เสียงของหนักหล่นจากกำแพงสูงลงมากองบนทางเท้า เรียกความสนใจจากคนเดินถนน พวกเขาพบร่างกายร้าวระบมของเด็กสาวคนหนึ่งนอนงอตัวบนพื้น คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตต่อไป ตัดสินเด็กสาวไปแล้วว่าใจแตก เกเร มีเด็กนิสัยดีที่ไหนจะปีนกำแพงออกมาทั้งที่โรงเรียนยังไม่เลิก มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่รุดเข้ามาพยุงเด็กสาวให้ลุกขึ้น แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าใบหน้า แขน ขาเด็กสาวเปื้อนคราบเลือดและร่องรอยถูกทำร้าย เครื่องแบบนักเรียนที่สวมใส่ก็ถูกกรีดจนเห็นไปถึงข้างใน
“ถูกใครทำร้ายมาเหรอน้อง ให้พี่พาไปหาหมอไหม”
ชายใจดีเสนอ เด็กสาวไม่ตอบรับดึงมือออกกิริยาหวาดผวา เดินโซซัดโซเซลากขาเดินหาป้ายรถเมล์ที่ใกล้ที่สุด ระหว่างทางมีคนเสนอช่วยเป็นระยะ ทว่าเด็กสาวหวาดกลัวเกินกว่าจะรับความช่วยเหลือจากใคร ลากขาข้างขวาที่เจ็บหนักจากการถูกมีดกรีดมาตามทางเท้า ต่อสู้กับอากาศร้อนอบอ้าวจนเจอป้ายรถเมล์
มีรถคันหนึ่งจอดเทียบแต่กำลังเคลื่อนตัวออกไป สภาพร่างกายอย่างนี้ไม่มีทางตามทัน เด็กสาวขอให้รถเมล์รอ ทว่าเสียงร้องไห้และน้ำตาที่พรั่งพรูออกมามีมากเกินไปกลบเสียงจนหมด
ไม่รู้ว่ารถจะผ่านทางกลับบ้านหรือเปล่า แค่อยากไปจากที่นี่ กลัวครูสังเกตเห็นเครื่องแบบนักเรียนแล้วมาลากตัวกลับไป สำหรับเด็กนักเรียนที่มาจากครอบครัวมีฐานะ โรงเรียนนานาชาติแห่งนั้นเปรียบเหมือนสวรรค์ แต่แกะดำเพียงหนึ่งเดียวในโรงเรียนอย่าง พิยดา ไม่ต่างไปจากนรก
เด็กสาวเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายเกือบจบชั้นปี แต่ไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว ถูกเพื่อนร่วมชั้นและรุ่นพี่รุมแกล้งทุกวัน คนเห็นกันหมดทั้งโรงเรียนทว่าไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ แม้แต่คนที่เรียกตัวเองว่าแม่พิมพ์ของชาติก็ไม่แม้แต่จะยื่นมือเข้ามาช่วย มิหนำซ้ำพวกเขายังเรียกคนที่ถูกทำร้ายอย่างหล่อนเข้าไปต่อว่า เพียงเพราะเหตุง่ายๆ ต่อให้ด่าแทบตายพิยดาก็ไม่มีพ่อแม่มาปกป้อง
พ่อ คือคนที่ไม่เคยเห็นหน้าและไม่รู้ว่าเป็นใคร
แม่ คือหญิงพิการถูกหลอกเข้ามาทำงานกลางคืนในเมืองหลวง ตำรวจบุกเข้ามาจับเจ้าของสถานบันเทิง หลังได้รับรายงานว่าเป็นแหล่งมั่วสุมของพวกค้ามนุษย์ แม่หลุดพ้นมาได้ แต่เพราะความพิการหลายอย่างจึงไร้ที่ไป
นักธุรกิจคนหนึ่งสะดุดตาเข้ากับรูปร่างหน้าตาหญิงพิการที่สวยเกินกว่าจะเป็นคนเร่ร่อน รับแม่กลับมาอาศัยในบ้านคนรับใช้ เมตตาถึงขั้นสั่งสืบที่อยู่ และพากลับไปส่ง แต่เมื่อรู้ว่าแม่ไม่มีบ้านและไม่มีญาติคนไหนต้องการรับกลับไปเป็นภาระ เขาไม่มีทางเลือกจำใจรับกลับมากรุงเทพ ให้แม่ทำงานบ้านแลกกับเงินและพักบ้านคนรับใช้
ก่อนรับมาทำงานเขาคงคิดคำนวณมาเป็นอย่างดีว่าคุ้ม เทียบกับค่าแรงสมัยนั้น เขาสามารถจ้างหญิงพิการไม่มีที่ไปได้ราคาถูก แต่เขาคำนวณผิด เพราะเพียงแค่ไม่กี่เดือนต่อจากนั้นท้องหญิงพิการก็ขยายใหญ่จนคนรอบข้างผิดสังเกตและตรวจพบการตั้งครรภ์
เด็กคนนั้นคือ พิยดา หลายปีที่เกิดมาไม่เคยมีวันไหนไม่ถูกล้อเลียนชาติกำเนิด ว่ามีแม่เป็นคนพิการเคยขายตัวจนท้อง
“ขึ้นมาเลยน้อง!”
