บทที่ 14 เพื่อลูกชายของเพื่อนรัก
เขาตกใจกับความคิดของแม่บ้านมากที่ยอมใจอ่อนง่าย ๆ “ทำไมต้องให้อีเข้ามาอยู่ในบ้านผมด้วยล่ะ”
“หวังคิดว่าการที่อีอยู่ในสายตาของเรา ทำให้เรารู้ความเคลื่อนไหวของอีค่ะ หวังไม่อยากให้เด็กออกไปเพราะเป็นห่วงอนาคตของเขาค่ะ.. หวังเคยรับปากคุณหนูว่าจะดูแลเขาให้ดีที่สุด หวังก็ต้องทำให้ได้ค่ะ”
“ผมก็คงต้องอดทนเพื่ออีริคใช่ไหมป้า”
“ถ้าคุณหนูไม่ต้องการ ป้าก็ไม่ฝืนใจนะคะ ป้าตามใจคุณหนูค่ะ แต่ที่ป้ากล้าพูดกับคุณหนูก็เพราะเห็นว่าคุณหนูน่าจะหมดใจกับเธอแล้วจริง ๆ ถึงได้กล้าพูดค่ะ”
วิโมกข์มองสตรีสูงวัยด้วยความเคารพรัก เพราะนางคือคนที่เลี้ยงดูเขามาอย่างดีตั้งแต่เด็ก ใกล้ชิดกับเขายิ่งกว่าพ่อแม่ของเขาอีก และเชื่อว่านางคงคิดดีแล้วถึงได้กล้ามาพูดกับเขาแบบนี้
“เอาเป็นว่าผมจะอดทนเพื่ออีริค และผมเชื่อว่าหลุยส์พอใจกับการกระทำของผมในครั้งนี้.. ผมไปทำงานก่อนนะป้า ส่วนเรื่องของมีนาป้าจัดการได้เลย”
“ค่ะ อย่าลืมเรื่องงานเลี้ยงที่หวังบอกนะคะ”
“ครับผม” เขารับปากเพื่อให้นางสบายใจ
เมื่อชายหนุ่มเดินออกจากบ้านไปแล้ว เจ๊หวังจึงโทรศัพท์ไปถึงมารดาของเขาที่อยู่ต่างแดน เพื่อแจ้งข่าวความคืบหน้าให้เธอรู้
(เจ๊ต้องระวังผู้หญิงคนนั้นให้ดีนะ ถึงฉันจะยอมให้เธอเข้ามาอยู่ในบ้าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้เธอมาเป็นลูกสะใภ้ของฉันหรอกนะ)
“คุณปราณีไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ หวังจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นเด็ดขาด”
(ได้ยินแบบนี้ฉันก็สบายใจ แล้วฉันจะโทรไปคุยด้วยบ่อย ๆ นะเจ๊)
“ค่ะ แค่นี้นะคะ สวัสดีค่ะ”
สามวันหลังจากนั้นมีนาก็ได้เข้ามาอยู่ในบ้านของวิโมกข์ เจ๊หวังจัดให้เธอพักอยู่ห้องนอนใกล้ ๆ กับตัวเองและลูกชาย แต่ห่างกันคนละฝั่งบ้านกับผู้เป็นเจ้านาย
มีนาเริ่มต้นอยู่ในบ้านของวิโมกข์ด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตัว ดูแลเอาใจใส่ลูกชายอย่างดีเยี่ยม ขับรถไปรับไปส่งที่โรงเรียนด้วยตัวเองทุกวัน มีเวลาว่างก็มาช่วยเจ๊หวังทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างไม่เกียจคร้าน
จากวันเริ่มกลายเป็นเดือน
จากหนึ่งเดือนเริ่มเปลี่ยนเป็นสองเดือน และเข้าสู่เดือนที่สามที่สี่
“ฉันช่วยนะคะเจ๊” มีนารับอาสาด้วยความกระตือรือร้น แล้วชิงถาดน้ำในมือเจ๊หวังไปทันที เมื่อเห็นวิโมกข์กลับมาถึงบ้าน
เจ๊หวังได้แต่มองตามหลังไว ๆ ของหญิงสาวร่างเล็ก แต่ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเธออย่างไว้เนื้อเชื่อใจ เพราะตลอดระยะเวลาสี่เดือนที่เธออยู่ที่นี่ เธอทำตัวดีมากเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง..
