ไป๋โม่ได้ฟังก็นึกเห็นด้วยและในตอนนี้จำนวนปีศาจที่นางสังหารได้ก็มากพอสมควรแล้ว จึงถอนกระบี่ออกอย่างเงียบ ๆ และเดินไปยืนอยู่ข้างๆ ฉางคุน คอยสังเกตการต่อสู้ของศิษย์น้องคนอื่นๆ
แม้ว่าฉางคุนจะให้ความสนใจกับการต่อสู้ของบรรดาสหายร่วมสำนัก แต่ในบางครั้งเขาก็แอบมองใบหน้าด้านข้างของไป๋โม่เป็นครั้งคราว และเมื่อเห็นนางมองกลับมาและยิ้มให้
มุมปากของชายหนุ่มยกยิ้มตามขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะรีบหันหน้าหนีและตำหนิตนเองที่ให้ความสนใจนางมากเกินไป
หลังจากที่ไป๋โม่หันไปยิ้มให้ฉางคุน และถูกอีกฝ่ายเมินนางก็คิดว่าพระเอกคนนี้ช่างเอาใจยากนัก การที่จะผูกมิตรกับเขาในระยะเวลาสั้นๆ คงเป็นไปไม่ได้ หญิงสาวจึงเลิกสนใจเขาและหันไปดูบรรดาศิษย์น้องคนอื่นๆ ที่กำลังต่อสู้
นางพบว่าเสิ่นอี้และซูเหมยเก่งมาก ทักษะการต่อสู้ของคนทั้งสองว่องไวที่สุดในบรรดาศิษย์น้องเหล่านี้ ไป๋โม่เห็นว่าซูเหมยฆ่าปีศาจหนูราวห้าตัวได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ตวัดกระบี่ครั้งเดียวเท่านั้น อีกทั้งท่วงท่ายังคงพริ้วไหวงดงามราวกับเทพธิดา
หลังจากการลงมือสังหารสัตว์ปีศาจ ตอนนี้ก็เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน พวกเขาต้องสร้างค่ายที่พักเพื่อพักผ่อนเอาแรง โชคดีที่พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญตน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องยุ่งยากในการหาอาหาร
ทุกคนมารวมตัวกันรอบกองไฟและพูดคุยเกี่ยวกับการฆ่าปีศาจในครั้งนี้ บางคนโอ้อวดว่าสังหารไปได้หลายสิบตัว
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่ที่ไป๋โม่และฉางคุนได้นั่งติดกัน โดยมีเสิ่นอี้และซูเหมยนั่งประกบอยู่คนละฝั่ง บรรยากาศระหว่างคนทั้งสี่ค่อนข้างเงียบเชียบ ไม่เข้ากับเสียงหัวเราะจากศิษย์น้องคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาที่ไม่เป็นมิตรของซูเหมย ที่ทำให้ไป๋โม่รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
โชคยังดีที่ในเวลานี้เสิ่นอี้มาขอคำแนะนำเกี่ยวกับการบำเพ็ญจากนาง และนางก็อธิบายข้อสงสัยของเขาอย่างจริงจัง โดยไม่สนใจการจ้องมองของซูเหมย
ฉางคุนมองกองไฟที่ลุกไหม้อยู่ตรงกลาง ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงเย็นชา แต่หูของเขาได้ยินเสียงต่ำของไป๋โม่ที่กำลังอธิบายการบำเพ็ญให้กับเสิ่นอี้ฟัง เสียงของนางเหมือนกับสายลมพัดผ่านหัวใจของเขา ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ
นางอธิบายให้เสิ่นอี้ฟังอย่างอดทน น้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่รีบร้อน เขาจึงตั้งใจฟังโดยไม่รู้ตัว และไม่สนใจเสียงของศิษย์น้องซูที่นั่งอยู่ข้างๆ ในเวลานี้หูของเขาได้ยินเพียงเสียงของไป๋โม่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในฐานะศิษย์น้องเหมือนกัน นางดูแลและให้คำแนะนำเสิ่นอี้อย่างอดทน แต่กับเขานางมีแต่สายตาดูถูกเหยียดหยาม เมื่อเห็นนางปฏิบัติต่อศิษย์น้องต่างกันราวฟ้ากับเหว รวมถึงตอนนี้นางก็ไม่สนใจที่จะหันมามองทางเขาเลยแม้แต่น้อย ฉางคุนก็รู้สึกโกรธอยู่ในใจเขาลุกขึ้นและเดินออกไปจากบริเวณนั้นในทันที
เมื่อเห็นฉางคุนออกไป ซูเหมยก็รีบลุกขึ้นเดินตามไปด้วยอีกคน
ไป๋โม่หยุดชะงักลงชั่วครู่ "นี่!...พวกเจ้าอย่าออกไปไหนไกลเล่า กลางคืนในป่ามันค่อนข้างอันตราย" หญิงสาวตะโกนตามหลัง แต่คนทั้งสองก็ไม่ได้หยุดเดิน นางจึงส่ายหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปอธิบายเรื่องการฝึกบำเพ็ญให้เสิ่นอี้ฟังต่อ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ซูเหมยก็กลับมาคนเดียวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ส่วนฉางคุนก็กลับมาหลังจากนั้นอีกราวครึ่งชั่วยาม โดยบอกว่าเขาไปวาดยันต์ป้องกันปีศาจรอบนอกเอาไว้ เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนจึงวางใจและพิงต้นไม้หลับไป...
