บทที่ 4.2
พรหมจรรย์ของผู้อื่นไยข้าต้องใส่ใจ
“นายหญิง คุณชายซิ่วอาละวาดอยู่ที่ด้านล่างเจ้าค่ะ”
คุณชายซิ่ว ตระกูลซิ่วเป็นคหบดีที่ค่อนข้างมั่งคั่งและมีอิทธิพลไม่น้อย ทว่าหากเทียบกับตระกูลหลี่ก็ยังห่างชั้นมากนัก เพียงแต่ตระกูลหลี่จะมั่งคั่งสูงส่งอย่างไร ยามนี้หวังเฟยเฟิ่งก็ไม่อาจใช้อิทธิพลของตระกูลหลี่มาจัดการคนแซ่ซิ่วผู้นี้อยู่ดี
“มีเรื่องอะไร”
“วันก่อนนายแม่รับเงินค่าตัวอาชุ่ยมาจากคุณชายซิ่วเจ้าค่ะ”
อาชุ่ยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของหอบุปผาที่พึ่งถูกขุนนางใหญ่ไถ่ตัวออกไปเมื่อเช้า คาดว่าอีกฝ่ายคงไม่พอใจที่จองคืนบุปผาของนางเอาไว้แต่ยามมากลับไม่พบคน
หวังเฟยเฟิ่งถอนหายใจยาว เรื่องนี้หากนางไม่ออกหน้าช่วยเกรงว่าชื่อเสียงของหอบุปผาคงยากทวงคืนแล้ว มือเรียวหยิบผ้าโปร่งสีแดงปักลายบุปผาขึ้นมาผูกอำพรางใบหน้าครึ่งล่าง ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องพักด้วยท่าทางสง่างาม
“ท่านแม่!”
เสียงหวานใสดังกังวานดุจระฆังแก้ว ทั้งอ่อนหวานบอบบาง ทั้งเย้ายวนชวนลุ่มหลง สะกดสายตาของชายหนุ่มด้านล่างด้วยประโยคเดียว
จินเลี่ยงเห็นหวังเฟยเฟิ่งออกจากห้องมาช่วยเหลือก็ยิ้มกว้างด้วยความโล่งอก หวังเฟยเฟิ่งคลี่ยิ้มบาง ดวงตาหวานเป็นประกายค่อยๆ ก้าวลงจากบันไดชั้นสองด้วยท่าทางอรชรสง่างาม
“นางคือใคร!”
คุณชายซิ่วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเหม่อลอย หวังเฟยเฟิ่งเดินมาหยุดที่หน้าเขาก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ช้อนตามอง
“ข้าน้อยหวังเฟยเจ้าค่ะ”
“หวังเฟย นายหญิงหวังอย่างนั้นหรือ”
ชายหนุ่มเอ่ยพลางเอื้อมมือหมายดึงผ้าโปร่งบนใบหน้าหญิงงาม หากแต่หวังเฟยเฟิ่งกลับพลิ้วกายหลบอย่างแนบเนียน อีกทั้งยังส่งสายตาเย้ายวนชวนเพ้อฝันให้เขา
“ท่านแม่ เพลงพิรุณร่ำที่ท่านให้ข้าฝึกฝนตอนนี้ข้าฝึกจนชำนาญแล้ว หากท่านไม่ขัดข้องให้ข้าขึ้นแสดงได้หรือไม่เจ้าคะ”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยเสียงหวานอย่างเขินอาย ในแววตายังคงลอบมองคุณชายตรงหน้าราวกับกำลังจะสื่อว่าการแสดงนี้นางจงใจแสดงให้เขาดู
ริมฝีปากของคุณชายซิ่วยกกว้าง
“อามู่ ไปเอาพิณบนรถม้าของข้าลงมามอบให้แม่นางหวัง”
“ขอบคุณคุณชายซิ่ว”
หวังเฟยเฟิ่งยังคงแสดงท่าทางชื่นชมบุรุษตรงหน้าได้อย่างแนบเนียน เมื่อเห็นคนของเขายกพิณล้ำค่าเข้ามาดวงตากลมก็เปล่งประกาย
“งดงามยิ่งนัก”
“หากเจ้าชอบข้ายกให้เป็นของขวัญพบหน้าดีหรือไม่”
“คุณชาย นี่เป็นของกำนัลที่...”
