หลังคุยกับปิติรู้เรื่องคีรีก็รีบไปคุยกับแม่เรื่องแต่งงานทันที แม้ว่าแม่ของเขาจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก แต่ก็ขัดอะไรไม่ได้ เพราะทุกอย่างล้วนเป็นเงินของลูกชายจัดการเองทั้งสิ้น
"แล้วจะแต่งเมื่อไหร่ ดูฤกษ์ดูยามก่อนดีไหม แม่เองก็ยังไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาเลย พ่อแม่เขาก็ยังไม่เคยเจอเราด้วย ถึงจะบอกว่าคุยกันมานาน แต่ก็เพิ่งเจอกันจริง ๆ ไม่ใช่หรือไง" ที่แขแม่ของคีรีพูดแบบนี้ ไม่ใข่ว่าเพราะรังเกียจ หรือไม่พอใจที่ลูกชายจะแต่งเมีย แต่เป็นใครก็คงจะพูดเหมือนกัน คนเพิ่งเคยเจอกันครั้งเดียว เป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้แน่ชัด อย่างน้อยก็น่าจะรู้จักนิสัยใจคอกันให้มากกว่านี้ก่อน เรื่องผู้หญิงไม่เคยได้ยินลูกชายมาพูดถึงสักที ก็พอเข้าใจได้ว่าคนนี้คงจะถูกใจมากจริง ๆ
"ผมเคยขอเขาไว้นานแล้ว แล้วก็ไม่ได้ไปคุยให้เป็นเรื่องเป็นราว จนเขาคิดว่าผมไปหลอกเขาแล้ว" คีรีดูท่าจะไม่ยอมง่าย ๆ เขารักแม่นางงามคนนี้จริง แบบหวังแต่งเสียด้วย
"แล้วที่บ้านเขาล่ะ ยังไงก็น่าจะให้ผู้ใหญ่ไปคุยกันก่อน จะมาแต่งกันเองข้ามหัวผู้ใหญ่ มันไม่ได้หรอกนะลูก น้องเขาก็ลูกมีพ่อมีแม่" แขรัศมีพยายามเกลี้ยกล่อมลูกชาย ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจอะไรฝ่ายหญิงหรอก แต่ตัวเธอนั้นก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว หากมีลูกสาวแล้วฝ่ายชายไม่มาขอให้เป็นเรื่องเป็นราว ก็รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมเท่าไรนัก
"ก็ผมต้องมาคุยกับแม่ก่อน แล้วถ้าได้เรื่องอะไรยังไง ก็จะได้ไปคุยกับน้องเขา ไปปรับความเข้าใจกัน ผมไม่อยากให้มันเหมือนคราวก่อน ที่ผมไปพูดไว้ แล้วก็หายเงียบ" คีรียังคงฝังใจเจ็บเรื่องที่ดวงยิหวาตัดขาดจากเขาไปเมื่อครั้งก่อน คราวนี้อุตส่าห์ได้กลับมาเจอกันทั้งที แถมยังได้เจอตัวจริงของเธอด้วย ก็ยิ่งทำให้เขาตั้งมั่นที่จะเอาเธอมาเป็นเมียให้ได้
"แม่น่ะยังไงก็ได้ อยากมีสะใภ้ อยากได้หลานอยู่เหมือนกัน ลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาได้ แม่ก็สบายใจ แต่แม่ก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเลย จะไม่แนะนำให้แม่หน่อยหรือ"
"สวยปานนางฟ้า นางสวรรค์เลยจ่ะแม่" ลูกชายพูดอย่างภาคภูมิใจ ถ้าเกิดได้แต่งกันจริงๆ เขาจะจัดงานให้ยิ่งใหญ่ ให้คนรู้กันทั่วทั้งจังหวัดเลยทีเดียว คนทั้งยะลาจะต้องเลือกันไปให้ทั่ว ว่าไอ้คีรีมันได้เมียสวย เป็นถึงนางงามเชียว
