ตอนที่ 7...

1892 คำ
พีรพลกลับมาจากไซต์งานก็เกือบหกโมงเย็น เห็นไฟในสำนักงานขายเปิดอยู่ ใจเกือบตำหนิพนักงานซะแล้วว่าไม่ประหยัดพลังงาน ไม่ช่วยชาติลดโลกร้อน ทว่าพอเดินเข้ามาใกล้อีกนิด เขาก็เห็นมิรันดายังอยู่ที่โต๊ะทำงาน “ทำไมยังอยู่นี่อีกล่ะ” คำถามแสนห้วนของเจ้านาย ทำเอาลูกจ้างทำหน้าไม่ถูก “งานยังไม่เสร็จเหรอ” “เปล่าค่ะ นาวนั่งรอคุณพลค่ะ” เธอตอบตามตรง งานที่เขาสั่งน่ะเสร็จเมื่อสิบห้านาทีก่อนแล้ว “รอผมทำไม?” เขาแปลกใจ เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาใกล้ๆ แต่ตัวก็ยืนนิ่ง ไม่ขยับร่างกายไปไหน “นาวอยากขอบคุณคุณพลที่ช่วยนาวจากคุณดนัยค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” เธอยกมือไหว้พร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน หากวันนี้ไม่ได้พูดคำขอบคุณ คงไม่สบายใจจนนอนไม่หลับ “ครับ” เขาตอบสั้นๆ ไม่มองหน้า ไม่สบตา เดินผ่านเธอไปล้างมือที่ห้องน้ำ แต่ยังไม่ทันจะเดินได้ถึงห้าก้าว เขาก็หันมาคุยกับมิรันดา “คุณกลับบ้านยังไง” “รถไฟฟ้าค่ะ” “สถานีไหน” “บางนาค่ะ” “เก็บของสิ เดี๋ยวผมไปส่ง” “ไปส่ง!” “ผมผ่านทางนั้นพอดี” “ไม่เป็นไรค่ะ กว่าจะถึงรถก็ติดมาก นาว...” “ผมไม่ได้รีบไปไหน” “แต่...” “ผมจะไปเข้าห้องน้ำ คุณมีเวลาเก็บของสิบนาทีนะ” มิรันดาถอนหายใจ ยังไม่ทันได้ปฏิเสธ จะเรียกให้เจ้านายหยุดเดินก็ไม่กล้า เขาเดินจากไปหน้าตาเฉย ทิ้งให้เธอยืนทำตัวไม่ถูก เอาไงดี ต้องไปกับเขาจริงๆ เหรอ “เหลือเก้านาที!” “ค่ะ!” เธอเผลอตอบกลับตามความเคยชินเวลารับคำสั่ง ไม่ได้อยากกลับด้วยเลย บอกตามตรงไม่มีอ้อมค้อม ว่าเบียดกับคนอีกล้านคนบนรถไฟฟ้า สบายใจกว่าไปกับเขาตั้งเยอะ ส่วนเจ้านายที่แอบมองนั้นยิ้มหน้าระรื่น เมื่อเห็นลูกน้องคนสวยทำหน้าเหมือนจะหมดลมหายใจในอีกสามนาทีข้างหน้า “พร้อมไหม” พีรพลออกมาจากห้องน้ำก็ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่มิรันดานั้นอยู่ไม่นิ่งเอาเสียเลย “ค่ะ” เธอยื่นมือไปคว้ากระเป๋าสะพาย ทว่าต้องหยิบถึงสามครั้ง กว่ามือจะจับหูกระเป๋าได้ “ไม่ต้องเครียด ผมไม่ได้จะพาไปฆ่าสักหน่อย ปกติผมก็ไปส่งพี่ปรางออกจะบ่อย ถ้าไม่เชื่อ พรุ่งนี้ถามพี่ปรางดูสิ” “ค่ะ” “ไปกันเลยไหม” “ค่ะ แต่ขอปิดไฟกับล็อกประตูก่อนนะคะ” มิรันดาก้าวยาวๆ ไปปิดไฟ ล็อกประตูทางเข้าด้วยการใส่รหัสที่มีเพียงแค่เจ้านาย