กระเป๋ารถเมล์ชายได้ยินเสียงผู้โดยสารบนรถทักท้วง สอดส่องสายตามองไปด้านหลังเห็นเด็กสาวมีสภาพย่ำแย่ร้องบอกคนขับให้จอดก่อนโหนประตูออกมาเรียก เด็กสาวเกือบจะทรุดตัวลงบนพื้นถนนด้วยความสิ้นหวัง ได้ยินเสียงทรงพลังเจือปนความเมตตาก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมา พาร่างกายบอบช้ำขึ้นไปบนรถคันนั้นสำเร็จ
“หนู หน้าไปโดนอะไรมาลูก”
ชายชราขาไม่ดีสละที่นั่งให้เด็กสาว รถเมล์กระชากตัวแกเกือบล้ม เด็กสาวคว้าแขนชายแก่กลับมานั่งที่เดิม ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นถัดจากที่นั่งของแกก้มหน้าร้องไห้ถูกคนมองทั้งรถ
“ไม่เป็นไรน้อง พี่ไม่คิดเงิน”
วินมอเตอร์ไซค์จากป้ายรถเมล์ มาส่งเด็กสาวหน้าประตูคฤหาสน์หลังใหญ่ติดป้ายชื่อ อัศวเมฆินทร์ ปฏิเสธการรับเหรียญจากฝ่ามือเด็กสาวจำนวนยี่สิบบาท เด็กสาวก้มมองเงินในมือ ซาบซึ้งในความมีน้ำใจของคนเดินดินกินข้าวแกงที่มักจะเห็นใจคนระดับเดียวกัน แตกต่างจากคนอีกชนชั้นที่รังเกียจคนจน
คฤหาสน์ตั้งอยู่บนพื้นที่สองพันตารางเมตร ตัวตึกสูงสองชั้น เก้าห้องนอน สิบห้าห้องน้ำ ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตัวบ้านไม่ได้ใหม่ก่อสร้างมานานกว่าห้าสิบปีตกทอดมรดกมาถึงคุณไกรสรประมุขคนปัจจุบัน
ช่วงบ่ายวันธรรมดานอกจากคนรับใช้ก็ไม่มีเจ้านายคนไหนอยู่บ้าน คุณไกรสรมีภาระงานในบริษัทขนส่งยักษ์ใหญ่ ส่วนลูกๆ ของท่านทั้งสองคน คนโตเข้าไปช่วยงานบริษัท คนเล็กยังเรียนหนังสือ เป็นเหตุผลหลักที่เลือกกลับบ้านในช่วงเวลานี้ จะได้ไม่ต้องตอบคำถามคนเหล่านั้น ว่าไปถูกใครทำร้ายมา บอกไปไม่ถูกด่ากลับว่าสร้างปัญหาก็หนีไม่พ้นจะต้องถูกถากถาง
พื้นคอนกรีตพิมพ์ลายร้อนจากแสงแดด เด็กสาวลูบแขนบรรเทาความร้อน เดินอย่างระมัดระวังไม่ลงน้ำหนักบนท่อนขาข้างที่เจ็บ ลัดเลาะผ่านสวนดอกไม้เลียบคฤหาสน์ไปยังบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้
เด็กสาวปลดสายกระเป๋าวางลงเก้าอี้ไม้หน้าบ้าน ตักน้ำจากถังที่ตั้งไว้รองน้ำฝนมาล้างหน้าจนสะอาด บางส่วนกระเด็นข้ามาในปากก็กลืนกินมันลงไปด้วยอย่างไม่รังเกียจ นั่งพักจนขาสองข้างหายสั่น เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าประตูบ้านปิดสนิทราวกับว่าไม่มีใครอยู่ข้างใน แต่ถ้าไม่มีใครอยู่แล้วทำไมไม่ใส่กุญแจ ไม่ล็อกประตูรั้วป้องกันผู้ไม่หวังดีลักลอบเข้ามา