“น้ำค่ะโมก” มีนาหยิบแก้วน้ำจากถาดวางลงบนโต๊ะรับแขกที่เขานั่ง
“ขอบใจ ป้าหวังไปไหนล่ะ” วิโมกข์หยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเมื่อถามจบ แกล้งทำเป็นญาติดีกับเธอเพราะกำลังอยู่ต่อหน้าเด็กชายวัยหกขวบ
“ทำงานเหนื่อยไหมครับคุณอา” เด็กชายอีริคจิ้มชิ้นฝรั่งกิมจูยื่นให้ชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้ม “กินเยอะ ๆ นะครับจะได้ไม่เหนื่อย”
“ขอบคุณครับ” เขารับชิ้นฝรั่งมาใส่ปากพร้อมรอยยิ้มเอ็นดู “อีริคก็กินด้วยสิ”
“ครับคุณอา” เด็กน้อยทำตามที่ชายหนุ่มบอกโดยดี
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ให้มีนไปช่วยงานคุณในฟาร์มนะคะ” มีนานั่งลงแล้วขันอาสาต่อหน้าลูกชาย เวลาสี่เดือนที่อยู่ที่นี่เธอศึกษารายละเอียดของเขาอย่างใจเย็น ทำให้รู้ว่าวิโมกข์ที่ทำเป็นเย็นชาใส่เธอแท้จริงแล้วอ่อนโยนกับอีริคมาก เธอจึงใช้ลูกชายเป็นตัวโจมตีชายหนุ่มอย่างแนบเนียน
“ดูแลอีริคให้ดีก็พอแล้ว งานในฟาร์มผมมีคนทำอยู่แล้ว”
“งานในฟาร์มมีตั้งเยอะแยะ ให้มีนได้ตอบแทนคุณบ้างนะ มีนส่งอีริคไปโรงเรียนแล้วก็ยังมีเวลาว่างตั้งเยอะ จริงไหมอีริค ลูกคิดว่าแม่น่าจะไปช่วยงานคุณอาเขาบ้างไหมจ๊ะ”
“ให้คุณแม่ช่วยนะครับคุณอา คุณยายหวังเคยสอนอีริคว่าคนเราต้องมีงานทำถึงจะมีเงิน ถ้าไม่ทำงานก็จะไม่มีเงินครับ”
“แต่คุณแม่ของอีริคเขาต้องดูแลอีริค นั่นก็คืองานของเขาเหมือนกัน”
เด็กน้อยส่ายหน้าปฏิเสธด้วยสายตาละห้อย รู้สึกน้อยใจที่ตัวเองถูกเปรียบเทียบเป็นแค่งานงานหนึ่ง
“อีริคเป็นลูกที่คุณแม่คุณพ่อต้องรักและดูแลด้วยหัวใจครับ คุณยายหวังเคยสอนอีริคแบบนี้ อีริคจำได้ครับ อีริคไม่ใช่งานของคุณแม่นะครับ”
วิโมกข์นึกอยากตบปากตัวเองที่พูดไม่คิด รู้สึกสงสารเด็กน้อยที่เหมือนมีปมด้อยติดตัว เพิ่งจะมามีความสุขกับมารดาได้แค่ไม่กี่เดือนคนนี้
“อาล้อเล่นน่ะอีริค อาจะให้คุณแม่ของอีริคไปช่วยงานอาดีไหมครับ”
“ดีครับคุณอา ถ้าคุณแม่ทำงานกับคุณอา คุณแม่จะได้มีเงินให้อีริคเรียนหนังสือด้วยครับ”
“ครับ” ความคิดของเด็กช่างใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่งนัก
มีนาคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้ลูกชาย แต่ในใจนั้นลิงโลดนักที่จะได้มีโอกาสใกล้ชิดเขามากขึ้น และเธอจะทำให้มันมากขึ้น ๆ ทำให้เขากลับมาเป็นของเธออีกครั้งให้ได้..
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา มีนาก็มักจะเดินเคียงคู่นายหัววิโมกข์ไปทั่วทุกที่ภายในฟาร์มโชคอนันต์ เวลาอยู่ต่อหน้าเขาเธอจะจริงจังกับการทำงานมาก แต่พอลับหลังเธอก็จะทำเชิดกับบรรดาคนงานในไร่ในฟาร์ม และบางครั้งก็พูดจาวางอำนาจ จงใจให้ทุกคนคิดว่าตัวเองคือว่าที่นายหญิงของที่นี่
โรงอาหาร
“แกว่านายหัวจะกลับมาลงเอยกับคุณมีนาอีกจริง ๆ เหรอวะบานเย็น” จำเนียรถามภรรยาของพี่ชายสามี ขณะที่กำลังทำอาหารกลางวันเลี้ยงคนงาน
“เบา ๆ หน่อยจำเนียร กำแพงมีหูประตูมีตา คนอื่นได้ยินขึ้นมาแล้วเอาไปพูดปากต่อปาก ความซวยมันจะมาเยือนเรานะ” บานเย็นเตือนสะใภ้รองจากตนด้วยท่าทางเคร่งเครียด
“เขาก็เริ่มพูดกันหนาหูทั้งฟาร์มแล้ว เมื่อก่อนตอนมาใหม่ ๆ ยังไม่ค่อยกล้าเปิดเผยสักเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้เริ่มเดินควงกันไปทั่วทั้งฟาร์ม เขาเห็นกันเป็นเดือน ๆ แล้ว”
“จริงจ้ะพี่บานเย็น ฉันกับนางใจยังเคยโดนเธอเรียกไปต่อว่า เรื่องที่เอาอาหารไปให้นายหัวเลย เธอบอกว่าต่อไปนี้เธอจะจัดการเรื่องอาหารนายหัวเอง พวกเราไม่ต้องไปยุ่ง” ผู้ช่วยอีกสองคนที่หั่นผักอยู่ใกล้ ๆ เล่าเหตุการณ์ที่ต่างก็เคยเจอมากับตัวให้แม่ครัวทั้งสองฟัง
“แต่ฉันรู้สึกว่ามันแปลก ๆ นะพี่บานเย็น” ดวงใจทำท่าทางครุ่นคิด
“แปลกยังไงวะ เล่ามาให้หมดสิ” บานเย็นซักไซ้
“พวกพี่ไม่สังเกตบ้างเหรอว่าคุณมีนามักจะทำอะไรลับหลังนายหัว ผัวฉันเคยเล่าให้ฟังว่าเขาไม่เคยเห็นนายหัวปฏิบัติกับเธอเหมือนคนพิเศษตรงไหน ไม่เคยเห็นแม้กระทั่งคุยระรื่นกับเธอด้วยซ้ำ ผิดกับสมัยก่อนลิบลับ ฉันก็เลยลองแอบสังเกตดู..” ดวงใจหันซ้ายหันขวาเพื่อดูให้แน่ใจว่ามีคนอื่นอยู่ในครัวหรือไม่