พี่ปรางและเธอเท่านั้นที่รู้ว่าต้องใส่ตัวเลขอะไรถึงจะเข้ามาในนี้ได้ เธอเดินตามหลัง พีรพลไปห่างๆ และแม้ระยะทางจากประตูสำนักงานขายกับรถจะห่างกันแค่ไม่กี่สิบก้าว แต่มันดูห่างไกลสำหรับมิรันดามากเหลือเกิน เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที “คาดเข็มขัดด้วยนะ” “ค่ะ” รู้แล้วน่าว่าต้องคาด แต่รถหรูแบบนี้ นั่งแล้วก้นร้อนแปลกๆ มันตื่นเต้น แถมประหม่า กลัวว่าหยิบจับอะไรแล้วของจะพัง และถ้ามันพัง ค่าซ่อมคงแพงมาก “สถานีบางนานะ” “ค่ะ” “โอเค” เขาพยักหน้า กดแอปพลิเคชันแผนที่เพื่อระบุจุดหมายปลายทาง ก่อนจะเหยียบคันเร่งที่เร่งได้ไม่มาก เพราะกรุงเทพมหานครเวลานี้รถติดเหลือเกิน “จอดที่สถานีรถไฟฟ้าข้างหน้าก็ได้นะคะ” มิรันดาตัดสินใจบอกเมื่อเห็นสถานีเอกมัยอยู่ไม่ไกล ให้เธอลงตรงนี้ นอกจากเขาจะไม่เสียเวลา นั่งรถไฟฟ้าต่อไปอีกไม่กี่สถานีก็ถึงสถานีบางนาแล้ว “คุณรีบเหรอ” “ไม่ค่ะ” ไม่ได้รีบ แต่ไม่กล้าบอกว่าเสียเวลานั่งหายใจทิ้งไปเปล่าๆ อันที่จริง จากสำนักงานขาย เดินไปสถานีเพลินจิตแค่สี่นาทีก็ถึง เวลาที่อยู่บนถนนมาครึ่งชั่วโมง หากอยู่บนรถไฟฟ้า ตอนนี้ก็น่าจะใกล้ถึงสถานี บางนาแล้ว “ผมก็ไม่รีบ ปกตินั่งรถไฟฟ้ามาทำงานตลอดเลยเหรอครับ” “ค่ะ” “ปกติออกจากบ้านกี่โมง ถึงโครงการกี่โมง” “ออกจากบ้านไม่เกินเจ็ดโมงสี่สิบห้า ถึงโครงการไม่เกินแปดโมงครึ่งค่ะ” “แล้วกินข้าวเช้ามาจากบ้าน หรือซื้อมากินที่ออฟฟิศ” “แล้วแต่วันค่ะ” “แปลว่าเริ่มงานเก้าโมง ไม่ช้า ไม่เร็วเกินไปใช่ไหม” “ค่ะ ปกติลูกค้าจะเข้ามาช่วงสิบโมงครึ่งเป็นต้นไปค่ะ” “แล้วช่วงนี้ทำงานเป็นยังไงบ้าง มีแค่คุณกับพี่ปรางแค่สองคน เหนื่อยไหม” “ไม่ค่ะ ส่วนใหญ่ลูกค้าที่จะโทรมาสอบถามและนัดหมายเวลาก่อน นาวกับพี่ปรางเลยจัดเวลาได้ค่ะ” “แล้วเจอลูกค้าแบบวันนี้บ่อยหรือเปล่า” คราวนี้เขาถามด้วยการหันมามองหน้ามิรันดา ไม่มองแค่ถนนเหมือนคำถามก่อนหน้านี้ “ไม่บ่อยค่ะ ส่วนใหญ่จะเจอลูกค้าน่ารัก บางคนก็มองเจ้าชู้ๆ ใส่บ้าง แต่กับคุณดนัย เขาค่อนข้างน่ากลัวค่ะ” “น่ากลัวเหรอ เขาทำอะไรคุณมากกว่าที่ผมเห็นผ่านกระจกห้องทำงาน” “เขายื่นข้อเสนอมาให้ค่ะ บอกว่าถ้ายอมไปกินข้าวด้วย วันนี้จะเซ็นสัญญาจอง สองมื้อจะซื้อเงินสด สามมื้อและนอนกับเขา เขาจะซื้อสองห้องค่ะ” “เหี้ยมาก” มิรันดาอ้าปากค้าง จากที่ไม่ค่อยกล้ามอง ตอนนี้เธอจ้องเขาตาไม่กะพริบ “ขอโทษที ปกติคุณไม่พูดคำหยาบใช่ไหม” “พูดบ้างค่ะ พูดตอนอยู่กับเพื่อน” เธอยอมรับความจริง แต่ไม่ได้พูดจนติดปากและรู้ว่าเวลาไหนควรพูดหรือไม่ควร “แล้ว...