“มากินข้าวเร็วลูก เดี๋ยวไปทำงานไม่ทัน”
ในมือก็ถือชามข้าวต้มมาวางไว้ให้ กับน้ำพร้อมสรรพ หทัยชนกไม่อยากให้แม่ต้องเหนื่อยลุกขึ้นมาเตรียมอะไรให้เลยสักนิด เพราะสุขภาพแม่ก็ย่ำแย่อยู่แล้ว แต่เคยห้ามปรามหลายครั้งผู้แม่ก็ไม่ฟัง จึงต้องยอมตามใจอย่างเสียไม่ได้
“แล้วแม่ไม่กินพร้อมอ๋อเลยเหรอจ๊ะ”
ลูกสาวฉีกซองเครื่องปรุงเทใส่ชาม ตามด้วยพริกไทยป่นของชอบ
“ยังหรอก แม่รอลุงอุ้ยกับป้านิ่งก่อน อ๋อรีบกินเถอะ เดี๋ยวจะสาย”
ข้ามต้มเกือบจะหมดชาม วีนาก็เดินสะพายกระเป๋ามายืนรออยู่ประตูรถ เพราะไปทำงานด้วยกันทุกวัน หรือไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกันจนใครๆ มักจะตั้งฉายาว่าคู่ขาปลาท่องโก๋
กล่องพลาสติกชนิดทนความร้อนสูง ที่อิงอรจัดข้าวต้มไว้ให้หลานถูกตักเข้าปาก ระหว่างนั่งเป็นคุณนายไปตามถนนอย่างสุขอารมณ์
“พรุ่งนี้จะได้หยุดงานแล้ว เย้!! ดีใจจังเลย”
ทุกวันศุกร์วีนามักจะกระฉับกระเฉงขึ้นมาทันที เพราะจะได้หยุดงานพักผ่อนนอนแช่อยู่บ้าน หรือไปเดินเที่ยวห้างให้สบายใจ หรือบางทีถ้าหทัย-ชนกฟรุ๊ค ได้ไปเดินแบบต่างจังหวัด ก็พลอยได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย
บางครั้งโตโยวีออสคันจิ๋ว ก็จะบรรทุกสองครอบครัวไปด้วยกัน เป็นที่เพลิดเพลินเจริญใจกันถ้วนหน้า แต่ก็มีน้อยครั้งเต็มทีที่จะได้งานแบบนั้น
เพราะหทัยชนกมีข้อจำกัดคือ ต้องทำงานประจำ จะรับเดินแบบก็แค่เป็นช่วงเลิกงานหรือวันหยุดเท่านั้น ครั้นจะลาออกจากงานมารอรับเดินแบบอย่างเดียว ก็ไม่มีความมั่นคงเอาเสียเลย จึงจำเป็นต้องเลือกงานประจำที่ได้เงินชัวร์ๆ ไว้ก่อน
ด้วยทุกบาททุกสตางค์ที่ต้องจับจ่ายใช้สอยในบ้าน ล้วนแล้วจะต้องมาจากน้ำพักน้ำแรงของเธอเท่านั้น
แม่อยากทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ วางขายหน้าบ้านบ้าง แต่ก็ถูกเธอห้ามไว้ทุกครั้ง เพราะจะต้องลำบากลุกแต่เช้าไปตลาดหาซื้อของมาตระเตรียมไว้ขายอยู่ดี
แถมพอขายเสร็จก็ต้องมาลำบากนั่งล้างเก็บอีก ขายไม่หมดก็ขาดทุน เมื่อเหตุผลของลูกมีน้ำหนักมากกว่า อิงอรจึงล้มเลิกความคิดเหล่านี้ไปในที่สุด
วีออสจอดเทียบข้างรั้วหน้าบ้าน เมื่อสองสาวกลับจากทำงานในเย็นวันนั้น รถเบนซ์คันใหญ่ใหม่เอี่ยมอ่อง จอดขวางประตูบ้านไว้ ประหนึ่งเป็นเจ้าของก็ไม่ปาน
หทัยชนกขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย ขณะก้าวออกจากที่นั่งคนขับ วีนาเองก็มีอาการไม่แพ้กัน เพราะไม่คุ้นตากับพาหนะตรงหน้าเอาเสียเลย หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เจ้าคันโตราคาหลายล้านบาทอย่างนี้ แทบไม่เคยเลี้ยวเข้ามาในซอยเล็กๆ ด้วยซ้ำ
“อ๋อ! มาแล้วเหรอลูก”
อิงอรหน้ามีอาการเศร้าหงอยกว่าทุกวัน ขณะนั่งอยู่ระเบียงไม้เล็กๆ หน้าบ้าน ถัดไปก็มีหญิงวัยกลางคนหน้าตาสะสวย แต่งกายภูมิฐาน ฝั่งตรงข้าม มีชายสูงวัยคะเนอายุไม่น่าจะต่ำกว่าหกสิบกับแว่นตาหนาเตอะ
ทั้งสองหันมาหาเธอแทบจะพร้อมกัน อิงอรลุกไปจูงแขนลูกเดินออกประตูบ้านตรงไปยังบ้านพี่ชาย ด้วยท่าทีเร่งรีบและร้อนอกร้อนใจ
“มีอะไรจ๊ะแม่ แล้วสองคนนั้นเป็นใครมาทำอะไรที่บ้านเราจ๊ะ”
“นั่นสิจ๊ะน้าอิง อี๋ไม่เคยเห็นเลย”
วีนาเดินตามมาไม่ห่างก็สงสัยไม่แพ้กัน อิงอรตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าเรื่องการจากไปอย่างกระทันหัน ของสงครามให้ลูกฟังด้วยความสลดหดหูใจ เมื่อได้รู้ข่าวผู้ชายที่ตัวเองรักอย่างมั่นคงไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้เขาจะทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดี แต่นั่นก็เพราะความเข้าใจผิดเท่านั้น
เมื่อแรกที่ก้าวออกจากบ้าน เขาก็อาจจะมีแค้นเคืองอยู่บ้าง แต่พอเวลาที่อยู่ห่างกันนานถึงยี่สิบปี สิ่งค้างคาในใจอิงอรก็ถูกลบเลือนไปจนเกือบจะหมดสิ้นแล้ว
“คุณพ่อ!”
