“ใครมาเหรอ” ผู้หญิงสูงวัยแต่งตัวภูมิฐาน มองผ่านแว่นตามามองคนทั้งสอง ที่เดินมาหยุดอยู่ใกล้ มองนิ่งๆ อย่างใช้ความคิด ว่าคนตรงหน้าคือใครบ้าง
“คุณหนูไงคะท่าน คุณหนูญาณิสา” แม่บ้านเดินไปอยู่ใกล้ๆ กุมมือคนที่นั่งอยู่อย่างดีใจ แต่คุณหญิงของบ้านกลับมีสีหน้าไม่ต่างจากเดิม
“ญาณิสาคือใคร” ญาณิภามองคนตรงหน้านิ่งเหมือนเดิม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอค่ะ ป้ากราย” ญาดามองผู้หญิงที่เป็นแม่ด้วยความสงสัย ท่านยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่สิ่งที่ท่านเป็นอยู่ญาดาไม่เคยเห็น เธอไม่ได้เปลี่ยนไปขนาดนั้น แต่ทำไมคนเป็นแม่ถึงจำไม่ได้เลย
“คุณหญิงทำงานหนัก จนเส้นเลือดในสมองแตกค่ะ ตอนนี้หลงๆ ลืมๆ และเดินไม่ได้ค่ะ” แม่บ้านเก่าแก่ เล่าทั้งน้ำตา สงสารคุณหญิงของเธอสุดหัวใจ
“คุณแม่จำหนูไม่ได้เหรอคะ” ญาดาเดินเข้าไปนั่งลงข้างคนเป็นแม่ เพราะท่านนั่งอยู่เลยไม่รู้ว่าท่านเดินไม่ได้ มือเล็กๆจับมือคนเป็นแม่ไว้แน่น ความทรงจำในอดีตที่ท่านเคยทำกับตัวเอง ไม่อาจทำลายความรักที่เธอมีต่อแม่ลงได้ ยิ่งรู้ว่าคนเป็นแม่มีสภาพแบบนี้ยิ่งรู้สึกผิดต่อท่าน
“ยาหยีเหรอ ใช่ยาหยีรึเปล่า” แววตาที่เริ่มฝ้าฟางตามกาลเวลา ถามคนที่นั่งอยู่ที่พื้น คนเดียวที่จำได้มีเพียง ยาหยี ลูกสาวตัวเล็กๆ ที่รอท่านอยู่ที่บ้าน
“ค่ะ ยาหยีของคุณแม่ไงคะ” ญาดาปล่อยให้น้ำตาไหลริน แม่เธอไม่เคยเรียกเธอว่ายาหยีอีกเลย ตั้งแต่ที่ท่านต้องไปช่วยงานของคนเป็นพ่อ แม่ไม่เคยว่าง และไม่เคยเรียกเธอด้วยชื่อนี้เลย แต่ตอนนี้คนที่ท่านจำได้ มีเพียงยาหยี ในอดีตเท่านั้น
“ยาหยีของแม่กลับมาจากโรงเรียนแล้วเหรอ แม่รอหนูทุกวันเลย ยาหยีจะกลับมาอยู่กับแม่แล้วใช่ไหม” ญาณิภามองหน้าลูกสาวอย่างต้องการคำตอบ ญาดาจึงพยักหน้าให้เบาๆ คนเป็นแม่จึงยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“ป้ากรายช่วยโทรหาคุณพ่อให้ญาด้วยค่ะ ญามีเรื่องจะคุยกับท่าน” ญาดาบอกแม่บ้านเสียงเบา และหญิงสูงวัยก็รีบทำตามทันที
“คุณแม่ทำอะไรอยู่เหรอคะ” ญาดาหันกลับมาคุยกับคนเป็นแม่ ท่านจึงเอารูปที่เพิ่งจะดูเสร็จ มาให้ญาดาดูด้วย
“ดูรูปของแม่กับยาหยีไง” ท่านยิ้มอย่างอบอุ่น มันเป็นรูปของเธอกับท่านจริงๆ แต่เป็นรูปสมัยเด็กที่ญาดาเพิ่งจะคลอด เป็นรูปช่วงที่เธอยังมีอายุไม่ถึง 5 ขวบด้วยซ้ำ
“คุณหนูค่ะ อีกชั่วโมงคุณท่านจะกลับมาค่ะ” แม่บ้านเก่าแก่รายงานเสียงเบา เพราะไม่อยากขัดความสุขของแม่ลูกที่นั่งมองรูปถ่ายด้วยกันอยู่
ญาดานั่งรออยู่กับคนเป็นแม่ เธอจากไปเกือบ 6 ปี เคยคิดว่าการกลับมาจะต้องถูกพ่อแม่ตำหนิอย่างรุนแรง แต่ไม่คิดว่าคนเป็นแม่จะต้องมาเป็นอะไรแบบนี้ ความรู้สึกผิดกัดกินหัวใจจนรู้สึกเจ็บ
รอเกือบชั่วโมง รถคันหรูก็ขับเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ คนที่ญาดาคุ้นหน้าที่สุด เดินอย่างเร่งรีบมาทางเธอกับแม่ ญาดาจึงลุกขึ้นยืน ยกมือไหว้คนเป็นพ่อที่เดินตรงมาหา
เพี้ยะ!