“หุบปาก!”
เสียงของคุณชายเอาแต่ใจตวาดใส่ลูกน้องคนสนิท ก่อนจะส่งสัญญาณให้มอบของ หวังเฟยเฟิ่งคลี่ยิ้มกว้างมากขึ้นก่อนค่อยๆ หมุนตัวจากไป ไม่นานนักบนลานแสดงก็ปรากฏสตรีเพรียวบางในชุดสีแดง นิ้วเรียวยาววางบนพิณล้ำค่า ขยับดีดบรรเลงเพลงสะกดผู้คน ดวงตาหวานเย้ายวนจดจ้องมาที่คุณชายซิ่วอย่างโจ่งแจ้ง ปลุกเร้าให้อารมณ์บุรุษของเขาตื่นตัวจนเผลอยกสุราไปหลายจอก
ยามที่ข้าแสดงบนเวที เจ้านำสุราใส่ยานอนหลับนี่ไปให้คุณชายอันธพาลนั่น
แต่ทำเช่นนี้จะดีหรือเจ้าคะ
เขาก็แค่เมาสุราจนหลับไปเท่านั้นมีอะไรไม่ดีหรือ
หวังเฟยเฟิ่งนึกถึงคำสั่งที่ตนให้หญิงงามไปทำแล้วยิ้มกว้างมากขึ้น เพียงแต่ไม่รู้เพราะยานอนหลับนั่นมีฤทธิ์อ่อนไป หรือคุณชายซิ่วร่างกายแข็งแรงเกินคน ทั้งที่อีกฝ่ายดื่มสุราผสมยานอนหลับจนหมดกาแล้ว ก็ยังคงสามารถนั่งหลังตรง โดยไม่มีทีท่าง่วงงุนสักนิด เมื่อนิ้วเรียวจรดท่วงทำนองสุดท้ายของเพลงพิณจบลง เขาก็เรียกเติมสุรากาใหม่พร้อมทั้งรินสุราเดินมามอบให้นาง
“รางวัลของหญิงงาม”
“เฟยเฟยไม่เคยดื่มสุรา ขายหน้าคุณชายแล้ว”
หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกด้วยท่าทางใสซื่อ คนตรงหน้ายกยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างพึงพอใจ
“หากเจ้ายอมดื่มสุราจอกนี้ เรื่องที่นายแม่ของเจ้ารับเงินข้าไปแล้วแต่ขายคนให้ผู้อื่น ข้าจะไม่เอาความอีก”
“คุณชาย บุตรสาวข้าผู้นี้...”
“ข้ามิได้สนทนากับเจ้า อย่าสอด!”
