อัญชัญหรี่ตามอง มันจะง่ายอะไรขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อเลย เธอนำเสื้อผ้ามาให้น้ำขิงซัก อีกฝ่ายก็ทำอย่างว่าง่าย... แต่เดี๋ยวก่อนนะ
“ซักมือสิ ซักเครื่องทำไม”
“ซักไปแล้วค่ะ”
“แล้วไป ซักแล้วไปทำความสะอาดบ้านด้วยนะ”
“ค่ะ” น้ำขิงรับคำ อัญชัญหรี่ตามองอีก วันนี้ยายน้ำขิงมาแปลก แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย รู้สึกง่วงก็เลยไปงีบ กำชับให้น้ำขิงทำงานบ้านให้เสร็จ
อัญชัญนอนหลับไปได้พักใหญ่ พอตื่นขึ้นมาเธอก็ไม่เห็นน้ำขิงอยู่ในบ้านอีก ถามสาวใช้ก็ไม่มีใครเห็น
“ผ้าก็ยังไม่ได้ตาก นังน้ำขิงนี่ยังไงนะ”
“พี่แก้วคะ รบกวนตากผ้าให้ด้วยค่ะ แล้วนี่นังน้ำขิงมันไปไหเสียแล้วล่ะคะ” เธอเอ่ยถามสาวใช้คนสนิท
“ไม่เห็นเหมือนกันค่ะคุณหนู” แก้วตอบแล้วจัดการเปิดฝาเครื่องซักผ้า พอดึงผ้าออกมาจากเครื่องซักผ้าเท่านั้นแหละ ก็ต้องอุทานเสียงดัง
“ว้าย! ตายแล้ว”
“มีอะไรคะพี่แก้ว ห้ะ!” อัญชัญอุทานตาโตกับเสื้อผ้าที่ดึงออกมาจากเครื่องซัก...
“ทำไมถึงขาดแบบนี้คะคุณหนู”
“นังน้ำขิงต้องแกล้งแน่ๆ เลย แล้วนี่นังนั่นมันไปไหนของมันนะ”
“ไม่ทราบค่ะ พี่ไม่เห็นเลย ไว้ใจไม่ได้เลยผู้หญิงคนนี้ ดูสิคะ เสื้อผ้าดีๆ ราคาแพงขาดหมดเลย” แก้วพูดแล้วถอนใจเฮือกใหญ่
“หรือจะไปหาเฮียแดน ไม่ได้การละ” อัญชัญออกจากบ้านอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าไร่ แล้วก็เป็นจริงดังคาด น้ำขิงอยู่กับแดนตะวันจริงๆ ด้วย
“เฮีย!”
“อัญ... เฮียอยู่ใกล้แค่นี้เรียกเสียงดังทำไม แสบแก้วหู”
“นังน้ำขิงมันแกล้งอัญ”
“แกล้งอะไร”
“มันเอาอะไรใส่ลงไปในเครื่องซักผ้าก็ไม่รู้ เสื้อผ้าขาดหมดเลย”
“จริงเหรอน้ำขิง” แดนตะวันหันไปถาม ถึงเขาจะเจ้าชู้ไปบ้างก็ตามประสาผู้ชาย แต่การที่อัญชัญโดนแกล้งเขาก็ไม่ชอบใจนักหรอก ที่สำคัญอัญชัญเป็นคนไม่ยอมอะไรง่ายๆ ถ้าเขาไม่จัดการคงต้องปวดหัวไม่หยุดหย่อน
“เอ่อ... คือว่าน้ำขิง” น้ำขิงอึกอักอ้ำอึ้ง ไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงดุๆ ของ แดนตะวัน ปกติเขาก็หลงใหลคลั่งไคล้เธอจะตายไป
“เห็นไหมคะเฮีย นังนี่มันแกล้ง ไม่งั้นไม่ทำท่าแบบนี้หรอก”
“น้ำขิงขอโทษค่ะ คุณอัญพูดจาโขกสับ ใช้งานน้ำขิงหนักนี่คะ”
“อย่าสตอนังน้ำขิง ฉันให้เธอซักผ้าและทำความสะอาดบ้าน ซักผ้าก็ใช้เครื่องซักผ้า หนักหนาอะไรย่ะ” อัญชัญไม่ใช่เด็กสนิมสร้อย เธอรู้ทันมารยาร้อยเล่มเกวียนของผู้หญิงที่อ่อยแดนตะวันดี อีกฝ่ายพูดอะไรมา เธอก็โต้ตอบทันควันแบบไม่กลัวใคร