ทำไมมองหน้าผมแบบนี้ล่ะ ผมรู้สึกเป็นคนเลวยังไงก็ไม่รู้” “นาวแค่ตกใจที่คุณพลพูดกับนาวค่ะ นาวคิดว่า... คำนี้น่าจะเอาไว้ใช้พูดกับเพื่อนค่ะ” “อ๋อ โอเคครับ ต่อไปนี้ผมจะไม่พูดคำหยาบต่อหน้าคุณนะ แล้วคุณไม่ได้รับข้อเสนอของเขาใช่ไหม” “ไม่ได้รับค่ะ ถ้ารับ วันนี้เขาคงจองเซ็นสัญญาจองไปแล้ว” “ถ้ารับ คุณจะโดนผมไล่ออกด้วย” “ทราบค่ะ” เธอตอบเสียงเบา กลัวคำขู่ของเขาจริงๆ นะ ดูพี่แป๋มกับพี่แก้มสิ หายเข้ากลีบเมฆ คงจะถูกไล่ออกแบบที่เขาพูด ไม่ได้ถูกเชิญออกแบบที่ปรางพูดเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเจ้านายหรอกมั้ง “ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณพลเสียลูกค้า” “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ผมไม่เห็นแก่เงินมากกว่าเกียรติของคุณอยู่แล้ว” มิรันดาเผลอยิ้ม ไม่รู้ว่าเขาจริงใจมากแค่ไหน และเขาคงหมายถึงพนักงานในความดูแลทุกคน ไม่ได้เจาะจงแค่เธอ แต่ฟังแล้วรู้สึกดีจังเลย “ขอบคุณนะคะ” “ครับ” เขาพยายามกลั้นยิ้ม รีบเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้น จากที่พยายามถ่วงเวลาขับรถช้าๆ ตอนนี้อยากส่งเธอให้ถึงที่หมาย ไม่อยากหัวใจวายตายคาพวงมาลัย เพราะความน่ารักของเธอที่เจิดจ้าแจ่มจรัสส่องแสงแวววับ แม้ในรถจะมืดมากก็ตามที ผมไม่ได้เวอร์นะครับ มะนาวน่ารักจริงๆ “ช้าลงหน่อยไหมดีไหมคะ” มิรันดาตัดสินใจบอก โดนบีบแตรใส่สองครั้งแล้ว เข้าใจว่ารถแพง เครื่องยนต์เลยแรงเป็นพิเศษ แต่นี่ในกรุงเทพ คนเยอะ รถแยะ ถนนเล็ก เบาได้ก็เบานะคะคุณพล “แล้วจากสถานีบางนา ต้องต่อรถอะไรไหม” เขาถามหลังจากผ่อนคันเร่ง ขออะไร จัดให้ ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง ผมทำให้ได้หมดทุกอย่างครับ “ไม่ค่ะ เดี๋ยวพ่อเดินมารับ” “พ่อเลี้ยงที่คุณเคยบอกเหรอ” “ค่ะ” “คุณพ่อสอนภาษาอังกฤษเหรอ ผมจำได้ว่าคุณบอกว่าเรียนรู้ภาษาอังกฤษมาจากพ่อ” “เปล่าค่ะ พ่อเป็นคนออสเตรเลีย เราเป็นครอบครัวเดียวกันมาสิบปีแล้ว” “อ๋อ แล้วพ่อกับแม่สบายดีไหมครับ” “...