หวังเฟยเฟิ่งมองไปยังจินเลี่ยงที่หน้าซีดเผือดแล้วขบกรามแน่น ตวัดสายตาดุมองบุรุษอันธพาลด้วยความขุ่นเคืองใจ ทว่าพริบตาก็ยิ้มหวานยอมรับสุราของอีกฝ่ายมาดื่มโดยดี ความจริงแล้วแค่ดื่มสุราจอกเดียวสำหรับหวังเฟยเฟิ่งแทบมิต่างจากดื่มน้ำเปล่า ทว่าเพราะนางรู้ว่าอีกฝ่ายลอบใส่บางอย่างในสุราต่างหากจึงได้พยายามหลบเลี่ยง
“คุณชาย คืนนี้เฟยเฟยไม่ค่อยสบาย พรุ่งนี้ท่านมาอีกได้หรือไม่”
เมื่อหนีไม่ได้ก็ต้องรู้จักถอย หวังเฟยเฟิ่งดื่มสุราสร็จก็แสร้งไอชุดใหญ่ราวกับป่วยหนักใกล้ตาย ทว่าคนอันธพาลก็คือคนอันธพาล เมื่อหมายตาแล้วก็ไม่คิดปล่อยคน มือหนาจับกระชากมือเรียวดึงรั้งร่างบางตรงหน้าเข้าแนบอก
หวังเฟยเฟิ่งแม้มากแผนการแต่ก็เป็นสตรี ให้ใช้กำลังสู้บุรุษย่อมไม่มีทางชนะ ดังนั้นนางจึงคลี่ยิ้มหวานเอนตัวซบอกแกร่ง มือเรียวยกขึ้นไล้บนใบหน้าของเขา กลิ่นกายหอมละมุนจากผิวสาวยิ่งกระตุ้นให้คนตัวโตร้อนรุ่ม
“คุณชาย ท่านใจร้ายนัก เฟยเฟยไม่สบายอยู่ก็ยังคิดรังแกกัน”
“สตรีมารยา อย่าคิดว่าข้าดูแผนการของเจ้าไม่ออก อย่างไรคืนนี้เจ้าก็ต้องปรนนิบัติข้า”
มุมปากของหวังเฟยเฟิ่งยกขึ้นเล็กน้อย อยากให้นางปรนนิบัติก็ต้องดูว่านางเต็มใจหรือไม่ ทว่ายังไม่ทันเอ่ยคำใดเสียงของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้นจากมุมขวา
“คุณชายซิ่วช่างยิ่งใหญ่เสียจริง ในคืนสำราญของผู้อื่นก็ยังก่อกวนไม่หยุด”
เมื่อถูกผู้อื่นเอ่ยตำหนิซึ่งหน้าคุณชายซิ่วก็ขบกรามแน่นหมุนตัวไปยังต้นเสียง ทั้งที่ในวงแขนยังโอบกอดร่างอวบอิ่มของหวังเฟยเฟิ่งเอาไว้
“รู้ว่าข้าเป็นใครยังกล้าสอดปาก ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่”
ปัง! เสียงมือหนาตบลงบนโต๊ะดังลั่น หากแต่ที่ทำให้ผู้คนแตกตื่นกลับเป็นป้ายเงินที่วางอยู่
“คนของอ๋องเก้าอย่างนั้นหรือ”
“หึ! นับว่ามิได้โง่งมมากนัก”
เสียงของบุรุษใบหน้าหวานละมุนราวกับสายน้ำเอ่ยอย่างเยือกเย็น ก่อนจะส่งสัญญาณให้ชายสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเข้าไปจับคน
“พวกเจ้าจะทำอะไร”
“คุณชายซิ่วเมามากแล้ว ข้าจะให้คนไปส่งกลับบ้านอย่างไรเล่า”
หวังเฟยเฟิ่งแม้ยังสับสนกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทว่าก็สามารถรวบรวมสติได้อย่างรวดเร็ว ยามที่ทุกอย่างกลับมาสงบแล้วก็เดินไปที่โต๊ะของอีกฝ่าย ย่อตัวเอ่ยขอบคุณบุรุษหน้าหวานตรงหน้า
“ขอบคุณนายท่านที่ช่วยเหลือเฟยเฟย”
“เช่นนั้นมิสู้เจ้านั่งดื่มสุรากับข้าสักกา”
“ดื่มสุรา...”
“ย่อมเป็นสุราที่ไม่มีสิ่งใดใส่ลงไป”
มุมปากของหวังเฟยเฟิ่งยกขึ้นเล็กน้อย ดูแล้วแผนการของนางคงถูกคนตรงหน้ามองเห็นแล้ว เพียงแต่กำจัดคนต่ำช้านั่นออกไปได้ แต่พิษกำหนัดที่อีกฝ่ายบังคับให้นางดื่มลงท้องกลับไม่อาจกำจัดได้ หวังเฟยเฟิ่งขบกรามแน่นนางควรจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี ในช่วงที่ร่างกายกำลังถูกยากำหนัดปลุกเร้าหวังเฟยเฟิ่งก็มองไปยังบุรุษตรงหน้าด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์
“ข้างล่างผู้คนพลุกพล่าน มิสู้ท่านกับข้าไปนั่งดื่มสุราที่ชั้นบน”
..................................................