หทัยชนกอุทานด้วยความตกใจ แม้จะเสียใจอยู่มาก แต่ก็ไม่ถึงกับร้องไห้ฟูมฟายหรือเศร้าสลดมากเท่าแม่ ด้วยเพราะมีความผูกพันต่อกันน้อยนิดเต็มที และก็จากอกผู้พ่อมาตั้งแต่อายุยังน้อย
บวกกับความขุ่นเคืองในตัวผู้พ่อที่หูเบาเชื่อคนง่ายก็ยังมีอยู่ในความคิดล้นเปี่ยม ประสบการณ์ในการใช้ชีวิตเพียงไม่กี่ปี ทำให้หญิงสาวยังแยกแยะไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร หรือใครเป็นใคร
“พอคุณพ่อเสียไป งานที่บริษัทก็ไม่มีใครจะสานต่อ คุณปู่เลยทำพินัยกรรมเอาไว้ ว่าจะยกให้อ๋อครึ่งหนึ่ง ให้คุณย่าครึ่งหนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่าอ๋อจะต้องไปช่วยงานก่อนสามปี ถ้าตกลงแม่จะได้ไปบอกคุณสาลินีกับทนาย”
และยิ่งได้รู้เรื่องการมาเยือนของคนทั้งสองที่นั่งรออยู่อีกบ้าน ก็ยิ่งไม่อยากจะไปเสวนาพาทีด้วยเลย โดยเฉพาะสาลินีที่หญิงสาวเกลียดเข้าไส้และฝังอกฝังใจมาตั้งแต่เด็กๆ ในความร้ายกาจ
ซึ่งแอบแฝงอยู่บนใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท่าทีอันเต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาปรานีให้ผู้คนรอบข้าง แต่พอลับหลังภาพของนางมารก็ปรากฏให้ได้เห็น ผ่านคำพูดสีหน้าท่าทางจงเกลียดจงชังเธอกับแม่อย่างที่สุด
“แล้วถ้าอ๋อไม่ตกลงล่ะแม่”
“คุณปู่ระบุไว้ในพินัยกรรม ว่าจะยกทุกอย่างให้มูลนิธิเด็กกำพร้าหมดเลย รวมทั้งบ้านนั้นด้วย”
“ทำไมคุณปู่ถึงต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะแม่ ในเมื่อท่านก็ยังไม่ถึงกับจะ เอ่อ...”
“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คุณปู่ป่วยเป็นมะเร็งนะอ๋อ คงมีเหตุผลของท่านล่ะมั้งแม่ว่า แล้วอ๋อล่ะจะเอายังไง”
ผู้เป็นลูกสาวไม่ตอบ เอาแต่ยืนนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะยิ้มน้อยๆ ออกมา แล้วเดินกลับเข้าบ้าน ที่มีแขกนั่งรออยู่อย่างกระวนกระวายใจ
“ถ้าไม่เพราะพินัยกรรม พวกคุณก็คงไม่คิดจะมาตามหาฉันกับแม่เลยสินะ”
น้ำเสียงอันแข็งกระด้าง พร้อมใบหน้าเมินเฉยต่อคนทั้งสองจึงเกิดขึ้นกับหญิงสาว สาลินีพยายามปั้นหน้ายิ้มให้อย่างใจเย็น ส่วนสุจินต์ผู้เป็นทนายประจำตระกูลบวรชัยสกุล กลับนั่งมองนิ่งๆ ไม่แสดงท่าทีดีใจหรือเสียใจออกมาให้เห็น