เด็กสาวเดินเท้าเปล่าบนพื้นปูนเย็นไปหมุนลูกบิดประตูก็แปลกใจไปกันใหญ่เมื่อบ้านไม่ได้ล็อก
“แม่จ๋า”
แม่บกพร่องทางการได้ยินต่อให้เรียกเสียงดังมากแค่ไหนก็ไม่รับรู้ แค่อยากส่งเสียงเผื่อว่าจะมีใครสักคนอยู่ข้างใน
“ยายจ๋า พิมกลับมาแล้ว”
ส่งเสียงผ่านริมฝีปากแตกยับอีกครั้ง เปลี่ยนจากเรียกหาแม่เป็นเรียกหาหญิงชราที่เลี้ยงดูตนเองมาตั้งแต่แรกเกิด ทว่าก็ไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมาเช่นเคย กระทั่งมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่จึงลากขาเจ็บๆ กลับไปเอากระเป๋า เดินขึ้นบันไดไม้ผุพังไปยังห้องนอนชั้นสองที่แชร์กับแม่สองคน ยกขาขึ้นบันไดแต่ละขั้นทำเอาเด็กสาวเจ็บจนน้ำตาเล็ด
เอี๊ยด เอี๊ยด
เสียงขาเตียงโยกดังมาจากห้องนอน ประสานกับเสียงทุ้มต่ำที่ถึงแม้เด็กสาวจะไม่ประสีประสาก็รู้ว่ามันคืออะไร เด็กสาวตัวสั่น จับราวบันไดด้วยมือที่สั่นเทาพยุงกายขึ้นไปบนยอดบันไดตั้งใจฟังให้ชัดเจนอีกครั้ง พลันเข่าอ่อนทรุดลงบนพื้นเมื่อมั่นใจว่าเสียงดังมาจากห้องนอนแม่
คำถามขึ้นมาเต็มหัวว่าแม่สมยอมหรือเปล่า ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ระหว่างลุงสมศักดิ์กับคุณไกรสรที่อยู่บ้านเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร เด็กสาวก็ยอมรับไม่ได้ แม่ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ปกป้องลูกไม่ได้ ก็ไม่ควรจะปล่อยตัวเองให้ตั้งท้องและคลอดลูกคนที่สองออกมาให้คนรังเกียจ พิยดารูปร่างผอมบาง ส่วนสูงน้อย น้ำหนักน้อย ส่งผลให้ฝีเท้าเบาตามไปด้วย กว่าคนข้างในจะรู้ตัวว่าประตูไม้บานเก่าถูกผลักเข้ามาก็สายเกินไป
ทั้งสองคนประสานสายตากันด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง เด็กสาวแทบลืมหายใจ ส่วนคุณไกรสรคว้าผ้าห่มมาปิดบังร่างกายเปลือยเปล่า โดยไม่คิดจะห่มผ้าให้หญิงพิการตัวเปลือย ถูกกระทำลึกซึ้งทว่าหล่อนหลับใหลด้วยฤทธิ์ยา เด็กสาวน้ำตานองหน้า ลมหายใจติดขัดเป็นห้วงๆ อากาศรอบตัวหายไปหมดจวนเจียนจะขาดสติ
“นี่มันอะไร ฮือๆ คุณทำอะไรแม่หนู!”
“แกมาได้ยังไง นี่มันเวลาเรียนไม่ใช่เหรอ!”
เจ้าบ้านโกรธจนควบคุมสติไว้ไม่อยู่ ตวัดขอบผ้าห่มพันรอบท่อนล่าง ตรงรี่เข้าไปสะบัดข้อมือตบหน้าเต็มแรงจนแกฟุบล้มบนพื้น
“แกไม่มีสิทธิ์มองฉันด้วยสายตาแบบนั้น! ฉันจะทำอะไรกับแม่แกก็ได้! รู้บ้างไหมว่าฉันหมดเงินเท่าไหร่ให้แกได้เติบโต ได้เรียนหนังสือ ฉันต้องทุ่มเทเงินทองไปเท่าไหร่กับพวกแก!”