"พูดเกินไปหรือเปล่า" คนเป็นแม่แกล้งแซวลูกชาย ที่ออกตัวอวดคนรักอย่างออกนอกหน้า
"ระดับนางสาวเบตงเลยนะแม่"
"จริงเหรอ คนที่ได้ที่หนึ่งปีนี้เหรอ?" แม้ว่าจะไม่ได้ไปดูการประกวด แต่คนก็พูดถึงดวงยิหวากันใหญ่โต ว่าสวยอย่างกับดารา สวยอย่างกับนางฟ้า นางสวรรค์อย่างที่คีรีพูดไม่มีผิด
"ใช่จ้ะแม่"
"โอ๊ย ใครก็ลือว่าสวย แม่อยากจะเห็นตัวจริงแล้วสิ" พอรู้แบบนั้นคนเป็นแม่ก็พลอยตื่นเต้นไปด้วยอีกคน หากจริงอย่างที่ใครๆ ว่า เธอเองก็คงจะอวดไปทั่วว่าได้ลูกสะใภ้สวย เป็นถึงนางสาวเบตง
"เอาไว้ถ้าผมคุยง้อน้องเขาสำเร็จแล้วจะรีบพามาเจอแม่นะ" พอเห็นแม่พูดแบบนั้น คีรีก็ใจชื้นขึ้นมาทันที คืนนั้นคีรีกระวนกระวายจนนอนแทบไม่หลับ ใจอยากจะให้เวลาเช้าเวียนมาเร็ว ๆ ตั้งใจจะรีบขับรถไปหาดวงยิหวาที่โรงแรมแต่เช้า แต่คิดไปคิดมาก็กลัวอีกฝ่ายจะยังไม่ตื่น 'นอนแปลกที่ จะนอนหลับสบายดีไหมนะ' เขาพลันคิดเป็นกังวลขึ้นมา กว่ายามราตรีจะผ่านพ้นไป คีรีก็นอนตื่นเต้นจนฟ้าใกล้สาง
คีรีรีบอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้า แล้วตรงไปในเมืองเพื่อหาซื้อของกินในตลาดเช้า เตรียมเอาไปให้ทันมือเช้าของดวงยิหวา เขากะเวลาพอเหมาะก่อนจะโทรหาปิติเพื่อบอกเรื่องขอเลี้ยงอาหารเช้า ซึ่งทางปิตินั้นก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
"เดี๋ยวรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วคุณคีรีจะขึ้นมาที่นี่" ปิติเดินเข้าไปเปิดม่าน และไฟในห้องของดวงยิหวา ก่อนจะออกคำสั่ง ร่างบางในชุดนอนงัวเงียลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างไม่สบอารมณ์ วันว่างแต่กลับต้องมาตื่นเช้า เพราะใครบางคยอีกแล้ว
"เขาจะมาทำไม" เสียงหวานเอ่ยถามอย่างไม่พอใจนัก
"เอาอาหารเช้ามาเสิร์ฟให้แกไง ไปอาบน้ำแต่งตัว ไม่ต้องหนัก แต่ก็ให้มันดูสดใสมีชีวิตชีวาหน่อย"
'ยิหวาไม่กินได้ไหม ไม่หิว"
"ไม่ได้!! ไป อาบ น้ำ!! เดี๋ยวนี้!!" ถึงจะอยากนอนต่อแค่ไหน แต่พอสิ้นคำสั่งของเจ๊ปลี ดวงยิหวาก็แบกสังขารลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปที่ห้องน้ำ ก่อนขะออกมาแต่งตัวสบาย ๆ ตามคำสั่ง พอออกจากห้องตัวเองมาที่ห้องของปิติก็เจอคีรีนั่งยิ้มหน้าระรื่นคุยอยู่กับเจผีปลีอย่างสนุกสนาน
