ชัชวีร์เสียงแข็งใส่หน้าลูกพี่ลูกน้องอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน นั่นคงเพราะอลินไม่ใช่ผู้หญิงทั่วไป แต่เป็นคนที่เขาเก็บไว้ในส่วนหนึ่งของหัวใจ ทำเอาธาวิตงงเป็นไก่ตาแตก เพราะตั้งแต่เกิดมา ญาติผู้พี่ไม่เคยแสดงพฤติกรรมรุนแรงแบบนี้ ไม่เคยขึ้นเสียงแข็ง ชักสีหน้าบ่งบอกอารมณ์โกรธกับเขาแม้สักครั้ง ครั้นจะอ้าปากตอบ ชัชวีร์ก็พูดตัดบทเสียก่อน
“ไม่ต้องพูด ถ้านายอยากให้น้าอรหายเป็นปกติดีดังเดิม นายต้องเชื่อฟังหมอ และอย่ายุ่งกับอลิน ผู้ช่วยของฉันอีก ปล่อยให้อลินดูแลน้าอรต่อ ส่วนนายตามมาคุยกับฉันที่ห้อง เดี๋ยวนี้!”
ดวงตาคมเข้มกับน้ำเสียงแข็งกร้าวของชัชวีร์ทำเอาธาวิตไม่เข้าใจว่า ทำไมญาติผู้พี่ถึงต้องโมโหมากมายขนาดนี้ด้วย ในเมื่อเขากำลังจับมือเมียตัวเองที่หนีหายไปเมื่อห้าปีก่อน เขาต่างหากที่ต้องถามว่า
‘ผัวเมียเขาจะคุยกันผิดตรงไหน’
แต่พอรู้ว่าอลินทำงานอยู่กับชัชวีร์ ธาวิตจึงยอมปล่อยหญิงสาวไปก่อน เพราะรู้แล้วว่าจะตามตัวเธอได้ที่ไหน เขาหันกลับมาจ้องหน้าอลิน แล้วส่งสายตาเข้ม
“ปล่อยก็ได้ แต่อย่าคิดหนี ฉันจะกลับมาจัดการกับเธอทีหลัง”
อลินฉลาดพอที่จะไม่เถียงหรือพูดอะไรไปมากกว่านี้ เธอนิ่งเงียบเพราะกำลังคิดหาทางแก้ไขสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากนั้น ธาวิตก็ตามชัชวีร์ไป เพราะสงสัยว่าสองคนนี้ไปรู้จักกันตอนไหนถึงได้มาทำงานด้วยกัน เรื่องนี้ เขาเองก็ต้องการรู้ให้ชัด ไม่คิดเลยว่า อลินที่หายไปจากเขาหลายปี ที่แท้จะอยู่ใกล้เขาแค่นิดเดียว นี่ละมั้งที่เรียกว่าเส้นผมบังภูเขา
ชัชวีร์และธาวิตออกไปแล้ว กระนั้น อลินก็ยังไม่หายตื่นเต้น หญิงสาวรู้ว่าพ่อแม่เขาเสียชีวิต อย่างไร ชายหนุ่มต้องกลับมา หลายวันนี้ก็เตรียมตัวมาอย่างดี หลบเขาทันเวลา แต่วันนี้พลาดไป อีกอย่าง เธอเป็นผู้ช่วยแพทย์ ทำหน้าที่ดูแลงานด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู คอยดูเคสผู้ป่วยกายภาพบำบัดฟื้นฟูร่างกายและสภาพจิตใจ ไม่ใช่พยาบาลอย่างที่ธาวิตเข้าใจ
อลินผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ ‘ปกป้อง’ และ ‘โปรดปราน’ ลูกแฝดชายหญิงวัยห้าขวบของเธอวิดีโอคอลเข้ามาพอดี
เมื่อสัญญาณเรียกเข้าดังไม่หยุด อลินก็หันไปขออนุญาตคุณอรสารับโทรศัพท์ จากนั้นมือเรียวก็ปัดหน้าจอรับสาย แล้วพูดเบาๆ อย่างเกรงใจคนป่วย เพราะตอนนี้ เธอยังอยู่ในเวลาทำงาน อันที่จริงไม่ควรใช้โทรศัพท์ขณะปฏิบัติหน้าที่ แต่ในมุมของคนเป็นแม่ก็อดไม่ได้
“สวัสดีค่ะน้องป้อง น้องปราน ตอนนี้ หม่ามี้กำลังทำงานดูแลคนไข้อยู่ มีอะไรด่วนไหมคะ หม่ามี้รับสายได้ไม่นานนะคะ”
“มีครับหม่ามี้”
จากนั้น เด็กชายก็ร่ายยาวให้ผู้เป็นแม่เตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ครูสั่งมาเพื่อนำไปทำงานประดิษฐ์ในวันพรุ่งนี้ ส่วนอลินนั้นเมมโมรีรายการที่ต้องหาซื้อก่อนกลับเข้าบ้านไว้ในสมองอย่างรวดเร็ว
“โอเค แม่รับทราบแล้ว พี่แก้วเตรียมอาหารเย็นให้แล้วใช่ไหมคะ”
“ครับ แต่อยากกินฝีมือหม่ามี้มากกว่า ฝีมือหม่ามี้อร่อยที่สุดในโลก”
เด็กชายผิวขาว ตาโต คิ้วเข้มออดอ้อน แล้วเสียงหวานใสก็แย่งพูดแทรกดังเข้ามา
“ปรานก็อยากกินฝีมือหม่ามี้ค่ะ หม่ามี้รีบกลับมานะคะ ปรานคิดถึงหม่ามี้ อยากกอดหม่ามี้จังค่ะ”
แค่เจอลูกอ้อน คนเป็นแม่ก็เผลอยิ้มแทบจะละลาย แต่ด้วยกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่จึงต้องจำใจวางสาย
“แค่นี้ก่อนนะคะ แม่กำลังทำงาน อย่าดื้อ อย่าซนนะคะ เดี๋ยวหม่ามี้จะรีบกลับไปกอด”
“อ๋อ เดี๋ยวครับ ป้องจะโทร.มาบอกหม่ามี้ด้วยว่า ป้องกับน้องอาบน้ำและทำการบ้านเรียบร้อยแล้วนะครับ ถ้าวันนี้ หม่ามี้มีงานกลับดึก ป้องจะพาน้องเข้านอนเองครับ” จากนั้น ฝาแฝดผู้พี่ก็หันไปมองยัยแก้มป่อง น้องสาวผู้น่ารักน่าแกล้ง “ป้องจะเล่านิทานเรื่องเจ้าชายกบหัวขาดให้น้องฟังเองครับ”
เท่านั้น โปรดปรานก็หวีดเสียงแหลมขึ้นมาทันที “ไม่เอานะคะ หม่ามี้รีบกลับมานะคะ ปรานไม่ฟังนิทานเรื่องเจ้าชายกบหัวขาดของพี่ป้อง”
เด็กน้อยตาแป๋วน่ารักเหมือนตุ๊กตารีบตะโกนบอกมาในสาย เพราะพี่ชายเอาเจ้าชายกบในนิทานที่เด็กผู้หญิงทุกคนชอบมาเล่าใหม่เสียบิดเบี้ยวจนไม่มีเด็กผู้หญิงคนไหนอยากฟัง
อลินจะปวดหัวมากหน่อยก็ตรงที่ฝาแฝดชอบแหย่กัน แต่ก็รักกันมาก ทั้งหนักใจแต่ก็เบาใจไปในตัว “ป้องดูแลน้องดีๆ อย่าแกล้งแหย่น้องนะคะ”
แฝดผู้พี่ที่ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัยห้าขวบยืดอก แล้วบอกผู้เป็นมารดาอย่างภาคภูมิใจ “ครับ วันนี้ ป้องจะดูแลน้องอย่างดี หม่ามี้จะได้สบายใจ”
“เก่งมากครับปกป้อง ขอบคุณนะครับที่ช่วยหม่ามี้ดูแลน้อง”
อลินกล่าวชื่นชมแฝดผู้พี่เป็นการให้กำลังใจ เพราะจริงๆ แล้ว ฝาแฝดผู้พี่ห่วงใยดูแลน้องเป็นอย่างดีเสมอ แต่ก็มีมุมชอบแอบแหย่ แอบแกล้ง เพราะโปรดปรานเป็นเด็กผู้หญิงที่หน้าตาน่ารัก ช่างออดอ้อน ชวนให้พี่ชายอยากหยอกเย้า
ขณะที่อรสานอนมองมายังเจ้าของเสียงน่ารักสดใสในโทรศัพท์มือถือของอลินที่วิดีโอคอลเข้ามาอย่างสนอกสนใจ นางประหลาดใจมากเหลือเกิน ทำไมหน้าตาของเด็กผู้ชายในหน้าจอมือถือของเจ้าหน้าที่ซึ่งเข้ามาดูแลทุกวันช่างเหมือนลูกชายนางตอนเด็กๆ ราวกับแกะมาจากพิมพ์เดียวกัน หญิงวัยกลางคนจึงพยายามยกมือกวักและส่งเสียงอู้อี้ร้องเรียกอลินให้เข้ามาคุยใกล้ๆ เพราะอยากเห็นใบหน้าของเด็กแฝดทั้งสองชัดๆ
“เดี๋ยวเด็กๆ ถือสายรอหม่ามี้สักครู่นะคะ” อลินพูดจบก็เดินมาใกล้ๆ เตียงของอรสามากขึ้น แล้วถามว่า “คุณน้าต้องการอะไรเหรอคะ”
แต่สายตาของคุณอรสามองมาที่หน้าจอโทรศัพท์ “เหมือน เด็กคนนั้นเหมือนตาวิตเหลือเกิน เด็กสองคนนั้นลูกเธอเหรอ”
แม้จะฟังจับใจความได้บ้าง ไม่ได้บ้างเพราะผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารได้เป็นปกติ แต่การดูแลผู้ป่วยเป็นอัมพาตมาหลายสิบรายก็ทำให้หญิงสาวเข้าใจได้มากกว่าคนทั่วไป อลินจึงพยักหน้า เธอก็พอจะรู้ว่านี่คงเป็นสายใยของสายเลือด และไม่คิดว่าจะได้รับเคสคุณอรสามาดูแล แต่ก็ไม่มีสิทธิ์เลือกรับหรือปฏิเสธคนไข้ บางอย่างก็เป็นเรื่องของโชคชะตา และดูเหมือนว่าโชคชะตากำลังทำหน้าที่ของมัน แม้จะพยายามเอาอะไรมากั้นขวางกงล้อของโชคชะตาแล้วมากมายก็ตามที
“ใช่ค่ะ ลูกของอลินเอง”