“คุณทำอย่างนี้กับแม่นานหรือยัง ฮือ... เพิ่งทำใช่ไหม ไม่ใช่ทำ... ตั้งแต่วันแรกที่พาแม่มาอยู่ด้วย”
“ทำไม สงสัยว่าฉันเป็นพ่อแกงั้นเหรอ! จะใช่ หรือไม่ใช่ ฉันก็ชุบเลี้ยงแกมาจนโต!”
“ที่ถาม ฮือ... เพราะหนูไม่อยากให้ใช่!”
“เด็กเนรคุณ แกไม่อยากให้ฉันเป็นพ่อแกงั้นเหรอ!”
กระหน่ำทุบตีเข้ากลางไหล่ลูกสาวที่ตนเองไม่ยอมรับ
“ใครจะอยากมีพ่อแบบนี้! ฮือๆ แค่โยนเศษข้าวมาให้ ยังกล้าทวงบุญคุณอีกเหรอ! คุณเลี้ยงหนูให้เป็นคนรับใช้! หนูถูกแกล้ง ถูกด่า ถูกทำร้ายมากแค่ไหนคุณก็ไม่เคยสนใจ! ปล่อยให้พวกเขาทำร้ายหนู! บังคับหนูเข้าโรงเรียนไฮโซไปให้พวกเขารุมตบทุกวัน คุณก็ไม่เคยสนใจ หนูไม่อยากเกิดมา! ไม่อยากมีชีวิตแบบนี้ หนูเกลียดคุณ! เกลียดแม่! เกลียดคนที่ทำให้หนูเกิดมา! ถ้าคนนั้นเป็นคุณ หนูก็ยิ่งเกลียด”
พฤติกรรมก้าวร้าวจากเด็กอ่อนต่อโลกแสดงออกมาครั้งแรกนับจากแรกเกิด เขาโกรธและเสียใจในเวลาเดียวกันที่ตบลูกสาวจนแกเลือดไหล และเพิ่งสังเกตเห็นว่าร่างกายเด็กสาวเต็มไปด้วยรอยแผล เสื้อกับกระโปรงก็ถูกกรีดจนขาด จะตามไปแต่ทำไม่ได้เนื่องจากร่างกายไม่มีเสื้อผ้า หงุดหงิดตัวเอง ย้อนกลับมาสวมเสื้อผ้าให้ตนเองและหญิงพิการ ที่มักจะอาศัยช่วงคนอื่นไม่อยู่บ้านวางยานอนหลับปลุกปล้ำ หญิงพิการอาจจะรู้สึกถึงความผิดปกติ แต่หล่อนพูดไม่ได้จึงเก็บความเจ็บปวดไว้ในใจ กว่าจะจัดการเสื้อผ้าได้ก็เสียเวลาหลายนาที ตามมาถึงหน้าบ้านเด็กสาวก็หายตัวไปแล้ว
“นี่สินะ เขาถึงเรียกว่าคนรู้ใจ โทรมาตอนกำลังเครียดพอดี แต่ไม่น่านัดมาไกล นัดแถวบ้านก็ไม่น่าจะมีใครผ่านมาเห็นเรา”
ศรันย์ อรัญรัตนา ทายาทคนโตของอาณาจักรแกรนด์อรัญ มาในมาดนักธุรกิจหนุ่มสวมสูทผูกไท ทิ้งตัวลงบนผืนหญ้าสวนสาธารณะข้างสาวนักเรียนมัธยมปลายที่ลักลอบคบหาดูใจกันมาระยะหนึ่ง พวกเขารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากครอบครัวเขาสนิทกับครอบครัวคุณไกรสร ไปมาหาสู่กันบ่อย การที่ได้เจอหน้ากันทุกวันทำให้เขากับหล่อนชอบพอกัน
“เป็นอะไรทำไมเงียบ” ถามต่อ เอียงหน้าเข้าไปชิดแก้ม
สาวน้อยของเขาอยากให้คบหากันโดยบริสุทธิ์ใจไม่มีเรื่องเพศมาเกี่ยวข้อง สะดุ้งเล็กน้อยเผลอเงยหน้าขึ้นมามอง ทำให้ชายหนุ่มผู้มีแววตาขี้เล่นแปรเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเห็นรอยแผลบนหน้า เขาจับกรอบใบหน้างดงามทะนุถนอม สบสายตาคู่หวานซึ้งที่มีหยดน้ำไหลริน
“หน้าไปโดนอะไรมา ถูกเพื่อนรุมแกล้งอีกแล้วเหรอ”