สบายดีค่ะ” มิรันดาตอบไปงงไป เขาจะอยากรู้ไปทำไม ถ้าไม่รู้จะถามอะไร เรานั่งเงียบๆ หรือเปิดเพลงฟังก็ได้ แต่เข้าใจว่าเขาต้องการชวนคุยเพื่อให้สนิทสนมกันมากขึ้น เพราะตั้งแต่วันที่เขาขอโทษเรื่องที่เข้าใจผิดว่าเป็นเมียน้อยคุณพิพัฒน์ ส่วนใหญ่ก็คุยกันแค่เรื่องงานเท่านั้น และคงไม่เป็นไรนะ หากจะเป็นฝ่ายถามเขาบ้าง “บ้านคุณพลอยู่บางนาเหมือนกันเหรอคะ” “เปล่า” “มีธุระอะไรที่บางนาเหรอคะ เห็นคุณบอกว่าต้องผ่านทางนี้พอดี” “จริงๆ แล้วไม่มีธุระอะไรหรอก ผมเพิ่งไปเปลี่ยนยางรถมาใหม่ เลยอยากลองขับไกลๆ ว่ามันจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ถ้าเจอปัญหาหลังออกจากศูนย์ภายในสามวัน เขาจะแก้ไขให้ฟรี ยางรถผมเส้นละเป็นหมื่นเลยนะมะนาว อะไรประหยัดได้ก็ประหยัด” “อ้าว...” “ผมบอกแล้วไงว่าผมว่าง” เขารีบเพิ่มเติมเหตุผล เพื่อให้เธอไม่งงและเลิกทำหน้าเครียดเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระสักที “แล้วบ้านคุณพลอยู่ไหนคะ” “ลาดพร้าว” “ลาดพร้าว!” มิรันดาจะบ้าตาย บางนากับลาดพร้าวมันคนละทิศกันเลย นี่เป็นการขับรถเล่นรอบกรุงเทพมหานครหรือยังไงกัน “แต่คอนโดผมอยู่ใกล้ๆ โครงการเราอยู่ห้องนึง ถ้าผมขับรถไม่ไหว ผมก็นอนคอนโด คุณไม่ต้องห่วงผมนะ” ใครห่วงกันเล่า แค่เกรงใจเฉยๆ ที่เขาต้องขับรถวนไปวนมา “คุณพลไม่มีแฟนเหรอคะ” “ถามทำไมครับ” เขาแอบยิ้มเจ้าเล่ห์ มะนาวสนใจผมสินะ เจอกันเกือบทุกวัน ไม่แปลกที่เธอจะหวั่นไหว เพราะหนึ่งในข้อดีของผมก็คือผมหล่อนี่แหละครับ ...ถุ๊ย “กลัวแฟนคุณพลรู้แล้วเข้าใจผิดค่ะ” เพล้ง เพล้ง เพล้ง! หน้าแตกดังไม่แพ้จานตกจากที่สูงเลยเว้ย “ผมไม่มีแฟน ไม่ต้องคิดมาก มาส่งคุณทุกวันยังได้เลย” “นาวเกรงใจค่ะ วันหลังไม่รบกวนแล้วนะคะ คุณพลจอดตรงเซเว่นข้างหน้าเลยค่ะ” “ถึงแล้วเหรอครับ” “ค่ะ” พีรพลเซ็งหน่อยๆ ที่เขาพูดกันว่า เวลาแห่งความสุข มักจะผ่านไปเร็วเสมอ มันเป็นอย่างนี้ใช่ไหมครับ “ขอบคุณมากนะคะ” “ครับ นั่นพ่อคุณหรือเปล่า” เขามองไปที่ชายชาวต่างชาติคนหนึ่งที่กำลังมองเข้ามาในรถ “ค่ะ” ได้ยินดังนั้นก็เตรียมลงจากรถไปสวัสดี แต่เธอขวางไว้ซะก่อน “ไม่ต้องลงไปไหว้นะคะ ตรงนี้ห้ามจอดนาน เดี๋ยวตำรวจจับค่ะ ขอบคุณที่มาส่ง อีกครั้งนะคะ สวัสดีค่ะ” “ครับ” เขาส่งยิ้มกลับไป เคลื่อนรถไปข้างหน้าอย่างหมดทางเลือก ใจจริงอยากจะลงไปทักทายและเสนอตัวเป็นว่าที่ลูกเขย แต่สถานการณ์ไม่เป็นใจ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม