ริมฝีปากอิ่มซึ่งเคลือบด้วยลิปสติกสีพีชครางไม่ได้ศัพท์อีกครั้งยามที่ความใหญ่โตกราดเกรี้ยวโจนจ้วงเข้าใส่อย่างไม่ยั้งราวกับต้องการระบายความอัดอั้นออกมา สะโพกสอบส่ายวนเข้าออกเป็นจังหวะเร็วและแรงราวกับไม่รู้จักความเหน็ดเหนื่อย มือหนาฟอนเฟ้นหน้าอกอวบใหญ่คู่นั้น แต่ในใจเขากลับเห็นหน้าสาวคู่ขาเป็นใครคนหนึ่งที่น่าจะลืมไปได้ตั้งนานแล้ว
ทั้งหมดที่ธาวิตกำลังทำมันคือความต้องการพื้นฐานของเพศชาย เขาใช้เวลากับเจ้าหล่อนพักใหญ่จนบรรลุถึงเป้าหมายอิ่มเอมสมใจ แล้วก็ไม่ลืมส่งเธอให้ถึงสวรรค์ด้วยเช่นกัน แต่กระนั้นก็ทำให้เรือนร่างราวกับนางแบบของสาวสวยจัดบนเตียงแทบจะแหลกสลาย
เจ้าของร่างสูงควบทะยานความดุดันเร็วและแรงขึ้นเรื่อยๆ จนหญิงสาวกรีดร้องลั่น เรียกชื่อเขาไม่หยุด สองมือนั้นกอดยึดร่างใหญ่ไว้แน่น จากนั้นแอ่นกายขึ้นรับแรงที่ขยับโถมกระแทกกระทั้นอย่างเอาแต่ใจลงมา ถัดจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มก็ปล่อยลาวาสีขาวข้นออกมา โดยมีถุงยางอนามัยทำหน้าที่กักเก็บเอาไว้ไม่ให้เชื้อสายของประภากรได้ขยายเผ่าพันธุ์หากเขายังไม่ต้องการ
หลังจากนั้น ธาวิตก็นอนตะแคงหันไปอีกด้านในสภาพเปลือยท่อนบน มีผ้าห่มนวมคลุมไว้ต่ำกว่าเอวอย่างหมิ่นเหม่ ไม่ต่างจากคู่นอนคนสวยที่พยุงกายอันอ่อนล้าหลังจากผ่านศึกหนักไปเมื่อครู่ขึ้นมากอดแขนกำยำ ซบใบหน้าไปกับท่อนแขนแข็งแรงพลางออดอ้อนขอค้างด้วย แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ
“คุณกลับไปก่อนเถอะ ผมอยากอยู่คนเดียว” บอกเสียงแข็งโดยไม่ได้หันมามองเธอ “ส่วนค่าเหนื่อยของคุณ พรุ่งนี้ เลขาฯ ของผมจะจัดการให้ แต่ถ้ามันน้อยไป คุณอยากได้เพิ่มเท่าไรก็บอกคนของผมมาละกัน”
คำนั้นทำเอานางแบบสาวขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ จนเผลอหลุดบ่นออกมา “ใช่สิ พอเสร็จสมอารมณ์หมายแล้วก็...”
ธาวิตเริ่มจะรำคาญ เพราะเขากำลังมีเรื่องมากมายในหัว มือขวาจึงยกขึ้นปัดพร้อมกับเอ่ยน้ำเสียงแข็งกร้าว
“หรือตะกี้จะให้เอาฟรี...”
คนถูกไล่แหงนหน้าขึ้นมามองเต็มสองตา ไม่อยากเชื่อว่าจะถูกเขาไล่ลงจากเตียงแบบไร้ความปรานีแบบนี้ ทั้งที่เมื่อครู่นี้ ธาวิตกับเธอแนบสนิทกัน และเขาก็ร้อนแรงกับเธอมากด้วย แต่คนอย่างเขา ใครก็รู้ว่า ถ้าลองพูดว่าไม่แล้ว ก็อย่าไปเซ้าซี้
‘ไอ้คนบ้า เลือดเย็น ไม่มีหัวใจ’
“ก็ได้ค่ะ”
ชัชวีร์ปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ สมองกำลังครุ่นคิดถึงแผนธุรกิจที่จะนำเสนอในที่ประชุมพรุ่งนี้ ส่วนแม่สาว คู่ขารสแซ่บที่เขากินจนอิ่มท้องไปแล้วจะกลับออกไปตอนไหน เขาก็ไม่ได้สนใจอีก
แสงแดดอ่อนยามเช้าตรู่สะท้อนเงาร่างกำยำในชุดกางเกงวอร์มขายาวสีเทาเข้มกับเสื้อฮู้ดแขนกุดสีดำ เผยให้เห็นวงแขนล่ำของคนที่กำลังวิ่งออกกำลังกายในสวนสาธารณะเป็นประจำเหมือนทุกๆ วัน ท่ามกลางสายตาหวานหยาดเยิ้มของบรรดาสาวๆ เมืองผู้ดี ซึ่งต่างพากันส่งรอยยิ้มยั่วให้กับเขากันแทบทุกคน ธาวิตรู้ว่าตัวเองมีเสน่ห์และคุ้นชินกับการถูกมองเวลาวิ่งออกกำลังกายหรือเดินสวนกันจึงไม่ค่อยจะใส่ใจเท่าไร ยังคงวิ่งรักษาความเร็วอย่างสม่ำเสมอตามที่ตารางโปรแกรมการออกกำลังกายช่วงเช้าระบุไว้
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าพร้อมกับสัญญาณไฟกะพริบที่หูฟังบลูทูธทำให้ร่างสูงใหญ่เกือบร้อยแปดสิบเซนติเมตรต้องชะลอฝีเท้าลง
ธาวิตพลิกข้อมือข้างซ้ายขึ้นมาดู ก่อนจะมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นเบอร์โทรศัพท์ของลูกพี่ลูกน้องที่ไม่ได้สนิทกันมากโชว์อยู่บนหน้าปัดนาฬิกาสมาร์ตวอตช์แบรนด์ดัง และทันทีที่กดรับสายก็ทำให้คิ้วเข้มๆ ของเขาขมวดเข้าหากันแน่น
“สวัสดีครับพี่ชัช มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่าครับ” ธาวิตไถ่ถาม แม้จะรู้ว่าปลายสายนั้นมีอาชีพเป็นหมอ ซึ่งอาจจะต้องทำงานไม่เป็นเวลาบ้างในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่โดยปกติแล้ว ลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้จะไม่เคยโทร.ทางไกล หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนจริงๆ
“นายวิต นายฟังพี่ดีๆ นะ พี่มีข่าวสำคัญจะบอก”
‘ชัชวีร์’ ลูกชายคนโตของป้า ‘มารศรี’ คนขี้ประจบ และคุณ ‘ลุงธวัช’ พี่ชายคนเดียวของบิดาธาวิต เอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรนซึ่งผิดวิสัยศัลยแพทย์หนุ่มที่มีนิสัยสุขุมรอบคอบ
ชายหนุ่มฟังจากน้ำเสียงญาติหนุ่มก็เข้าใจ “คงไม่ใช่ข่าวดีใช่ไหมครับ” แล้วได้ยินเสียงทอดถอนหายใจดังแทรกมา
“พ่อกับแม่นายประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ คุณอาธนาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ส่วนคุณอาอรก็รักษาตัวอยู่ในไอซียู หากโชคร้ายอาจจะมีอาการอัมพาตครึ่งซีกชั่วคราว เพราะกระดูกสันหลังได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ยังไง นายรีบกลับมาให้เร็วที่สุดเลยนะ”
ชัชวีร์เงียบกริบไปครู่หนึ่งเพราะพูดอะไรไม่ออก แต่เขาผ่านเรื่องราวมากมายในชีวิตมาอย่างโชกโชนจึงคุมสติได้ แม้ภายในใจลึกๆ จะเหมือนคนทั่วไป ย่อมปวดแปลบเมื่อรู้ว่าบุพการีของตนจากโลกนี้ไปโดยที่ไม่มีโอกาสได้ล่ำลา
“ครับพี่ ผมจะรีบเดินทางกลับไปให้เร็วที่สุดครับ”
ชายหนุ่มตอบรับเสียงเรียบ มือหนากำเข้าหากันแน่น ดวงตาคมเข้มเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวราวกับแค้นเคืองใครบางคน
ประเทศไทย กรุงเทพฯ
ตลอดระยะเวลาที่ธาวิตบริหารงานอยู่ที่สาขาในอังกฤษ นอกจากจะแก้ปัญหาทุกอย่างให้เป็นระบบระเบียบเรียบร้อยแล้ว เขายังสร้างเครือข่ายทางธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนมากขึ้นกว่าเดิมอีกถึงสองเท่าตัว สร้างความภาคภูมิใจให้กับบิดาและบอร์ดบริหารของบริษัทแม่ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเป็นอย่างมาก แต่ทว่า ทิฐิของสองพ่อลูกที่ไม่ยอมลงให้กันมาแต่ไหนแต่ไร ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด และใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอังกฤษมาเรื่อยๆ โดยไม่ยอมกลับมาเมืองไทยอีกเลย
จนกระทั่งเวลานี้ที่ได้รับข่าวร้าย และต้องกลับมาพร้อมกับหน้าที่ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ในการเข้ารับตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก รวมไปถึงกิจการโทรคมนาคมและการสื่อสารที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุดในประเทศไทยแทน ‘ธนา ประภากร’ บิดาของเขาที่เป็นนักธุรกิจแถวหน้าของเมืองไทยที่เสียชีวิตไปอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์
และอีกทั้งต้องดูแลธุรกิจโรงพยาบาลเอกชลชื่อดังที่มีหลายสาขา ซึ่งคุณ ‘อรสา ประภากร’ มารดาของเขานั้นเป็นหุ้นส่วนใหญ่ รวมถึงธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตซึ่งเป็นธุรกิจหลักทางฝั่งของท่าน
อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้ท่านเกิดเป็นอัมพาตครึ่งซีก ชายหนุ่มไปเยี่ยมท่านสองสามครั้งด้วยความรู้สึกเจ็บปวด อยากจะเป็นคนโชคร้ายแทนมารดาหากทำได้ แต่ด้วยบิดามีชื่อเสียงในแวดวงสังคม ธาวิตจึงวุ่นกับการจัดการงานศพ และหลังจากเสร็จเรื่องงานศพแล้ว เขาจะต้องวางแผนเรื่องการเลี้ยงดูมารดารวมถึงสภาพจิตใจของท่านด้วย