หล่อนหลบสายตา ไม่ยอมตอบคำถาม
“ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ ตายขึ้นมาจะว่ายังไง ดูแขนสิ มีแต่รอยเล็บ เสื้อผ้าก็ฉีกขาด” ห่วงใยถอดสูทตัวนอกมาวางบนหัวไหล่
“ไม่เป็นไรค่ะ พิมไม่ได้เจ็บมากอีกหน่อยแผลก็หาย”
“ไม่เป็นไรได้ยังไง ลงไม้ลงมือรุนแรงครั้งที่สองแล้วนะ ไม่นับรวมการกลั่นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ ที่มีทุกวัน พี่ถามหน่อยเถอะ ครูในโรงเรียนไม่มีใครช่วยเหลือพิมเลยเหรอ มันบ่อยเกินไปแล้วนะ วันจันทร์พี่จะเข้าไปคุยกับครูให้จัดการนักเรียนเลวพวกนั้น”
“อย่าเลยค่ะ พิมไม่อยากให้เรื่องถึงหูผู้ปกครอง”
เขาจะกล้าเอาเรื่องเหรอถ้ารู้ว่าหนึ่งในนั้นคือ ศิรินทร์ น้องสาวร่วมสายเลือดของเขา พิยดาไม่อยากพูดถึง ถอนสายตาไปทางอื่น
“พี่รู้ว่าพิมเกรงใจลุงไกรสร ไม่อยากเอาเรื่องส่วนตัวไปรบกวนท่าน แต่ครั้งนี้มันมากเกินไป ลุงไกรสรควรรู้ ควรไปคุยกับครูประจำชั้น โรงเรียนควรเป็นสถานที่ปลอดภัยมากที่สุดไม่ใช่เหรอ”
แต่แล้วใครว่าคุณไกรสรไม่รู้ล่ะ เขาเป็นคนจับยัดหล่อนเข้าไปในโรงเรียนนั้น ทั้งที่หล่อนเคยบอกตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เข้าไปแล้วว่าอยากย้ายโรงเรียน ท่านก็ไม่ยอม สั่งให้เรียน
“ขอบคุณนะคะพี่รัน”
เด็กสาวพูดแทรกพร้อมกับส่งรอยยิ้มไปให้ขณะที่ชายหนุ่มย่นคิ้วด้วยความสงสัย เขากำลังซีเรียสแต่หล่อนกลับยิ้มตามสไตล์ หน้าสวยเสมอแม้ว่าจะมีรอยฟกช้ำ ชายหนุ่มเรียนจบปริญญาตรีเข้ามาช่วยงานบริษัทบิดาเกือบหนึ่งปี เครียดจากงานพอจะคลายเครียดได้บ้างจากเจ้าของรอยยิ้มนี้
“เรื่องอะไรคะ”
เขาพูดจาหวาน ใจอ่อนยวบให้สาวน้อย
“ก็ที่พี่รันเป็นห่วงพิม พิมโทรหา พี่ก็รีบมา นอกจากพี่รันก็ไม่มีใครสนใจพิมอีกแล้ว”
“พูดอะไรอย่างนั้น ไม่ใช่แค่พี่คนเดียวหรอกนะที่เป็นห่วงพิม”
“แต่พี่รันเป็นคนเดียวที่พิมอยู่ด้วยแล้วสบายใจมากที่สุด พิมรักพี่รันมากนะคะ ไม่อยากให้เราเลิกกัน พี่รันคบพิมนานๆ ได้ไหม”
ได้รับความเงียบจากชายหนุ่มที่วางแผนจะไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่เด็กสาวก็ไร้เดียงสาเกินกว่าจะเผื่อใจให้ความเจ็บปวด หล่อนขาดภูมิคุ้มกันในหลายด้าน มองเพียงแค่ความรักหมุนรอบตัว ไม่เข้าใจว่าความเงียบนั้นหมายถึงเขาปฏิเสธ
“หนีออกจากบ้านกันเถอะ หนีไปจากโลกนี้สักวัน ไปในที่ที่มีแค่เราสองคน พิมกล้าไปกับพี่หรือเปล่า” ควรบอกเลิกเด็ดขาดให้หล่อนตัดใจ ทว่าเขากลับถลำลึกด้วยการชวนไปต่อ
“พิมไม่มีเงิน พิมมียี่สิบบาท จ่ายค่ารถเมล์กับตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญไปหมดแล้ว”
โลกทั้งใบของหล่อนมีเขาแค่คนเดียว ความกล้าจึงมีมากกว่าความกลัว และเขาก็ทำให้หัวใจเด็กสาวเต้นด้วยจังหวะความรัก หลังจากดึงศีรษะเล็กแนบลงกลางแผ่นอกกว้างที่อบอุ่นที่สุดในโลก
“มีพี่อยู่ตรงนี้ทั้งคน จะกังวลเรื่องอื่นไปทำไม”
ถ้อยคำอ่อนหวานฉุดรั้งเด็กสาวจากนรกขุมลึกที่สุด ผ่านแผ่นดินขึ้นสู่สรวงสวรรค์ พร้อมจับมือเขาเดินไปด้วยกันทุกที่ไม่ว่าข้างหน้าจะเป็นหุบเหวหรือป่าหนามก็พร้อมจะเหยียบผ่านมันไป
เด็กสาวมีความสุขกับเสื้อผ้ารองเท้าใหม่ที่ได้รับ มันมากเกินไป ความสุขเหล่านั้นอยู่แค่ชั่วคราว ทุกครั้งที่อยู่ในที่สาธารณะ เขาจะเว้นระยะห่างไม่ให้ใครรู้สถานะ เป็นหล่อนที่ดื้อวิ่งขึ้นไปเดินข้างๆ ไม่ได้ขอจับมือ แค่อยากอยู่ข้างๆ เท่านั้น น่าเสียดายตรงที่มีโอกาสได้คบกัน แต่หล่อนกลับต้อยต่ำ และไม่โตพอที่จะอยู่เคียงข้างเขา
ถนนเลียบชายหาดพัทยายามเย็นอากาศโล่งโปร่งสบาย มีลมพัดเข้ามาค่อนข้างแรง เด็กสาวจับมือหนุ่มรุ่นพี่วิ่งลงน้ำ เล่นสนุกให้ลืมความทุกข์ระทม ตัดขาดจากโลกภายนอกไม่ติดต่อใคร ท้องเริ่มหิวก็เข้าร้านสะดวกซื้อ ซื้ออาหารง่ายๆ มากินด้วยกันบนเก้าอี้ยาว มีน้องหมาเจ้าถิ่นมานั่งเฝ้าขออาหาร ท้องอิ่มแล้ว แต่พวกเขาไปไหนไม่ได้เนื่องจากฝนตกลงมาอย่างหนัก โทรศัพท์เขาแบตหมดหลังจากถ่ายรูปคู่ วิดีโอเก็บไว้ ส่วนโทรศัพท์กับกระเป๋านักเรียน พิยดาทิ้งไว้ที่บ้านตั้งแต่ทะเลาะกับคุณไกรสร เขากระวนกระวายอยากกลับบ้าน ต่างจากพิยดาที่อยากหนีไปให้ไกลมากกว่านี้ติดตรงที่ไม่มีเงิน
“เรากลับกันเลยไหม ค่อยๆ ขับ ดึกๆ น่าจะถึง”
เขาเสนอ หลังจากเดินวนหน้าร้านสะดวกซื้อพักใหญ่เพื่อสำรวจสภาพอากาศ
เด็กสาวไม่อยากกลับเลือกที่จะไม่ตอบ หล่อนไม่มีเงิน เขาพาอยู่ก็อยู่ พากลับก็กลับ แม้ว่าการกลับไปจะทำให้เจ็บปวดก็ตาม
“ไม่สบายเหรอ”
เขาย้อนกลับมานั่งลงข้างๆ แตะตามหน้าผากและซอกคอหาความร้อนก็พบว่าตัวหล่อนร้อนเล็กน้อย
“แถวนี้น่าจะพอมีร้านขายยา พิมรอตรงนี้นะ”
ออกคำสั่งด้วยแววตาห่วงใย กึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ เด็กสาวขอบตาร้อนผ่าวมองตามด้วยความรู้สึกรักเขาสุดหัวใจ เขาทำให้หล่อนอยากอยู่กับเขาตลอดไป จะเป็นไปได้ไหมนะ... ความรักระหว่างคนสองคนที่ฐานะต่างกันมากๆ
เขาขับรถวนหาร้านขายยาจนเจอ ตากฝนวิ่งเข้าไปซื้อมาให้ ตัวเปียกไปเกินครึ่งเป็นกังวลพายุฝนที่ตกหนักมากเกินไป เขาเหลือบสายตาไปทางแสงไฟจากป้ายโรงแรมแห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าคิดเหมือนกันหรือเปล่าเพราะแฟนสาวที่นั่งข้างๆ ก็มองเช่นกัน
“เราค้างที่นี่สักคืน พรุ่งนี้เช้าฝนหยุดตกค่อยกลับดีไหม”
ไม่สบายใจที่ชวน ปรารถนาให้เด็กสาวปฏิเสธทว่าหล่อนตอบรับโดยไม่คิดถึงข้อเสียของการค้างอ้างแรมกับผู้ชาย
เขาแสดงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยการจองสองห้อง แต่โชคไม่ดีที่พนักงานโรงแรมบอกว่ามีว่างแค่ห้องเดียว เขาให้เด็กสาวอาบน้ำก่อน ส่วนเขารออาบทีหลัง จากนั้นก็มานั่งมองหน้ากันในห้องแสงสลัว ไฟฟ้ากระตุกจากลมกระโชกแรง
“พี่รันอยากกลับบ้านเหรอคะ” สังเกตเห็นความกระวนกระวาย สบตาเขาที่นั่งอยู่อีกฝั่งของเตียง
“เปล่า พี่โตแล้ว ไปไหนมาไหนก็ได้ ไม่ต้องรายงานพ่อแม่ เป็นห่วงก็แต่พิมนั่นแหละ ไม่ยอมติดต่อใครแบบนี้แม่กับยายไม่ห่วงแย่แล้วเหรอ ลุงไกรสรอีกล่ะ ท่านอาจจะกำลังเป็นห่วงพิม”
“บอกกับไม่บอก มีค่าเท่ากัน ยังไงพิมก็ถูกตีอยู่ดี ไม่ต้องห่วงนะคะ พิมจะไม่บอกใคร ว่าพิมไปไหน ไปกับใคร”
“น้อยใจหรือเปล่า ที่พี่ไม่ให้พิมบอกใครเรื่องเรา”
“พิมจะน้อยใจได้ยังไงคะ ในเมื่อพิมรู้ดีว่าพิมเป็นใคร”
“พี่ไม่ได้รังเกียจพิม แต่ว่าตอนนี้พวกเรายังเด็กเกินไป พิมเรียนอยู่แค่ชั้นมอปลาย ส่วนพี่ก็มีภาระงานให้รับผิดชอบมากมาย เร็วๆ นี้คุณพ่อคุณแม่ก็อยากให้พี่ไปเรียนต่อต่างประเทศ”
“พี่รัน... จะไปเรียนต่อที่ไหน เมื่อไหร่เหรอคะ”
“อังกฤษ เร็วๆ นี้ พี่อาจจะไม่ได้อยู่ข้างพิม แต่พี่สัญญาว่าวันที่เราโตมากกว่านี้ พร้อมมากกว่านี้ พี่จะบอกทุกคนว่าเราคบกัน”
“วันที่เราโตมากกว่านี้ มันอีกกี่ปีเหรอคะ”
เด็กสาวแสนเศร้า ต้องการรู้เวลาแน่ชัดเพื่อเลี้ยงหัวใจให้อดทน แค่คิดว่าจะไม่มีเขา อวัยวะภายในกายก็บีบรัดเจียนตาย
“พี่… ไม่รู้ อาจจะห้าปีหรือหกปี พิมจะรอพี่ไหวหรือเปล่า”
“หกปีต่อจากนี้ ในวันที่พิมโตมากพอ ถ้าพิมรักและรอพี่รันคนเดียว พี่รันจะรักและรอพิมคนเดียวเหมือนกันหรือเปล่า”
รอด้วยความหวังว่าจะได้รับคำตอบที่อยากได้ยิน เขากลับมีสีหน้าเป็นกังวล และตอบคำถามนั้นด้วยการลุกขึ้นจากเตียง ความไม่เดียงสาหรือความคิดน้อยไม่ทราบ ผลักดันเด็กสาวให้เข้าไปกอดเขาที่แผ่นหลัง อ้อนวอนคนหมดใจให้อยู่ต่อ ยอมหมดทุกอย่าง โดยไม่รู้ว่าจะกลายเป็นตราบาปติดในใจมานานหลายปี