ใบหน้าไร้เครื่องสำอางหันไปตามแรงตบ แต่เธอไม่โกรธสักนิด เพราะในนาทีต่อมาร่างทั้งร่างของเธอก็ถูกดึงเข้าไปกอด รับรู้ถึงแรงสะอื้นจากคนตัวสูงกว่า
“ทำไมทิ้งพ่อกับแม่ไปแบบนั้น พ่อรู้ว่าทำผิด แต่ยาหยีไม่ควรทิ้งไปแบบนั้น” ชาญวิทย์ พูดทั้งน้ำตาบางทีก็โกรธตัวเอง แต่กลับโกรธลูกสาวมากกว่า ที่คิดว่าเขากับภรรยาจะพาเธอไปทำแท้งจริงๆ
“ขอโทษค่ะ แต่หนูต้องปกป้องลูกของหนู หนูรู้ว่าผิด แต่ลูกของหนูไม่ผิด” ญาดาพูดอยู่ในอ้อมกอดของคนที่เธอรัก
“แล้วหลานของพ่อละ หลานอยู่ไหน” ชาญวิทย์เมื่อนึกขึ้นได้ ก็ถามหาหลานของตัวเอง มือก็ลูบไล้รอยแดงจากฝ่ามือของตน บนใบหน้าของลูกสาว ญาดาจึงส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ
“หนูกลับมาเพราะเรื่องนี้แหละค่ะ ญาณิดา อยู่โรงบาล ป่วยเป็นโรคมือเท้าปากขั้นรุนแรง หนูไม่มีเงินค่ะ คุณพ่อช่วยญีน่าได้ไหมคะ แล้วหนูจะยอมทำตามคุณพ่อทุกอย่าง” ญาดาเกาะแขนคนเป็นพ่อไว้แน่น
ลูกเธอต้องการเงินค่ารักษาพยาบาล และเธอก็มีเพียงทางเลือกนี้เท่านั้น ต่อให้ต้องทำตามคำสั่งของคนเป็นพ่อตลอดชีวิตเธอก็ยอม
“เรื่องนั้นค่อยมาคุย พาพ่อไปหาหลานหน่อยสิ” ชาญวิทย์พูดจบก็เดินนำญาดาไปขึ้นรถ ที่คนขับรถเพิ่งขับไปจอดในโรงจอดรถ
รถคันหรูขับพาคนทั้งสองมาที่โรงพยาบาล ที่ลูกสาวตัวน้อยของญาดารักษาตัวอยู่ ชาญวิทย์เดินตามลูกสาวตัวเองเข้าไปในห้องพิเศษ มองเด็กน้อยที่หลับอยู่ด้วยความสงสาร ผื่นแดงขึ้นเต็มตัว คงจะทรมานมากสินะหลานตา
“คุณท่าน”กรุณาที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ มองคนทั้งสองด้วยความตกใจ ก่อนสองมือจะพนมไหว้คนที่อาวุโสกว่า
“พ่อจะไปคุยกับหมอ ยาหยีเตรียมตัวย้ายหลานของพ่อออกไปตอนนี้เลย” ชาญวิทย์รีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
โรงบาลขนาดเล็กแบบนี้ ต่อให้มีหมอที่เก่งประจำอยู่ แต่เครื่องไม้เครื่องมืออาจจะไม่เพียงพอก็ได้ หลานของท่านต้องได้รับการรักษาที่ดีกว่าเดิม
ชาญวิทย์ไปติดต่อเรื่องย้ายโรงบาล หมอซึ่งเห็นด้วยอยู่แล้ว รีบจัดการทำเรื่องให้อย่างรวดเร็ว ถ้าช้ากว่านี้เด็กหญิงญาณิดา อาจจะมีอาการที่รุนแรงขึ้นก็ได้ ไม่มีใครอยากเอาชีวิตคนไข้มาเสี่ยง