"ตื่นเช้าจังเลยนะครับ" พอเห็นว่าดวงยิหวาเดินเข้ามา คีรีจึงได้เอ่ยทัก 'ยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกหรือไง ที่ต้องมาตื่นแต่เช้าก็เพราะใครกัน!!' ดวงยิหวาคิดในใจก่อนจะฝืนยิ้มให้กับคนกล่าวทัก แล้วเดินอ้อมไปนั่งอีกฝั่งของโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารมื้อเช้า ที่คีรีไปหาซื้อมาวางเรียงไว้จนเต็มไปหมด
"พอดีไม่รู้ว่ายิหวาชอบอะไร ก็เลยเลือกซื้อของที่ขึ้นชื่อในตลาดมาหมดเลย" คีรีพยายามจะพูดกับดวงยิหวา แต่อีกฝ่ายก็ทำเพียงยิ้มแห้ง ๆ ตอบ แต่ไม่ได้พูดโต้ตอบอะไร ปิติมองดูสีหน้าของคนพูดสลับไปมองนางงามของตัวเองแล้วก็ต้องส่งซิกบอก ดวงยิหวาให้กล่าวขอบคุณน้ำใจของนายหัวเศรษฐีหนุ่มที่มาตามขายขนมจีบให้ตั้งแต่เช้า
"ขอบคุณนะคะ" ปากบางกล่าวเพียงสั้น ๆ แต่นั่นก็ช่วยชโลมหัวใจคีรีให้ดีขึ้นมาก เพราะท่าทางรังเกียจที่ดวงยิหวาเคยแสดงต่อเขาเริ่มเบาบางลงมากแล้ว
"มาแต่เช้าเลย มีธุระแถวนี้เหรอคะ" ชวนชมที่อยากจะมีส่วนร่วมในการสนทนาเอ่ยถามกับหนุ่มเจ้าถิ่น คนถูกถามพลันอึกอัก ' นั่นสินะ...เราก็มาแต่เช้าจริง ๆ ซะด้วย' เขาคิดในใจ
"อ๋อ พอดีว่ามีธุระแถวนี้ ก็เลยแวะ...เอาของมาฝากด้วย" พอเห็นสีหน้าของคนตอบปิติก็รีบค้อนเพื่อตำหนิชวนชมที่พูดแบบนั้น คนถูกดุทางสายตาพลันหันหน้าหลบทันทึ
"ยังไงก็ต้องขอบคุณ คุณคีรีมากนะคะ" ปิติกล่าวอีกครั้ง
"แล้วนี่ผมมารบกวนทุกคนหรือเปล่า" พอถูกชวนชมเอ่ยถามแบบนั้นเข้า คีรีก็เกิดเสียความมั่นใจขึ้นมา เขามัวแต่คิดอยากจะมาเจอดวงยิหวา จนไม่ได้คิดเลยว่าการมาของเขาอาจจะรบกวนเวลาพักผ่อนของเธอก็ได้
"ไม่เลยค่ะ ไม่เลย ชวนชมมันขี้เกียจ พอโดนปลุกแต่เช้าก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ อย่าไปสนใจเลย" ปิติรีบแก้ตัว
"อ๋อครับ"
"แล้วธุระของคุณคีรีเสร็จแล้วเหรอคะ?" คราวนี้เป็นดวงยิหวาที่เอ่ยถามขึ้นบ้าง ก็ในเมื่อเขาบอกว่ามาทำธุระ แล้วไหนล่ะธุระที่บอก คนถูกถามอึกอักพูดอะไรไม่ถูก นั่นสินะไหนล่ะธุระที่ว่า แต่ถ้าจะให้พูดตรง ๆ จริง ๆ แล้วธุระของเขาก็คือการมาคุยเรื่องแต่งงานกับดวงยิหวา
"แวะไปทำมาก่อนแล้วน่ะครับ เสร็จแล้วก็มาที่นี่เลย" เขาตัดสินใจแก้ตัวไปอย่างนั้น
"แล้วนี่ทานอะไรมาหรือยังคะ จะทานด้วยกันเลยไหม" ปิติเอ่ยถาม
"ถ้าไม่รังเกียจก็ได้นะครับ"
"จะรังเกียจได้ยังไงล่ะคะ ของนี่ก็คุณซื้อมาทั้งนั้นเลย" ปิติว่าขึ้น
"เอ่อ...แล้วผมก็มีอีกเรื่องอยากจะมาคุยกับดวงยิหวาด้วยนะครับ..." ในที่สุดคีรีก็กล้าพูดออกมา
"คะ?"
"อยากจะมาคุยเรื่องแต่งงานน่ะครับ" ช้อนในมือของหญิงสาวพลันหล่นลงในจานทันที นี่เขาจะเอาจริง ๆ ใช่ไหมไอ้เรื่องที่จะทาบทามเธอไปแต่งงานแก้เคล็ดอะไรนั่น