“แต่คนหน้าไหว้หลังหลอกแบบเธอนี่คงไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ หรอกนะ ฉันอัดเสียงคุยของเราเอาไว้ทั้งหมดด้วย อยากฟังไหมล่ะ” ลับหลังน้ำขิงเป็นยังไง แดนตะวันจะต้องได้รู้วันนี้ หลังจบประโยคเธอก็เปิดเสียงที่บันทึกเอาไว้ในโทรศัพท์ให้แดนตะวันได้ฟัง น้ำขิงหน้าเสียก่อนจะหน้าซีดเหลือสองนิ้ว ไม่คิดว่าอัญชัญจะทำแบบนี้
“เสื้อผ้าอัญชัญเท่าไหร่เธอต้องชดใช้” แดนตะวันตัดสิน ผู้หญิงทอดสะพานให้เขาก็พร้อมเดินข้าม แต่ถ้าไม่รู้จักอยู่ให้เป็นทำร้ายผู้หญิงของเขา เขาไม่ยอมแน่ๆ
“ถ้าให้ดีไล่มันออกไปจากบ้านด้วยเฮีย ไม่งั้นอัญไม่ยอม”
“คุณแดนอย่าไล่น้ำขิงเลยนะคะ น้ำขิงไม่มีที่ไปแล้ว ที่บ้านก็กำลังลำบาก” เธอลงทุนคุกเข่าอ้อนวอน ร้องไห้น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม
“งั้นทำงานใช้หนี้ดีๆ อย่าให้อัญชัญต้องโมโหอีก” แดนตะวันพูดเสียงเข้ม ถึงเขาจะมีผู้หญิงล้อมหน้าล้อมหลังมากมายแต่ไม่มีใครสำคัญเท่าอัญชัญ
“ค่ะ ๆ ๆ น้ำขิงจะไม่ทำอะไรให้รำคาญใจอีกแล้ว”
“เฮีย! ทำไมไม่ไล่มันไปล่ะ”
“สงสารเขาน่ะ ให้เขาทำงานใช้หนี้ก่อน ที่ร้านแล้วกัน” เขาหมายถึงสถานบันเทิงที่เปิดอยู่นั่นเอง
“เฮียน่ะ” อัญชัญทำเสียงงอนๆ ในขณะที่แดนตะวันกุมไหล่เล็กให้เดินตามมาเงียบๆ
“จะเปิดเทอมอยู่แล้ว อ่านหนังสือหนังหาบ้างนะ เรื่องน้ำขิงเฮียจะจัดการเอง ปล่อยไปได้ไง หนี้สินยังไม่ใช้ ถ้าปล่อยไปขาดทุนย่อยยับเลยนะ”
“ก็ได้ค่ะ ห้ามเฮียไปยุ่งกับนังจิ้งจอกเก้าหางอีก” เธอรับปากอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ทำหน้างอใส่แต่ยอมรับการตัดสินใจของเขา
“เป็นเด็กเป็นเล็กควรตั้งใจเรียน”
“อัญไม่อยากไปเรียน อยากอยู่กับเฮีย”
“เหลวไหล” เขาทำเสียงดุ
“แต่งงานกันนะ”
“เรียนให้จบก่อน”
“ถ้าเรียนจบจะยอมแต่งเหรอ” เธอถามตาวาวๆ
“อยากมีผัวว่างั้น”
“อยากมีผัวเป็นเฮีย”
“ยางอายมีบ้างไหม”
“ไม่ค่อยมี” แดนตะวันถึงกับโครงศีรษะไปมากับเด็กสาวตรงหน้า
“เรียนจบแล้วค่อยว่ากัน”
“ถ้าไม่รับปากจะไม่ไปเรียน” เธอดื้อดึง
“ไม่เรียนก็โง่สิ ยายเด็กบ๊องเอ๊ย”
“เรียนแล้วต้องไปอยู่ในเมือง เดี๋ยวเฮียมีบ้านเล็กบ้านน้อย”
“มีบ้านเล็กบ้านน้อยหมายถึงคนที่มีเมียแล้ว เฮียยังไม่มีเมีย” บางทีเขาก็ขำความคิดเธอ
“รับปากมาก่อน”
“ยังไงเฮียก็ต้องแต่งงานกับเรา” แดนตะวันโยกศีรษะเด็กสาวไปมาด้วยความเอ็นดู
“เฮียตอบตกลงมาก่อนว่าจะแต่ง”
“เรียนให้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เขาเดินหนี อัญชัญเดินตามไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
“รับปากมาก่อน”
“ครับ” แดนตะวันรับคำอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“รับปากแบบนี้ไม่เอา”
