบันไดมาชั้นล่างพอดีกับคุณพ่อคุณแม่เตรียมตัวจะออกไปข้างนอก
“จะไปไหนกันเหรอครับ ผมอุตส่าห์รีบวิ่งผ่านน้ำตั้งใจจะมากินข้าวเช้าด้วยกัน ทำไมอิ่มเร็วนักล่ะ”
“สายป่านนี้ ให้รอแก ฉันหิวข้าวจนเป็นลมกันพอดี คุณคะ อย่าลืมช่อดอกไม้ มลวางไว้ตรงไหน” โวยลูกชาย ก่อนถามสามีที่ความจำดีกว่าไม่หลงๆ ลืมๆ สักพักสามีก็ขยับเท้าเข้ามาหาพร้อมช่อดอกกุหลาบ
“เอาไปฝากใคร อย่าให้รู้นะว่าแอบอ้างชื่อผมแบบรอบก่อน”
“ฉันจะบอก มันก็เรื่องของฉันสิเจ้าลูกคนนี้”
“พอได้แล้วสองแม่ลูก พ่อกับแม่จะแวะไปบ้านหนูพิมเอาดอกไม้ไปให้ แล้วก็จะแวะรับหนูพราวไปเที่ยว กลัวหลานจะเหงา”
“ไปหาหนูพราวพอเข้าใจ แต่หนูพิมเนี่ยไปทำไม ไม่ใช่ว่าไปทาบทามรอบสองนะ ผมไม่เบาจริงด้วย จะด่าให้ไฟแลบกว่าเดิม”
“ปากหรือกรรไกรถึงได้คมนัก” เอ็ดลูกชาย
“พักยกครับ คุณแม่ คุณลูก ตอนเย็นค่อยทะเลาะกันใหม่”
“เข้าข้างลูกตลอดเลยนะคะ ตารันถึงได้นิสัยเสียทุกวัน”
ถูกแม่ด่าแทนที่ลูกชายสุดที่รักจะทำหน้าตาเศร้าสลดเสียใจ แต่มันกลับทำหน้าตาระรื่นพึงพอใจ แปลงร่างเป็นแมวข่วนสักทีดีไหม
“คุณพ่อ ผมฝากของเล่นไปให้หลานได้ไหมครับ”
“เอาไปให้หลานเองเถอะ ยังไงก็อยู่คอนโดฯ เดียวกัน”
“อยู่คอนโดฯ เดียวกัน ใช่ว่าจะได้เจอกันบ่อยนะครับ พี่ตุลย์ชอบไปรับหนูพราวที่โรงเรียนพากลับไปนอนกับคุณปู่คุณย่าเขา”
“นายตุลย์นี่ยังไง จะพรากทุกอย่างไปจากพวกเราเลยเหรอ แม่ขอถามหน่อยเถอะรัน ท่าทีคนทางนั้นไม่เบาลงบ้างเลยเหรอ”
“ต่างฝ่ายต่างแรงจะเบาได้ไง พี่ตุลย์ยืนยันอยากดูแลหนูพราว แต่พี่เพชรไม่ยอม คุยกับผมว่าจะเอาหลักฐานที่พี่ตุลย์มีภรรยาน้อย และภรรยาน้อยท้องทั้งที่ยังไม่หย่าขาดไปสู้ในศาล”
“คอยแต่โทษว่าน้องเพชรไม่มีเวลาให้ครอบครัว ไม่ส่องกะลาหัวตัวเองว่านอกใจเมียทั้งที่มีลูกด้วยกันแล้ว อย่าให้แม่เห็นหน้ามันเชียวนะ แม่ไม่ปล่อยมันให้ลอยหน้าลอยตา! งานนี้ตายเป็นตาย”
หลานสาวท่านเป็นแพทย์เฉพาะทางด้านโรคหัวใจ ทุ่มเทชีวิตให้การทำงาน กระทบความสัมพันธ์สามีนักธุรกิจ สามีไปมีภรรยาน้อย แยกกันอยู่ตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ ผ่านมาสามปีจะแต่งงานใหม่ติดต่อมาขอทำเรื่องหย่าและแบ่งสิทธิ์การเลี้ยงดูลูกสาวให้เป็นเรื่องเป็นราว ต้องเลวทรามขั้นไหนถึงนอกใจเมีย ฉีกครอบครัวตัวเองให้แตกแยก
“คุณมล อย่าอารมณ์เสียนักเลย ทำให้บรรยากาศแย่ลง”
“ทำไมคะ เกลียดนักผู้ชายไร้ความรับผิดชอบ นายตุลย์ไม่ต่างไปจากลูกชายบ้านนั้น เห็นแก่ตัว ไม่เห็นใจคนอื่น พวกมันไม่สมควรมีชีวิตอย่างมีความสุขทั้งที่ผู้หญิงต้องทุกข์ทรมานเพราะคนเลวๆ อย่างพวกมัน เคยสาปแช่งไอ้เมศยังไง จะสาปแช่งนายตุลย์แบบเดียวกัน!”
“จะพาดพิงไปถึงคนบ้านนั้นให้เสียอารมณ์ทำไม เรากับพวกเขาก็ต่างคนต่างอยู่มานาน พวกเขาจะเป็นยังไงก็ช่าง!”
“ไม่ค่ะ! จะพอได้ยังไงในเมื่อพวกนั้นทำให้ลูกสาวเราตาย!”
“พอสักที! เลิกพูดถึงคนบ้านนั้นสักทีได้ไหม! ผมไม่อยากได้ยินชื่อไอ้เมศ! ไม่อยากได้ยินว่าน้องสาวผมตายยังไง! ถ้าคุณแม่ห้ามตัวเองไม่ให้พูดถึงคนพวกนั้นไม่ได้ ผมจำเป็นต้องขอตัว!” ทิ้งห่างท่านทั้งสองอย่างคนหัวเสีย ไม่ต้องการได้ยินสาเหตุการเสียชีวิตน้องสาว ไม่ต้องการได้ยินชื่อคนทำ เพราะมันจะทำให้ความโกรธเข้าครอบงำจิตใจจนไม่สามารถควบคุมด้านมืดในตนเองได้