และในค่ำคืนนั้นฉางคุนฝันบางอย่าง…บนเตียงสีดำขนาดใหญ่มีสตรีรูปร่างอรชรคนหนึ่ง นางสวมกระโปรงผ้าบางเกือบโปร่งแสง มองเห็นเรือนร่างสีขาวราวหิมะอยู่เลือนลาง หญิงนางนั้นวางมือข้างหนึ่งบนหน้าอกของตนแล้วลูบไล้เบา ๆ มืออีกข้างหนึ่งล้วงเข้าไปใต้กระโปรง เรียวขาของนางเสียดสีกันไปมา
เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาให้เขาเห็นชัดๆ สตรีนางนี้กลับเป็นศิษย์พี่หญิงไป๋โม่!
ฉางคุนมองไปภาพอันลามกเบื้องหน้านี้ด้วยดวงตาตื่นตะลึง เห็นได้ชัดว่าเตียงสีดำขนาดใหญ่นั้นเป็นของเขาอย่างแน่นอน และแม้แต่ของในห้องก็เหมือนกันทุกประการ แต่เหตุใดไป๋โม่ถึงมาอยู่ที่นี่ และทำตัวยั่วยวนเขาแบบนี้!
ไป๋โม่ที่อยู่บนเตียงเห็นว่าเขาไม่ตอบสนอง นางส่งเสียงสะอื้นเบาๆ ดวงตามีน้ำตาเอ่อคลอเป็นประกาย "ศิษย์น้อง…ข้าอึดอัดมาก เจ้าช่วยข้าที" เสียงของหญิงสาวอ่อนโยนและนุ่มนวล เมื่อรวมกับการแสดงออกที่น่าทะนุถนอมรวมถึงรูปร่างที่น่าหลงใหล ฉางคุนเกรงว่าจะมีผู้ชายเพียงไม่กี่คนที่สามารถต้านทานได้
ฉางคุนคำรามเสียงต่ำ "ศิษย์พี่หญิง…โปรดเคารพตัวเองด้วย" ขณะที่เขากำลังจะเปิดประตูเดินออกไป แขนที่เหมือนรากบัวก็โอบรอบคอของชายหนุ่ม ไป๋โม่กระซิบพูดข้างหูทำให้ลมหายใจของนางสัมผัสผ่านใบหูของเขา "ศิษย์น้อง...เจ้ากลัวอะไรอย่างนั้นหรือ…" ขณะที่นางพูดก็ถูร่างบอบบางเข้ากับแผ่นหลังแข็งแกร่งของชายหนุ่ม
“ปล่อย” ฉางคุนพยายามดิ้นรน แต่เขาก็ไม่สามารถดิ้นหนีนางได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้แต่คำรามเสียงต่ำ ไป๋โม่วางมือไว้ที่ส่วนนั้นของเขา จับส่วนที่แข็งตึงผ่านเสื้อผ้า “ดูเหมือนว่าส่วนนี้มันจะแข็งกระด้างขึ้นมาเสียแล้ว” ไป๋โม่ยิ้มและแอบใช้ลิ้นตวัดไปที่ใบหูของเขา
ร่างกายส่วนล่างของฉางคุนถูกกอบกุมไว้ ใบหน้าของชายหนุ่มแดงระเรื่อ เขาท่องคาถาเพื่อต้องการเรียกกระบี่ออกมาต่อสู้กับไป๋โม่ แต่ร่างกายของเขาไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้าน จนถูกนางดึงกลับไปที่เตียง
ทั้งสองคนก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยกัน เพียงไม่นานเสื้อผ้าทั้งหมดบนร่างกายของเขาก็ถูกถอดออก ไป๋โม่กอบกุมท่อนเนื้อของเขาเอาไว้และบีบสลับคลายอย่างเบาๆ ก่อนที่นางจะค่อยๆ เลื่อนตัวขึ้นมาและกำลังจะยกบั้นท้ายขึ้นไปนั่งบนส่วนนั้น ฉางคุนตะโกนด้วยความตื่นตระหนก!
"ศิษย์พี่หญิงจะทำอะไร!"
ฉางคุนสะดุ้งตื่นจากความฝันและเมื่อมองต่ำลงไปก็เห็นว่ากลางกายของเขาก็ตั้งชั้นเป็นกระโจม มันแข็งตึงจนเขารู้สึกเจ็บปวด ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยเหงื่อ ความฝันเมื่อสักครู่มันเหมือนจริงเกินไป ราวกับว่าส่วนนั้นของเขาถูกลูบคลำด้วยมือนุ่มๆ นั้น ท่าทางของสตรีนางนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของเขา โชคดีที่นางยังไม่ทันได้นั่งลงไป!
เขามองไป๋โม่ที่กำลังนอนหลับสนิทพิงต้นไม้อยู่ไม่ไกลนัก นางยังคงมีใบหน้าที่เรียบเฉย แตกต่างจากใบหน้าในฝันอย่างสิ้นเชิง
ฉางคุนไม่กล้านอนหลับต่อ เขากลัวที่จะฝันไร้สาระอีก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ชายหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีความฝันที่ชั่วร้ายต่อศิษย์พี่หญิงเช่นนี้...
❤️อิอิอิ ศิษย์น้องฝันเปียกแหละ 555 ❤️