“รับปากแล้วยังจะเอาอะไรอีก”
“รับปากหวานๆ ครับ พี่จะแต่งงานอะไรเทือกนั้น”
“มากไปแล้ว” เขาดีดหน้าผากยายตัวแสบ
“ไม่เป็นไร ถือว่าเฮียรับปากแล้ว” เธอกระโดดขึ้นรถเหมือนลูกลิง พอแดนตะวันเห็นว่าสาวน้อยที่ตามมาขึ้นมานั่งเรียบร้อยแล้ว จึงขับรถออกไปทันที
“เฮียจะไปไหน”
“ไปตลาดหน่อย”
“ทำกับข้าวให้กินด้วย”
“เรื่อง?” เขาโต้กลับ เธอไม่ได้หน้างอ แต่อมยิ้ม อะไรที่เขาปฏิเสธ เธอจะยิ่งอยากให้เขาทำ
“อยากกินไก่อบฟาง แล้วก็เหล้าเถื่อนล็อตใหม่ที่เฮียทำด้วย” เธอพูดลอยๆ ตั้งใจให้เขาได้ยิน
“เซี้ยวนะเรา”
“สูตรใหม่ของเฮียหอมหวาน ไม่เมาด้วย”
“พูดไปอีกเรื่อง เห็นกินทีไรเมาทุกที” ไม่เมาของเธอคลานเหมือนหมา ถ้าเขาไม่อุ้มกลับบ้านคือได้นอนกับหมาข้างถนน
“ถ้าอัญกินไม่เป็นจะผลิตขายได้ไง เจ้าของต้องกินเป็นด้วย กินนิดเดียวไม่เมาหรอกค่ะ”
“ไม่เมากับผีสิอัญ เฮียต้องแบกเธอเข้าห้องนอนทุกที”
“เหรอคะ” คนหน้ามึนอมยิ้ม
“เหอะ!” เขาทำเสียงในลำคอ เห็นยายตัวแสบมองวิวนอกรถอย่างสบายใจหลังจากพูดกวนอารมณ์เขาสำเร็จ
“เฮีย...”
“อือ”
“กับสาวๆ ครับ กับอัญนี่อือ ๆ ๆ นะ”
“มีอะไร” น้ำเสียงของแดนตะวันรำคาญนิดๆ
“ตอนอัญไปเรียน เฮียห้ามมีใครแบบที่คิดจะจริงจังนะ แต่เล่นๆ ได้ อัญไม่ว่า ถือว่าเวทนาน้องชายของเฮีย” เขาทำหน้าไม่ถูกเมื่อได้ยินท้ายประโยค น้องชายของเขาก็คือไอ้เจ้าโลกน้อยของเขานั่นเอง
“มาอารมณ์ไหน ถึงได้ใจดี ปกติห้ามเฮียตลอด”
“สงสารเฮีย ไม่ได้ใช้งานเดี๋ยวตายด้าน” เธอพูดย้ำ หัวเราะคิกๆ
“เหอะ!” แดนตะวันส่ายหน้าไปมา เขาเองก็ไม่เคยคิดจริงจังกับผู้หญิงคนไหนเช่นกัน เพราะบิดามารดาสั่งเสียเอาไว้ว่าให้แต่งงานกับอัญชัญคนเดียว รวมถึงได้ฝากฝังอัญชัญเอาไว้กับเขาด้วย เขาเป็นคนรักษาคำพูด พูดคำไหนคำนั้น อีกอย่างหนึ่งลึกๆ แล้วเขาก็รักและเอ็นดูอัญชัญมากๆ แค่ไม่ได้แสดงออกให้เธอได้ใจเท่านั้นเอง
“ถึงตลาดแล้ว ขอไก่อบตัวใหญ่ๆ นะเฮีย เนื้อแน่นๆ หอมๆ นุ่มๆ อัญอยากกิน น้ำลายสอไปหมดแล้ว” อัญชัญกระโดดลงไปจากรถ เธอเดินถอยหลังก่อนจะไปชนเข้ากับร่างสูงของใครคนหนึ่ง
“ยายเด็กตะกละเอ๊ย” แดนตะวันถึงกับส่ายหน้าไปมา
“เดินให้ดีหน่อยสิจ๊ะ อ้อ... น้องอัญนั่นเอง” เสียงยียวนกวนประสาทของธันวาดังขึ้น ในขณะที่อัญชัญดิ้นหนีออกมาจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย
แดนตะวันดึงร่างของคู่หมั้นตัวน้อยมาโอบเอาไว้อย่างปกป้อง ธันวามองท่าทีนั้นก่อนจะลูบปากไปมาด้วยท่าทียียวนกวนประสาท
“ทีหลังสั่งสอนให้หัดเดินดูตาม้าตาเรือบ้างนะไอ้แดน อ้อ... แต่คนอย่างมึงจะสั่งสอนอะไรใครได้วะ” เจอหน้ากันแล้วหาเรื่องเป็นเรื่องปกติของธันวา